Friday, January 31, 2014

กสม. ป้องม็อบ "ขัดขวางการเลือกตั้ง" เป็นหน้าที่รัฐต้องป้องกัน "ห้าม" ใช้ความรุนแรง

- 0 comments
การขัดขวางการเลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อ 26 ม.ค. ที่ผ่านมา 

ไม่ใช่เฉพาะคนไทยผู้รักประชาธิปไตยที่รู้สึกกังวลถึงสิทธิ์ถึงเสียงของตัวเองที่โดนละเมิดแล้ว นานาอารยประเทศก็แสดงความเป็นห่วงถึงการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์เช่นกัน

เริ่มที่ "ฮิวแมนไรต์วอตช์" องค์กรสากลที่พิทักษ์สิทธิมนุษยชนระดับโลก แถลงการณ์เรียกร้องให้เลิกขัดขวางผู้จะออกเสียงเลือกตั้งล่วงหน้าในไทย เพราะเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน

คุกคามระบอบประชาธิปไตย !

รัฐบาลสหรัฐออกแถลงถึงกรณีนี้เช่นกัน ใช้คำว่า "ไม่สบายใจอย่างยิ่ง" ต่อความพยายามสกัดกั้นการเลือกตั้ง หรือวิธีอื่นใดที่ขัดขวางการเลือกตั้งในประเทศไทย

เพราะละเมิดสิทธิ์อันเป็นสากลและขัดแย้งต่อหลักการประชาธิปไตย

องค์กรสิทธิมนุษยชนฝรั่งเศส (FIDH) แถลงการณ์ถึงการขัดขวางการออกเสียงของประชาชนในการเลือกตั้งล่วงหน้า

เป็นการละเมิดกฎหมายไทยและมาตรฐานหลักสิทธิมนุษยชนสากลรุนแรง

สิทธิ์ในการชุมนุมอย่างสงบต้องไม่ไปละเมิดพื้นฐานของผู้จะไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง !

ส่วนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของไทย หรือ กสม. ถึงแม้มีแถลงการณ์ออกมาล่าช้าไป 3-4 วัน แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้เรื่องนี้เงียบไปเลย

ระบุการที่กลุ่มผู้ชุมนุมขัดขวางประชาชนจนไม่สามารถใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้าได้ รวมถึงการประกาศให้คัดค้านหรืออาจกระทำการขัดขวางมิให้มีการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.นี้ ซึ่งเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น

แต่พออ่านแถลงการณ์ต่อ ก็งงๆ

กสม.กลับบอกว่าการขัดขวางประชาชนใช้สิทธิ์เลือกตั้งนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องมีมาตรการป้องกันมิให้เกิดความรุนแรง ไม่ใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบกับผู้ชุมนุม และรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ที่มีการเลือกตั้งเป็นกรณีพิเศษ
อ่านแถลงการณ์ของกสม.กับอ่านแถลงการณ์ขององค์กรโลกต่างๆ แล้ว

มุมมองเรื่อง "สิทธิมนุษยชน" ต่างกันลิบลับ !?
 


จาก  : ข่าวสดออนไลน์

[Continue reading...]

Thursday, January 30, 2014

พิษการเมือง "ญี่ปุ่น" ย้ายฐานหนีไทยผลิตรถยนต์รุ่นใหม่

- 0 comments
เรือเอกสุทธินันท์ หัตถวงษ์ ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง การท่าเรือแห่งประเทศไทย(กทท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีแนวโน้มนักลงทุนญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่จากประเทศไทยไปประเทศอินโดนีเซีย แล้ว 1 รุ่น เนื่องจากไม่มั่นใจสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันยังมีนักลงทุนจากญี่ปุ่นอีกหลายรายที่อยู่ระหว่างการจับตามองอย่างใกล้ชิด เพื่อพิจารณาตัดสินใจว่าจะย้ายไปเพิ่มเติมหรือไม่
“เมื่อปลายปีที่แล้วได้เดินทางไปร่วมหารือกับนักลงทุนญี่ปุ่นเพื่อเชิญชวนให้มาลงทุนในไทย โดยเน้นถึงความพร้อมในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นแรงงาน และโครงสร้างพื้นฐาน จึงถือว่ามีการตอบรับดี แต่ล่าสุดพบว่ามีนักลงทุนบางรายที่ตัดสินใจย้ายโปรเจคใหม่ไปที่อินโดนีเซียแล้ว”
ทั้งนี้ยอมรับว่าอุตสาหกรรมที่น่าเป็นห่วงมากสุดในขณะนี้ คือ ยานยนต์เพราะตามปกติรถยนต์รุ่นใหม่จะต้องมาผลิตที่ประเทศไทย แต่ขณะนี้ได้เริ่มย้ายไปประเทศอื่นแทน ซึ่งการลดลงของการลงทุนจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของท่าเรือแหลมฉบังโดยตรง เพราะหากมีการเติบโตทางเศรษฐกิจมาก การนำเข้าและส่งออกสินค้าก็จะมากขึ้นตามไปด้วย แต่หากการลงทุนลดลง เศรษฐกิจเติบโตน้อย ก็จะส่งผลให้การส่งออกสินค้าลดลงด้วย
เรือเอกสุทธินันท์ กล่าวว่า การดำเนินงานในปีนี้ตั้งเป้าหมายนำเข้าและส่งออกสินค้าผ่านทางท่าเรือแหลมฉบังเติบโตกว่าปีที่แล้วประมาณ 3% หรือหากได้ 5% จะดีมาก ถึงแม้จะเป็นตัวเลขการเติบโตที่ต่ำกว่าปกติที่จะมีการเติบโตประมาณ 8% ต่อปีก็ตาม เนื่องจากมีผลกระทบจากความวุ่นวายทางการเมือง ส่วนปีที่แล้วมีการเติบโตประมาณ 2.5% เท่านั้น เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกตกต่ำ
[Continue reading...]

Tuesday, January 28, 2014

ส่อเค้าวุ่น ... 50 ผอ.เขต กทม.ตบเท้าขอลาออก

- 0 comments
"ปลัดกทม.เเผยส่อวุ่นอีก 50 ผอ.เขตเลือกตั้งกทม.ตบเท้าเข้าหารือจะขอลาออก หวั่นถูกทำร้าย เพราะถูกมองว่าไม่เป็นกลาง

นางนินนาท ชลิตานนท์ ปลัดกทม. กล่าวว่า เมื่อช่วง 11.20 น.ของวันนี้ (28 ม.ค.) ผู้อำนวยการเขต 50 เขต ในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้งประจำเขต ได้เดินทางเข้าหารือว่าจะขอลาออกจากการเป็นประธานกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตได้หรือไม่ ภายหลังเกิดเหตุการณ์ในการเลือกตั้งส.ส.ล่วงหน้า เมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยถูกกดดันจากทั้งฝ่ายที่สนับสนุนให้มีการเลือกตั้งและฝ่ายที่คัดค้านไม่ให้มีการเลือกตั้ง จนทำให้หลายพื้นที่เกิดการปะทะ มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต รวมทั้งการปฏิบัติงานตามภารกิจของกทม.ยังถูกครหาและดูหมิ่นศักดิ์ศรีว่าเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อีกทั้งถูกฟ้องละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ที่สำคัญผู้อำนวยการเขต มีความกังวลเรื่องความปลอดภัยในวันเลือกตั้งที่ 2 ก.พ.นี้ด้วย
นางนินนาท กล่าวต่อว่า ขณะนี้มีเพียงผู้อำนวยการเขตบางกะปิเพียงเขตเดียวที่ยื่นหนังสือลาออกต่อ กกต.กทม.แล้ว ส่วนที่เหลือมีความประสงค์ขอลาออก แต่ยังคงเป็นกังวลว่าหากลาออกแล้วจะไม่มีผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน ทั้งนี้หากกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งลาออก ก็เป็นอำนาจหน้าที่ของกกต.กทม.ในการสรรหาและแต่งตั้งกรรมการชุดใหม่ โดยจะต้องใช้เวลาในการสรรหาก่อนการเลือกตั้ง 20 วัน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กทม.ได้ทำหนังสือถึงศูนย์รักษาความสงบ(ศรส.) ให้พิจารณาแนวทางในการดูแลความปลอดภัยแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน รวมถึงประชาชนที่เดินทางมาเลือกตั้ง และสถานที่ราชการหรือสถานที่เอกชนที่ใช้เป็นหน่วยเลือกตั้งจำนวน 6,671 แห่งทั่วกรุงเทพฯ
"กังวลว่ากทม.อาจถูกมองว่ามีส่วนให้ไม่สามารถเลือกตั้งได้ แต่ขอยืนยันว่าข้าราชการกทม.ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายไหน แต่ที่ผู้อำนวยการเขตจะขอลาออก ก็เพราะกังวลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและสถานที่ราชการ อีกทั้งยังถูกดูหมิ่นศักดิ์ศรีข้าราชการจึงไม่สบายใจในการทำหน้าที่ดังกล่าว ทั้งนี้จะนำเรื่องนี้หารือกับผู้ว่าฯ กทม. ว่าจะทำอย่างไรต่อไป หากผู้อำนวยการเขตต้องการลาออกก็ต้องทำหนังสือลาออกถึงคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร(กกต.กทม.) เพื่อให้ กกต.กทม.จัดหาและแต่งตั้งผู้ที่จะมาปฏิบัติหน้าที่แทน” ปลัดกทม. กล่าว
ด้านนายสิน นิติธาดากุล ผู้อำนวยการสำนักงานเขตบางกะปิ กล่าวว่า สาเหตุที่ลาออก เนื่องจากถูกมองว่าไม่เป็นกลาง อีกทั้งเป็นข้าราชการกทม. ที่มีม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม.เป็นผู้บังคับบัญชา ซึ่งผู้ว่าฯกทม. ก็มาจากพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้นจึงเห็นว่าควรลาออก เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามาทำหน้าที่แทน
[Continue reading...]

Saturday, January 25, 2014

มติ กกต.จำต้องลุยเลือกตั้งล่วงหน้า 26ม.ค. 57 อ้างไม่มี "กฏหมาย" ให้อำนาจเลื่อนได้

- 0 comments
เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 25 ม.ค. ที่ตึกโดมบริหาร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.)ศูนย์รังสิต นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการการการเลือกตั้ง ( กกต.) แถลงภายหลังการประชุม กกต.นาน 3 ชม. ว่า ในวันนี้ กกต.ได้ประชุมปรึกษาหารือกันเรื่องแนวทางการปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ สิ่งสำคัญคือ กกต.ได้มีมติเชิญนายกฯ มาปรึกษาหารือในวันที่ 28 ม.ค.เวลา 14.00 น. เพื่อที่จะพิจารณาการกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ ส่วนสถานที่ให้นายกฯ และครม.กำหนดได้เพื่อความสะดวกของทั้ง 2 ฝ่าย ส่วนการกำหนดวันเลือกตั้งใหม่จะเป็นระยะเวลาเท่าไหร่นั้น  ในส่วนนี้จะมีการปรึกษาหารือกับนายกฯ ก่อน 
เลขาธิการ กกต. กล่าวต่อว่า ในวันที่ 26 ม.ค.ยังคงมีการเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตและในเขตจังหวัดต่อไป ขณะนี้มีการรายงานปัญหาเข้ามามากพอสมควร โดยเฉพาะ 15 จังหวัดภาคใต้ คงจะไม่สามรถเปิดให้มีการลงคะแนนได้ อย่างไรก็ตามได้มีการเตรียมพร้อมอุปกรณ์ไว้หมดแล้ว  ดังนั้นหากมีการปิดถนน ขัดขวางการเลือกตั้ง ก็ให้เจ้าหน้าที่ใช้มาตรา 78 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. คือ ถ้ามีเหตุสุดวิสัยเกิดขึ้น กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง (กปน.) ในที่เลือกตั้งกลางนอกเขตจะดูแลสถานการณ์โดยสามารถงดการลงคะแนนและรายงานต่อคณะกรรมการประจำเขตเลือกตั้ง และคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด เพื่องดการลงคะแนนออกไป 7 วัน รวมทั้งรายงานมายัง กกต.โดยด่วน ซึ่ง กกต.จะพิจารณาว่ามีเหตุผลเพียงพอหรือไม่ หากเห็นว่าสถานการณ์รุนแรงอยู่สามารถขยายวันลงคะแนนใหม่ได้อีก โดยกฎหมายไม่ได้กำหนดว่ากี่วัน
ด้านนายธีรวัฒน์  ธีรโรจน์วิทย์ กกต.ด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ กล่าวว่า  สำหรับวันเลือกตั้งใหม่นั้นยังไม่ได้กำหนด เพราะต้องปรึกษากับนายกฯ ก่อน แต่สิ่งสำคัญที่ กกต.ตั้งข้อสังเกต คือ ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำพิพากษาคำร้องที่ กกต.ยื่นไป สรุปข้อหนึ่งคือ การเลือกตั้งที่เลื่อนไปเกิดจากสถานการณ์ความไม่สงบ เกิดจากการแตกแยกทางความคิด  กกต. พิจารณาว่าประเด็นไม่ได้อยู่ที่ต้องมีการเลือกตั้งเมื่อไหร่ ปัญหาคือระหว่างทางที่จะเลื่อนการเลือกตั้งออกไปจะทำให้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมยุติลงได้อย่างไร ซึ่งกระบวนการตรงนี้ กกต.ได้ดำริในเบื้องต้นว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเชิญทุกฝ่ายที่เป็นข้อขัดแย้งมาพูดคุยถอยกันคนละก้าว  ให้ทุกฝ่ายของสังคม ผู้นำทางความคิด ผู้ที่มีบทบาทต่าง ๆได้เข้ามาช่วยกัน ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องมีทางออกร่วมกัน เป็นทางออกในทางสงบ สันติ มีผลยั่งยืนและการเลือกตั้งใหม่ที่จะมีขึ้นต้องตอบสนองระบอบประชาธิปไตยได้  ตรงนี้ต้องทำก่อนการจัดการเลือกตั้งครั้งต่อไป
“ระหว่างนี้จนถึงวันที่ 2 ก.พ. การเลือกตั้งคงเดินไปไม่ได้ เพราะมีสถานการณ์บ่งชี้อย่างที่ทราบกัน ส่วนจะเลื่อนไปเป็นวันใดนั้น ตามกฎหมายนายกฯ และประธาน กกต.ต้องหารือกัน ซึ่งเส้นทางระหว่างนี้ต้องแก้ไขปัญหาพื้นฐานคือความคิดแตกแยกในสังคม ดังนั้นอาจจะต้องมีกระบวนการจัดการตรงนี้ก่อน ส่วนจะจัดการอย่างไร เราจะนัดผู้รู้ ผู้นำทางความคิดว่าทางออกจะเป็นอย่างไร”นายธีรวัฒน์ กล่าว
นายธีรวัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับวันเลือกตั้งล่วงหน้าในวันที่ 26 ม.ค. กกต.ไม่อาจขัดขืนต่อระบบกฎหมาย ดังนั้นการเลือกตั้งที่กำหนดไว้ ผลบังคับทางกฎหมายยังมีอยู่ ก็ต้องเดินหน้าต่อไป กกต.ก็เสียใจ เพราะจะยุติโดยคำสั่ง กกต.ก็ยังหาทางตรงนั้นไม่เจอ ดังนั้นคงต้องปล่อยให้การเลือกตั้งล่วงหน้าในวันที่ 26 ม.ค. ดำเนินการต่อไป  เพราะในทางกฎหมายกระบวนการเลือกตั้ง พ.ร.ฎ.มีผลบังคับใช้อยู่ในทางปฏิบัติ กกต.ไม่สามารถยุติลงได้โดยทันที เว้นแต่จะมี พ.ร.ฎ.ออกมาใช้บังคับใหม่ กกต.ก็หนักใจ เพราะว่าผลทางกฎหมายเป็นอย่างนั้น
นายธีรวัฒน์ กล่าวด้วยว่า ข้อวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญชัดเจนว่าให้เลื่อนการเลือกตั้งได้ ถ้าไม่ลำเอียงจะมองเห็นภาพชัดเจนว่า การเลือกตั้งดำเนินต่อไปไม่ได้ ถามว่าหลังการเลือกตั้งใหม่ กระบวนการเลือกตั้งจะมาแก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้หรือไม่ ขอเรียนว่า กกต.มีจุดยืนว่าการเลือกตั้งเป็นกระบวนการประชาธิปไตยที่จะนำไปสู่การยุติปัญหาในหลาย ๆเรื่อง เป็นกระบวนการที่จะเปิดโอกาสให้คนไทยมาใช้เหตุใช้ผล ถ้าเลือกตั้งเดินแล้วทำให้เสียเลือดเสียเนื้อ ทำให้คนบาดเจ็บล้มตาย กกต.ยอมรับไม่ได้ ดังนั้นอยากให้คนในสังคมช่วยกันคิดว่าระหว่างเดินไปสู่การเลือกตั้งใหม่จะทำอย่างไรให้คู่กรณี คู่ขัดแย้งได้พูดคุย เรียนรู้ซึ่งกันและกัน เมื่อถามว่าหากคุยกับนายกฯให้เลื่อนการเลือกตั้ง แต่ กปปส.อาจจะไม่เห็นด้วย  นายธีรวัฒน์ กล่าวอีกว่า  ตนเชื่อว่าคนไทยรักบ้านเมือง ดังนั้นต้องเปิดโอกาสมาพูดคุยกัน  ฝ่ายที่ไม่ยอมพูดคุย ไม่ยอมเริ่มต้นประชาชนจะตัดสินเอง  เมื่อกำหนดวันเลือกตั้งใหม่สถานการณ์ต้องสงบก่อน  ถ้าแต่ละฝ่ายรู้จักถอย ทุกอย่างต้องเดินหน้าได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ.จะยังเกิดขึ้นหรือไม่ นายธีรวัฒน์ กล่าวว่า ตนไม่เชื่อว่าจะมีขึ้นได้ เพราะสถานการณ์ขณะนี้การเลือกตั้งล่วงหน้าก็มีปัญหา การหากรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง (กปน.)  ก็ยาก  เชื่อว่านายกฯคงเข้าใจปัญหา เราจะมาคุยกันว่านอกจากการกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ ระหว่างทางจะคุยกันอย่างไรดีเมื่อถามอีกว่า ในการเลือกตั้งครั้งใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ควรร่วมลงสมัครรับเลือกตั้งด้วยใช่หรือไม่ นายธีรวัฒน์ กล่าวว่า กกต.ยังหวังผลว่าอยากให้คู่แข่งทางการเมืองทุกฝ่ายเข้ามาลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งก่อนจะถึงวันเลือกตั้งใหม่ ต้องมีกระบวนการทำความเข้าใจ และทำให้ความขัดแย้งลดน้อยลง และทำให้ 2ฝ่ายถอยคนละก้าว.
[Continue reading...]

Friday, January 24, 2014

ศาลรธน.มีมติ 8 : 0 เลื่อนเลือกตั้งได้ ให้นายกฯ-กกต.หารือร่วมกัน - ปิยบุตรแนะ "นายก" อย่าเลื่อน "โหวต"

- 0 comments

วันที่ 24 ม.ค. จากกรณีศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องวินิจฉัย พิจารณาเรื่องวันเลือกตั้ง ตามที่กกต.ได้ยื่นเรื่อง เนื่องจากเห็นว่า คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกามีความเห็นขัดแย้งกัน ว่าควรให้จัดเลือกตั้งอยู่หรือไม่ ในสภาวะทางการเมืองที่ไม่ปกติ มีการชุมนุมปิดกรุงอยู่ขณะนี้ ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการแจกเอกสารชี้แจงคำวินิจฉัยกรณีดังกล่าว โดยเผยว่า ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ 8 ต่อ 0 โดยการเลื่อนเลือกตั้งสามารถทำได้ โดยเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีและประธานกกต. ต้องร่วมกันหารือกันเพื่อออกพ.ร.ฎ.เลือกตั้งใหม่

 ต่อมา ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนักวิชาการกลุ่มสปป. หรือ สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย  โพสต์แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า "ได้อ่านเอกสารที่ สนง.ศาลรธน. เผยแพร่ มี ๓ หน้า แล้ว พบว่า ศาล รธน "มั่ว" อีกแล้วครับ  ๑. ใช้มุขเดิม เขียนคลุมๆว่าทำได้ แต่ไม่บอกว่า มาตราไหน บทบัญญัติใด  ๒. ไปอ้างเรื่องการกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ตอนปี ๔๙ ซึ่งคนละเรื่อง ครั้งนั้น เลือก ๒ เมษา แล้วศาล รธน และศาลปกครอง มาเพิกถอนการเลือกตั้งทั้งประเทศ เลยต้องแก้ พรฎ ใหม่ กำหนดวันที่ ๑๕ ตค ๔๙ แทน

 "ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของพวก "นักร้อง" ของ สว และ ปชป ที่จะไปเสนอคำร้องตามองค์กรอิสระต่างๆ รวมทั้งคำร้องเก่าๆที่คาไว้อยู่ เพื่อ "เชือด" รัฐบาลรักษาการ

 "นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องยืนกรานไม่เลื่อนเลือกตั้ง นะครับ ศาลรัฐธรรมนูญ กับ กกต อยากเลื่อนให้ไปหาวิธีเลื่อนกันเอง เพราะนายกฯไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะเลื่อนได้ ที่ศาล รธน บอกว่าเลื่อนได้ในประเด็นแรกนั้น ศาล รธน ก็ไม่ได้บอกว่ารธน. มาตราไหน และตัวอย่างที่ศาลรธน. ยกมา ก็ผิดด้วย

 "ศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้ ชอบทิ้ง "เชื้อ" ไว้ ไม่ยอมวินิจฉัย ไม่กำหนดคำบังคับ ไม่สั่ง แต่ทำทีเป็น "แนะนำ" ประจำ ก่อนหน้านั้น ก็เรื่องแก้ รธน วันนี้ ก็มาฟอร์มนี้อีกแล้ว"

 จาก : ‘ข่าวสดออนไลน์’ 

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

 

 
 
 
[Continue reading...]

Sunday, January 19, 2014

อภิสิทธิ์ ชี้ "นายก" ต้องปลดล็อคการเลือกตั้งและรักษาการนายก เพื่อเดินหน้าการปฏิรูป

- 0 comments
นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ โพสในเฟสบุ๊คส่วนตัวปฏิเสธร่วมเวทีปฎิรูปเพราะ รัฐบาลขาดความน่าเชื่อถือและนายกไม่ปลดล็อคเรื่องการเลือกตั้งและการรักษาการนายก ตามข้อความดังนี้ :
 
พรุ่ง นี้ (๒๐ ม.ค.) มีข่าวว่านายกรัฐมนตรี จะเชิญพรรคการเมือง รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ไปประชุมเวทีปฏิรูปต่อเนื่องจากที่ประชุมเมื่อวัน ที่ ๑๖ ม.ค. ที่ผ่านมา

พรรคประชาธิปัตย์ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการปฏิรูปประเทศโดยได้เดินหน้าพูดคุยกับภาคส่วน ต่างๆ จัดทำข้อเสนอเรื่องการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นและปัญหาการจัดการการเลือกตั้ง เสร็จแล้ว อยู่ในระหว่างจัดทำข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปสื่อมวลชน

อย่างไรก็ตามจากการหารือกับหลายองค์กร มีความเห็นพ้องว่างานปฏิรูปจะสำเร็จได้ผู้ดำเนินการต้องเป็นผู้ที่มีความน่า เชื่อถือ ได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย และมีความจริงใจ แต่ข้อเท็จจริงปัจจุบันรัฐบาลไม่อยู่ในฐานะดังกล่าว โดยจะเห็นได้ว่ามี ๗ องค์กรธุรกิจและพันธมิตร สภาพัฒนาการเมือง หรือแม้แต่ปลัดกระทรวงยุติธรรม ระบุว่ารัฐบาลอยู่ในฐานะของผู้ขัดแย้งไม่สามารถดำเนินการเรื่องนี้ได้

พรรคเห็นด้วยกับองค์กรเหล่านี้ว่างานปฏิรูปเดินไม่ได้ถ้าไม่ปลดล็อคปัญหาการ เลือกตั้ง ที่กกต.ยอมรับว่าไม่สามารถจัดให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญหรือมีความสุจริตเที่ยง ธรรมได้ และไม่ปลดล็อคเรื่องการรักษาการของนายกรัฐมนตรี ซึ่งการปลดล็อคทั้ง ๒ เรื่องนี้ นายกรัฐมนตรีได้ปฏิเสธ และยังปล่อยให้มีการใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมและผู้อยู่ตรงข้ามรัฐบาลอย่าง ต่อเนื่อง โดยนายกรัฐมนตรีไม่เคยแสดงท่าทีต่อความรุนแรงดังกล่าวเลย

ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์จะทำงานการปฏิรูปกับภาคส่วนอื่นๆ ต่อไป แต่จะไม่เข้าร่วมในการประชุมวันจันทร์ที่เป็นเพียงความพยายามใช้การประชุม ลดกระแสเพื่อรักษาอำนาจและเดินหน้าเลือกตั้ง ๒ ก.พ.

ผมอยากเตือนความจำนายกรัฐมนตรีว่าครั้งที่แล้วที่นายกรัฐมนตรีเชิญผมไปร่วม สภาปฏิรูป ผมเตือนให้ปลดล็อคกฎหมายนิรโทษกรรม นายกรัฐมนตรีปฏิเสธจึงทำให้บ้านเมืองมาถึงจุดนี้

อย่าเชื่อพี่ชายและทำผิดซ้ำซากเลยครับ

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
๑๙ มกราคม ๒๕๕๗
จาก เพจ Abhisit Vejjajiva
[Continue reading...]

Tuesday, January 14, 2014

สดศรี "ติง" กกต.เสนอให้รัฐบาลเลื่อนการเลือกตั้ง ทำไม่ได้

- 0 comments
เมื่อมีการยุบสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 108 ระบุว่า หากมีการยุบสภาต้องกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่า 45 วันแต่ไม่เกิน 60 วัน นับแต่วันยุบสภา และวรรคท้ายของมาตรานี้ยังระบุด้วยว่า การยุบสภาจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน เมื่อรัฐบาลตัดสินใจยุบสภาแล้ว กกต.ต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 60 วัน ไม่มีกฎหมายใดระบุไว้เลยว่าให้อำนาจ กกต.ในการเลื่อนวันเลือกตั้ง

ขณะเดียวกัน มาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ระบุให้ กกต.มีหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้ง ไม่มีการระบุให้สามารถเลื่อนการเลือกตั้งออกไปได้ ด้วยเหตุผลความไม่สงบเรียบร้อย โดย กกต.ต้องแยกแยะการทำงานของ กกต.กับหน่วยงานความมั่นคงออกจากกัน ซึ่ง กกต.ต้องดำเนินการจัดการเลือกตั้งไปตามกฎหมาย อีกทั้งขณะนี้ก็ได้มีการพิมพ์บัตรเลือกตั้งแล้ว

หากเลื่อนการเลือกตั้งด้วยเหตุผลว่าอาจจะเกิดความรุนแรงในวันเลือกตั้ง มองว่ายังเป็นสิ่งที่ไม่เกิดขึ้น โดยปัญหาเหล่านี้ กกต.สามารถป้องกันได้โดยความร่วมมือจากหน่วยงานอื่นๆ ซึ่งเป็นอำนาจที่จะเรียกใช้ได้ในการเลือกตั้ง

การที่ กกต.เสนอให้รัฐบาลออก พ.ร.ฎ.กำหนดวันเลือกตั้งใหม่ มันทำไม่ได้ จะย้อนเวลากลับไปให้รัฐบาลตั้งสภาใหม่หรือต้องยุบสภาอีกครั้งหรืออย่างไร การขยายเวลาในการจัดการเลือกตั้งในกฎหมายไม่มีระบุไว้ มีเพียงมาตรา 78 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. ระบุว่า กรณีที่มีเหตุจลาจล อุทกภัย อัคคีภัย เหตุสุดวิสัย เกิดขึ้นในวันเลือกตั้งหรือก่อนวันเลือกตั้งเท่านั้น โดยจะงดการลงคะแนนเลือกตั้ง แล้วก็กำหนดวันเลือกตั้งใหม่เมื่อเหตุเหล่านั้นยุติลงแล้ว ไม่ใช่เป็นการเลื่อนการเลือกตั้งทั่วประเทศ

หากอยากจะเลื่อนการเลือกตั้งโดยให้รัฐบาลสั่งการ มองว่ารัฐบาลในขณะนี้เป็นเพียงรัฐบาลรักษาการเท่านั้น และได้มีการถวายร่าง พ.ร.ฎ.ขึ้นทูลเกล้าฯไปแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะใช้อำนาจใดเลื่อนการเลือกตั้งได้เลย

วิธีการที่จะเลื่อนการเลือกตั้งได้ ง่ายที่สุดคือ กกต.ลาออก จะ 2 คนหรือ 3 คนก็ได้ ลาออกไปซะถ้าเห็นว่าจะทำเพื่อประเทศชาติ หากเห็นว่าการเลื่อนการเลือกตั้งจะทำให้ไม่เกิดเหตุต่างๆ ตามเหตุผลของ กกต.ที่อ้างมานั้น ก็มีทางเดียวคือลาออก

เพราะเมื่อลาออกก็ต้องสรรหา กกต.ใหม่ ใช้เวลานานกว่า 3 เดือน ซึ่งก็เป็นอำนาจว่าท่านจะลาออกหรือไม่ หากกลัวเหตุต่างๆ จะเกิดขึ้น

นางสดศรี สัตยธรรม อดีต กกต.
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ


[Continue reading...]

Monday, January 13, 2014

สมชัย จึงประเสริฐ "ติง" การเลื่อนการเลือกตั้งเป็นอำนาจของ กกต.ไม่ใช่รัฐบาล

- 0 comments
จากกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รัฐบาลกำลังมีปัญหาเรื่องของอำนาจหน้าที่ว่าใครจะเป็นผู้ทำหน้าที่ในการ เลือกวันเลือกตั้ง ต่างก็โยนกันไปมา นายสมชัย จึงประเสริฐ อดีตกกต.ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย และอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา แนะทางออกของประเทศและแนวทางในการทำหน้าที่ของกกต.ชุดใหม่ ว่าการเลื่อนเลือกตั้งนั้นเป็นอำนาจหน้าที่ของกกต.โดยตรง เพราะเป็นผู้ทำหน้าที่ในการจัดการและควบคุมการเลือกตั้งให้เกิดความเรียบ ร้อยและบริสุทธิ์ยุติธรรม และเมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่สามารถที่จะจัดการเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ.57 นี้ได้แล้ว ก็เป็นหน้าที่ที่กกต.จะต้องทำร่างพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งใหม่ ส่งไปให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป และรัฐบาลไม่สามารถจะเป็นอื่นได้ต้องดำเนินการรัฐบาลเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่ง ทางธุรการเท่านั้น

เพราะฉะนั้นกกต.จะโยนหน้าที่การจัดการเลือกตั้งไปให้รัฐบาลไม่ได้ อีกทั้งขณะนี้รัฐบาลก็เป็นรัฐบาลรักษาการไปแล้ว เพราะฉะนั้นอะไรที่เห็นว่าเป็นคุณกับเขาก็เป็นธรรมดาที่รัฐบาลจะต้องดำเนิน การตามที่ตัวเองต้องการ ที่มาตรา 108 ของรัฐธรรมนูญ ระบุไว้ว่า การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป ภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่า 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน นับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร และวันเลือกตั้งต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร

กรณีดังกล่าว รัฐธรรมนูญต้องกำหนดก็เพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาลอยู่ไปเรื่อย ๆ ที่ส่งร่างพระราชกฤษฎีกา กำหนดวันเลือกตั้งครั้งนั้น กกต.ก็เป็นผู้กำหนด และเสนอไปให้รัฐบาล เพื่อให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการเสนอทูลเกล้าฯ ซึ่งที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีเป็นเพียงแค่ไปรษณีย์ แต่กกต.เป็นผู้ควบคุมและดำเนินการจัด หรือจัดให้มีการเลือกตั้งและการออกเสียงประชามติ ตามที่กฎหมายกำหนด ให้เป็นไปโดยสุจริต และ เที่ยงธรรม ตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 236 อีกทั้งในการพิจารณาผู้ที่ถูกขัดขวางการเลือกตั้งไม่สามารถไปสมัครได้ใน 8 จังหวัดนั้น ก็ได้ไปร้องศาลฎีกาตามที่กกต.แนะนำ แต่ศาลฎีกาก็ชี้มาแล้วว่า เป็นหน้าที่ของกกต.ที่ต้องจัดการเลือกตั้ง

“การจะเลื่อนเลือกตั้งนั้นเป็นอำนาจหน้าที่ของกกต. ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาล โดยกกต.ต้องทำความเห็นขอให้รัฐบาลส่งต่อตามขั้นตอน แต่ทั้งนี้ในการดำเนินการกกต. จะต้องไม่ได้ทำตามอำเภอใจ ไม่ใช่เลื่อนเพราะด้วยเหตุผลในการที่จะเอื้อประโยชน์แก่ใคร และเมื่อการรับสมัครส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ที่สนามกีฬาเวสน์ ไทยญี่ปุ่น - ดินแดง ก็เกิดเหตุยิงกัน มีระเบิด มีคนตายนองเลือดไปแล้ว ซึ่งก็ได้รับรู้กันไปทั่วโลก และทุกคนก็เห็นแล้วว่า เมื่อเดินต่อมาก็มีปัญหาจริง ๆ และหากการกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ ถ้ากกต.ถูกฟ้องก็เชื่อว่าด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่างที่มี ก็สามารถทำให้กกต. ชนะได้ ไม่มีแพ้ แต่ถ้ายังเดินหน้า มีแต่เสี่ยงกับเสี่ยง และโอกาสติดคุกมีมาก

ดังนั้นวิธีการดำเนินการโดยกกต. ต้องเป็นผู้เชิญทุกพรรคการเมืองมาประชุม และบอกถึงสาเหตุที่กกต.ไม่สามารถที่จะจัดการเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ. 2557 นี้ได้ และมีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ โดยขอความร่วมมือกับทุกพรรคในการประชุม เพื่อกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ เพื่อให้ได้มติที่ประชุมนำมาเป็นรายงานได้ เพราะถ้ามีการเลื่อนวันเลือกตั้งออกไป กกต.ควรที่จะต้องกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ที่เหมาะสม ว่าควรจะให้มีการเลือกวันไหนอย่างไร แต่เมื่อถึงวันเวลาดังกล่าวยังไม่สามารถดำเนินการเลือกตั้งได้ ก็เรียกประชุมใหม่ได้ ซึ่งก็เป็นกระบวนการตามขั้นตอน ไม่ใช่ทำไม่ได้” นายสมชัย กล่าว

ส่วนตัวถ้าเป็นผมจะใช้มาตรา 7 และมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญ มาใช้ได้เนื่องจากมีเหตุที่สุดวิสัย เช่น น้ำท่วมจะตายกันอยู่แล้ว ก็ต้องเลื่อนออกไปได้ และนี่มีทั้งระเบิด ยิงกันมีคนตายเกิดขึ้น เหตุการณ์ไม่สงบจะจัดการเลือกตั้งอย่างไร ใครจะมาโจมตีได้อย่างไร ในเมื่อรัฐธรรมนูญเขียนไว้กว้าง ๆ โดยเฉพาะมาตรา 7 ที่ระบุว่า ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมาตรา 3 วรรคสอง ระบุว่า การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม


ขณะนี้มีหลายคนห่วงโดยเฉพาะผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด (ผอ.กต.จว.) ที่มาประชุมเตรียมความพร้อมการเลือกตั้ง ได้ถามกกต.ว่า หากเวลานี้ผ่านพ้นไปจนถึงวันที่ 26 ม.ค.57 ที่กกต.กำหนดไว้เป็นวันเลือกตั้งล่วงหน้า จัดสถานที่กลางในการจัดการเลือกตั้ง ไว้อำนวยความสะดวกประชาชนนั้น หากมีการปิดล้อมเจ้าหน้าที่ แล้วจะมีใครช่วย และระหว่างหีบบัตรเลือกตั้ง กับชีวิต ควรจะรักษาสิ่งใดเป็นอันดับแรก ที่หลายคนพูดว่า สิทธิลงคะแนนก็ต้องลงคะแนน แต่ทุกคนก็เรียกร้องถึงสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตยต้องเป็นระบอบนั้นระบอบนี้ อย่างที่ทั้ง 2 ฝ่ายเขาเรียกร้อง แต่มีใครคิดถึงชีวิตคนไทยด้วยกันบ้างหรือไม่ สิทธิเสรีภาพก็สำคัญ แต่สำคัญน้อยกว่าชีวิตของคน ชีวิตของคนต้องสำคัญที่สุด ต้องคำนึงถึง

“แต่ทั้งนี้ประเทศต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ทำอย่างไรให้ประเทศอยู่รอด และเล่นประชาธิปไตยจะเป็นแบบไหน และอย่างนี้ไม่เรียกว่าประชาธิปไตย เขาเรียกว่า อนาธิปไตย ทหารก็พูดเสมอว่า เป็นทหารของประเทศชาติ ถ้าประเทศชาติล่มสลายก็ต้องออกมารักษาประเทศ แต่ไม่ใช่ออกมา เพื่อรักษาสีเสื้อ เหลือง แดง ชมพู หรือสีอะไร และต้องเป็นการไม่ทำเพื่ออำนาจของตัวเอง แม้ชีวิตก็ต้องทำเพื่อรักษาไว้ซึ่งประเทศชาติ และประเทศชาติเวลานี้ประชาชนในแผ่นดินจะฆ่ากันแหลกรานอยู่แล้ว ทหารทำอะไรอยู่ทุกคนงงหมดทั้งประเทศแล้ว ถ้าทหารยังเฉยประเทศชาติจะอยู่อย่างไร ปล่อยให้ประเทศสุ่มเสี่ยงอย่างนี้ได้อย่างไร

ทหารของประเทศชาติอยู่ที่ไหนสถานการณ์อย่างนี้ทหารควรออกมาเป็นเจ้าภาพใน การจัดการประเทศ เพื่อรักษาประเทศชาติเอาไว้ แต่ไม่ใช่ให้มาปฏิวัติ  แต่ให้ออกมาเป็นทหารของประเทศชาติ โดยจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน อะไรที่ไม่ดี อย่างเช่นเห็นว่ารัฐธรรมนูญบางมาตรามีปัญหาใช้ไม่ได้ ก็ยกเว้นไว้ก่อน อะไรที่เป็นเนื้อร้ายก็ต้องยอมตัดทิ้ง และหาคนที่เป็นที่ยอมรับมาดำเนินการ แต่ถ้าไม่ออกมารักษาประเทศชาติเอาไว้แล้วคุณจะพูดได้อย่างไรว่าคุณเป็นทหาร ของประเทศชาติ เราไม่ได้ทำเพื่อตัวเองแต่ทำเพื่อรักษาประเทศชาติเอาไว้ แต่ที่ผ่านมาทหารออกมาปฏิวัติเพื่ออำนาจของตัวเองทั้งนั้น แต่ครั้งนี้ถ้าจะออกมาควรออกมาเป็นเจ้าภาพในการจัดการประเทศให้เกิดความสงบ สุข และมีทางเดินไปได้ เราไม่ได้เรียกร้องให้ทหารออกมาปฏิวัติ แต่ให้ออกมารักษาประเทศชาติเอาไว้มาเป็นเจ้าภาพในการรักษาประเทศชาติไม่ให้ ล่มสลายไปกับนักการเมือง อย่างไรก็ตามการที่ตนออกมาพูดไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงเกิดขึ้นในประเทศ แต่ต้องการให้บ้านเมืองไปได้ และด้วยความปรารถนาดีกับทุกฝ่าย และห่วงประเทศชาติบ้านเมืองด้วยความจริงใจ” นายสมชัย กล่าว.

ที่มา : เดินิวส์ออนไลน์
[Continue reading...]

ทหารหวั่น "ตำรวจ" ใช้ความรุนแรงกับประชาชน

- 0 comments
รองโฆษกกองทัพบก ห่วงสถานการณ์ชัตดาวน์ปิดกรุงจะเกิดความรุนแรง ขณะเตรียมชุดดูแลมวลชนแล้ว ปัดทหารกักตัว รองนายกฯ เพื่อทำการปฏิวัติ
พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ยอมรับว่า ทางกองทัพมีความเป็นห่วงสถานการณ์ชัตดาวน์ปิดกรุง 7 จุด ของกลุ่ม กปปส. จะเกิดความรุนแรง โดยเฉพาะกังวลจะไม่ได้รับความปลอดภัยของมวลชนที่เข้าร่วมชุมนุม ซึ่งฝ่ายทหารยังกังวลอยู่ ทั้งนี้ ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ทหาร เข้าไปช่วยเสริมดูแลความสงบเรียบร้อย โดยจะเน้นประจำการในสถานที่ราชการ และชุดเจ้าหน้าที่แจ้งเตือนเหตุต่างๆ ไว้คอยดูแลประชาชนไว้แล้ว เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่กระทำการรุนแรงกับกลุ่มผู้ชุมนุม

นอกจากนี้ ย้ำว่า บทบาทของ ผบ.เหล่าทัพ จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้เสนอให้ นายกรัฐมนตรี ออกพระราชกฤษฎีกาเลื่อนเลือกตั้ง ซึ่งคงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของฝ่ายการเมืองดำเนินการแก้ไขหาทางออกกันเอง

ส่วนกรณีที่กระแสข่าวว่า กองทัพควบคุมตัว รองนายกรัฐมนตรีบางคน ไว้ในเซฟเฮ้าส์ เพื่อทำการปฏิวัตินั้น ยืนยัน ไม่เป็นความจริง และมั่นใจ เป็นไปไม่ได้ที่กองทัพจะกระทำการดังกล่าว พร้อมย้ำ ทหารจะไม่ปฏิวัติอย่างแน่นอน

ที่มา : สำนักข่าว INN
[Continue reading...]

Friday, January 10, 2014

เรืองไกร โวย สตง.เสนอ กกต ทบทวนการเลือกตั้ง ห่วงใช้งบฯเปล่าประโยชน์

- 0 comments
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ทำหนังสือถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้ทบทวนการเลือกตั้ง 2 ก.พ.57 เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้ใช้งบประมาณ 3,885 ล้านบาทโดยเปล่าประโยชน์ว่าแม้ สตง.จะมีหน้าที่การตรวจสอบการดำเนินงานและการใช้จ่ายงบประมาณของแผ่นดิน แต่การออกหนังสือของ กกต.ครั้งนี้ ในฐานะที่ตนเป็นศิษย์เก่า สตง.มองว่าผิดที่ผิดทาง เนื่องจากงบประมาณ 3,885 ล้านบาท ที่ใช้ในการจัดการเลือกตั้ง ก็เป็นผลมาจากพระราชกฤษฎีกา ยุบสภาเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.56 ซึ่งต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ดังนั้นหน้าที่ของ กกต. คือการดำเนินการอย่างไรให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์มากที่สุด


 สำหรับเหตุผลที่ สตง.แนะนำไปในหนังสือนั้น ทั้งในเรื่องเมื่อเลือกตั้งแล้วอาจจะต้องมีการยุบสภาโดยเร็วและมีการเลือกตั้งใหม่ ก็แสดงให้เห็นว่า สตง.เข้าใจดีว่าหลังจากเลือกตั้งแล้วจะต้องจัดตั้งรัฐบาล และสภาผู้แทนราษฎร จากนั้นอาจจะมีขบวนการปฏิรูปโดยกำหนดระยะเวลาหนึ่ง เช่นปฏิรูปให้เสร็จภายใน 1 ปี ก่อนยุบสภา และมีการเลือกตั้งใหม่ นั่นหมายถึงว่าการเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ.57 อย่างไรก็ต้องเกิด และ กกต.ก็ต้องทำหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด อีกทั้งอยากให้ สตง.เข้าใจตัวบทกฎหมายและบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงสถานการณ์การเมืองปัจจุบันไม่ใช่ประเด็นทางการเมือง แต่เป็นการปลุกระดมก่อม็อบ และแกนนำก็ถูกออกหมายจับในฐานะกบฏ

สตง.ควรทักท้วง กกต. ว่าทำอย่างไรให้ใช้งบประมาณ 3,885 ล้านบาท ให้มีประสิทธิภาพ และให้สามารถมีสภาผู้แทนราษฎรได้ ไม่ควรแสดงท่าทีในลักษณะขัดขวางกระบวนการทางประชาธิปไตยเช่นนี้ ซึ่งไม่ใช่กิจของ สตง. หากห่วงใยในการใช้จ่ายภาษีของประชาชนจริงก็มีเรื่องอื่นอีกมากมาย ที่ให้ไปตรวจสอบ

 

[Continue reading...]

Wednesday, January 8, 2014

ผบ.ทบ.กร้าว หากเกิดปะทะ-สูญเสีย รัฐต้องรับผิดชอบ

- 0 comments
เมื่อวันที่ 7 ม.ค.เวลา09.45 น.  ที่กรมแพทย์ทหารบก พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชาผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)  ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าการที่ทหารเคลื่อนย้ายกำลังในช่วงนี้เพื่อทำการปฏิวัติรัฐประหารว่า ข่าวลือก็เป็นข่าวที่ไม่จริง ดังนั้นไม่ต้องเชื่อ เพราะการเคลื่อนย้ายกำลังพลมีทุกปีและนโยบายปี 2557 ของกองทัพบกเป็นการนำพากองทัพไปสู่ความทันสมัยในอนาคต ในปีนี้เป็นวาระพิเศษที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะนำยุทโธปกรณ์ใหม่ที่ได้จัดซื้อจัดหามาให้ประชาชนในกทม.ได้เห็นว่าสิ่งที่ได้จัดซื้อมามีสมรรถนะเพียงใด แสดงให้เห็นว่ากองทัพได้ใช้จ่ายงบประมาณในการจัดหายุทโธปกรณ์ได้อย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ ส่วนที่มีคนระแวงว่าทหารจะใช้การปฏิวัติเป็นทางออกสุดท้ายนั้นก็กลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงเมื่อมองไม่เห็นก็อย่าไปกลัว คิดว่าทุกอย่างมีสาเหตุหมด ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ทั้งนี้อย่าพูดถึงเรื่องนั้นเรื่องเดียวทุกเรื่องต้องมีสาเหตุ ต้องมีเงื่อนไข ดังนั้นต้องไปหาให้เจอว่าอยู่ที่ไหนถ้าไม่มีเหตุอะไรก็ไม่มีเรื่อง เหมือนเรื่องอีกากับวัว ถ้าวัวมีแผล อีกาก็จะมาจิกหลังทุกวันหากไม่มีแผลก็ไม่มีอีกา ประเทศชาติอยู่ด้วยกระบวนการศาลยุติธรรม องค์กรอิสระถ้าเราอยู่ด้วยการแก้ปัญหาที่ผิดวิธีจะสร้างปัญหาไปเรื่อยๆ


เมื่อถามว่า เกรงหรือไม่ว่าการที่กลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.)ปิดกทม.จะส่งผลให้เกิดการปะทะกัน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าการปะทะเกิดมาแล้วหลายครั้งขอให้ลองย้อนกลับไปดูปี53 ว่าเกิดอะไรขึ้น ในปี 53 มีสองฝ่ายคือรัฐบาลกับกลุ่มต่อต้านส่วนปีนี้มีรัฐบาลกับกลุ่มต่อต้านคือกปปส. และยังมีอีกกลุ่มที่เตรียมออกมาอีก สรุปคือมี3 กลุ่ม ซึ่งต่างจากปี 53 ตนขออย่างเดียวว่าอย่าให้เกิดความรุนแรง ทหารต้องดูแลประชาชนทุกพวกทุกฝ่ายไม่ให้บาดเจ็บล้มตายไม่ได้ดูแลฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ตนต้องดูแลคนทั้งประเทศ ส่วนการปิดกทม.ของกปปส.ต้องคอยดูว่าจะเกิดอะไรซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไร เพราะไม่ใช่กปปส.หวังเพียงอย่างเดียวว่าจะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นทั้งสองฝ่ายมีทางออกร่วมกัน หรือใครจะหวังให้ฆ่ากันตายหมดใครก็ตามที่ทำให้เกิดความรุนแรงคนนั้นจะต้องรับผิดชอบ  ไม่ว่าพวกไหน ถ้าออกมาเมื่อไร ประชาชนตีกันมีการบาดเจ็บล้มตาย เกิดจลาจลรัฐบาลต้องรับผิดชอบในหลักการ

เมื่อถามว่าหากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ลาออกจากตำแหน่งรักษาการจะจบหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ต้องไปถามนายกฯเอง เมื่อถามถึงกรณีที่บางฝ่ายมีความต้องการให้ประกาศใช้พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า คิดว่ารัฐบาลและนายกรัฐมนตรีเข้าใจ ตนอธิบายในที่ประชุมกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.)ที่ผ่านมา และชี้แจงว่ากองทัพเคยใช้อย่างไร เพราะทหารถูกนำไปเกี่ยวโยงทุกครั้งไปซึ่งตนชี้แจงถึงเหตุผล และความจำเป็นในการตั้งศอ.รส. ขอย้อนกลับไปเมื่อปี 53ก่อนประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง มีเหตุการณ์ใช้ความรุนแรง 6 ครั้ง มีการใช้อาวุธสงครามยิงโดยไม่รู้ว่าใครทำ จึงมีการประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคงจากนั้นมีการพัฒนาสถานการณ์ตามลำดับ โดยมีเหตุการณ์ใช้อาวุธสงคราม  24-26 ครั้งจึงมีการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินและจากนั้นยังมีการเหตุการณ์ความรุนแรงอีก 60 กว่าครั้ง

“ทั้งหมดในปี 53มีเหตุการณ์ความรุนแรง ใช้อาวุธสงคราม กระสุน และวัตถุระเบิดทั้งหมด 96 ครั้งแต่วันนี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งต้องไปพิสูจน์ทราบให้ได้ว่าเกิดจากใคร ผมได้นำเรียนนายกรัฐมนตรีและศอ.รส.ไปแล้วว่าต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบให้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นในขณะนี้ ใครเป็นคนทำเรื่องนี้ต้องชัดเจน จะได้ไม่พัฒนาไปสู่ปี 53ในปีนั้นมีการประกาศใช้พ.ร.บ.มั่นคงตั้งแต่เดือนก.พ.จนไปจบสิ้นการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นเวลา 9 เดือนเต็ม แต่ขณะนี้เพิ่งผ่านไปแค่ 2 เดือน ผมพยายามหยุดไม่ให้ยืดยาวไปสู่จุดนั้นจนทำให้ประเทศชาติเสียหายทุกคนต้องกลับมาแก้ปัญหากันให้เจอ ผมไม่สนับสนุนให้ใช้ความรุนแรงเจ้าหน้าที่และประชาชนไม่ควรใช้ความรุนแรง ไม่ว่าผมพูดอะไรก็เสียหายหมดทุกพวกทุกฝ่ายแต่จำเป็นต้องชี้แจง เพราะทหารทุกคนฟังคำสั่งผมอยู่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทหารต้องดูแลประชาชนทุกฝ่ายทุกพวก ทุกสี ถ้าไม่เลิกสี ผมก็ต้องดูทุกสี ถ้ามี 10 สี ผมก็ดูคน 10 สีขอให้ประชาชนเข้าใจ ใครก็ตามที่มีปัญหากัน ต้องไปหาทางกันให้เจอ อย่าเอาผมมาตัดสินวันนี้เหมือนทำข้อสอบอยู่ ต่างคนต่างงงว่า ข้อสอบถามว่าอย่างไรส่วนคนตอบก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร สรุปไม่เข้าใจทั้งคนออกข้อสอบและนักเรียน จึงจะหากรรมการกลางมาตัดสินผมว่ามันไม่ใช่” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

เมื่อถามว่าช่วยบอกให้คนทั้งประเทศมั่นใจได้หรือไม่ว่ากองทัพจะไม่ทำปฏิวัติรัฐประหาร เพราะขณะนี้ทำให้ตลาดหุ้นตก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า“มันไม่เกี่ยวกับทหารอยู่ที่พวกคุณกันเอง หุ้นจะตกหรือไม่อย่ามาโทษทหาร อย่ามาหาว่าทหารจะทำโน่นหรือทำนี่เมื่อสื่อเป็นคนสร้าง วาดเรื่องขึ้นมาเองแล้วให้ผมมายืนยัน ผมไม่ตอบ ผมไม่ยืนยัน” เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยระบุว่า ทางกปปส.มีแผนลับ 10 ประการ เพื่อให้ทหารปฏิวัติ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าต้องตรวจดูว่า จริงหรือไม่ ใช่หรือไม่ วันนี้ใครจะเขียนแผนอะไรก็ได้ ตนอ่านแล้วตนก็ขำวันนี้โลกไม่ได้มีแค่มืดกับสว่าง เพราะถ้าตรงไหนมืดก็เปิดไฟถ้าตรงไหนสว่างเกินไปก็ปิดไฟ ถ้าทุกคนมาช่วยกันสุมไฟให้สว่างมันจะร้อนเกินไปต้องเอาธรรมะเข้าข่ม ต้องมีสติ รู้คิด รู้ทำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงรับสั่งไว้แล้ว

“ทุกคนต้องช่วยกันแก้ปัญหา ไม่ใช่ผมคนเดียวถ้าให้ผมกับองค์กรของผมมาแก้ปัญหาคงไม่ใช่ ทุกคนต้องช่วยกันแก้ปัญหาเราต้องสร้างความเข้มแข็ง และรวมพลังกันแก้ปัญหาให้ได้อย่าให้คนใดคนหนึ่งเป็นคนแก้ปัญหา องค์กรใดก็แก้ไม่ได้เพราะปัญหาวันนี้มีความสลับซับซ้อน วันนี้ทหารทำดีที่สุดแล้ว คือการทำให้สถานการณ์หยุดนิ่งอยู่กับที่อาจรำคาญบ้างเล็กน้อยแต่อย่าใช้ยาแรง วันนี้เป็นไข้เล็กน้อย อาจจะเติมยาไปสักหน่อยถ้าใช้ยาแรงมันอันตราย ใครก็ไม่อยากทำให้ประชาชนบาดเจ็บเสียหายทั้งนี้กำลังทหารที่ออกไปช่วยศอ.รส.ไปดูแลประชาชนให้ปลอดภัยไม่ใช่ไปปราบปรามประชาชน การประชุมกอ.รมน.ที่ผ่านมาได้พูดคุยกับนายธาริต  เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)ให้ติดตามคดี เพราะตอนนี้มีคดีมากขึ้น ความผิดเหมือนเดิม อธิบดีก็คนเดียวกันซึ่งถ้าจะเคลียร์ปีนี้และเคลียร์ของปี 53 ให้ผมด้วย เคลียร์ให้จบทั้งสองอันถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่เลิกกันสักที”ผบ.ทบ.กล่าว

ที่มา : เดลินิวส์ 7 มกราคม 2557
[Continue reading...]

Monday, January 6, 2014

ย้อนรอยดู สปก 4-01..ผลงานที่ยังอยู่ในความทรงจำ..สุเทพ เทือกสุบรรณ

- 1 comments
คนรุ่นหลัง จำนวนมากเกิดไม่ทันรู้ ดูไม่ทันเห็น ความชั่วร้ายของชายชื่อสุเทพ เทือกสุบรรณ และคณะพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อครั้งมีอำนาจในมือซ้าย ถือกฎหมายในมือขวา

เมื่อครั้งนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สุเทพ เทือกสุบรรณ สร้างผลงานโบว์ดำอันลือลั่นสั่นสะเทือนแผ่นดิน ด้วยการใช้อำนาจ และช่องโหว่ทางกฎหมาย แจกที่ดิน สปก.4-01 ให้กับ ทศพร เทพบุตร สามีของ อัญชลี เทพบุตร ขณะเป็นเลขานุการของตนเอง

ไม่เพียงแต่ ทศพร เทพบุตร คนเดียวที่ได้รับที่ดินผืนงามของเกาะภูเก็ต ไปกว่า 90 ไร่ ยังมี “นายหัว” อีกหลายคนของเกาะภูเก็ต ที่เป็นนายทุนของพรรคประชาธิปัตย์ และสนิทสนมชิดเชื้อ เอื้อเฟื้อสุเทพ เทือกสุบรรณ และ พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับเอกสารสิทธิสปก.4-01 เหมือนกับทศพร เทพบุตร ไปด้วย

ทั้ง ทศพร เทพบุตร และคนเหล่านี้ ไม่มีสิทธิที่จะได้รับเอกสารสิทธิที่ดินสปก.4-01 ซึ่งเป็นที่ดินของหลวง ที่ดินของรัฐ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะยกให้แก่เกษตรกรคนยากจนที่ไม่มีที่ดินทำกิน แต่ ทศพร และ”นายหัว” หลายคน ไม่ใช่เกษตรกร เป็นคหบดี เป็นเศรษฐีใหญ่ของเกาะภูเก็ต ไม่เช่นนั้นคงเป็นนายทุนใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้

คนเหล่านี้ ไม่มีสิทธิ แต่ได้รับสิทธิ ได้รับที่ดินหลวงไปเป็นสมบัติของตัวเองกันคนละหลายสิบไร่ เพราะการใช้อำนาจในมือซ้าย และใช้กฎหมายในมือขวา ตามสไตล์ สุเทพ เทือกสุบรรณ

เหตุการณ์อัปยศ โกงที่ดินหลวง แย่งที่ดินคนจน ไปแจกจ่ายแก่พวกพ้อง เกิดขึ้นเมื่อปี 2538 ขณะพรรคประชาธิปัตย์ เป็นรัฐบาล ชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นโฆษกรัฐบาล

ทั้ง ชวน สุเทพ และ อภิสิทธิ์ ชี้แจงแสดงเหตุผล เถียงกับสื่อมวลชน และประชาชนทั้งประเทศ ที่เห็นว่าการแจกเอกสารสิทธิที่ดินสปก.4-01 แก่เศรษฐี คหบดี เป็นเรื่องผิด แต่ ทั้ง 3 คนของพรรคประชาธิปัตย์ เถียงคอเป็นเอ็น เห็นว่าเป็นเรื่องถูก

เถียงกันจน ชวน หลีกภัย กลายเป็นคนโง่ ไม่รู้ว่าเกษตรกรแปลว่าอะไร ต้องส่งให้กฤษฎีกาตีความคำว่า เกษตรกร

เถียงกันจน สุเทพ เทือกสุบรรณ ถูกต้อนจนมุม ถูกถลุงจนต้องโยนผ้ายอมแพ้ ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ไป

เถียงกันจน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับฉายาจากนักข่าว ว่า โฆษกเทวดา เพราะดูถูกดูแคลนนักข่าว สื่อมวลชน ประชาชน ที่จี้ถามเรื่องนี้ ว่าอธิบายอย่างไรก็ไม่เข้าใ

เถียงกันจนพรรคประชาธิปัตย์ ต้องล่มสลาย หนีตายคาสภาฯ หนีการลงมติไม่ไว้วางใจในสภา ด้วยการยุบสภา เพื่อเอาตัวรอด ไม่กล้ายืนสู้หน้าประชาชน ไม่กล้ายืนตัวตรงรับฟังคำพิพากษาของสภาผู้แทนราษฎร ก่อนหน้าการลงมติ เพียง 1 ชั่วโมง 30 นาที

เถียงกันจนถึงวันนี้ พรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังยืนยันว่าทำถูกต้องทุกประการ ทั้งๆ ศาลฎีกาพิพากษาแล้วว่าทำผิด และสั่งให้ ทศพร เทพบุตร ออกจากที่ดินหลวงที่ยึดครองเป็นสมบัติส่วนตัวนานถึง 12 ปี
พรรคประชาธิปัตย์ ยังคงยืนกรานว่าทำถูก และต้องการใช้คนภูเก็ตพิสูจน์ความถูกต้องในเรื่องนี้ของตนเอง ด้วยการ ส่ง ทศพร เทพบุตร ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส. ในยุคสมัยที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์

พฤติกรรมของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ชวน หลีกภัย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ ทศพร เทพบุตรเมื่อ ปี 2538 คือ พฤติการณ์ของนักการเมืองที่สร้างภาพลักษณ์ตนเป็นคนดี แต่แท้จริงกลับเป็นปีศาจคาบคัมภีร์ ถืออำนาจเป็นศาสตรา ใช้กฎหมายเป็นอาวุธ ทำร้ายบ้านเมือง โกงที่ดินรัฐ คอรัปชั่นแผ่นดินหลวง ยักยอกทรัพย์สินของชาติ ไปให้แก่พวกพ้อง โดยไม่สนใจความถูกต้องอยู่ตรงไหน

การคอรัปชั่นเชิงนโยบาย เอื้อประโยชน์ให้แก่พวกพ้อง และความไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ประเทศชาติ คือ ข้อสรุปพฤติกรรมการบริหารงานของพรรคประชาธิปัตย์ ในกรณี สปก.4-01 ที่เป็นกรณีศึกษา กรณีตัวอย่าง ที่ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง แต่ยังเป็นที่น่าประหลาดเมื่อพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล้าอวดอ้างเป็นพรรคการเมืองที่มีธรรมาภิบาล เป็นพรรคการเมืองที่มีจริยธรรมในการบริหารบ้านเมือง

สำหรับท่านทั้งหลาย ที่เกิดไม่ทันรู้ ดูไม่ทันเห็น หรือเคยรู้เคยเห็นแต่ จำไม่ได้แล้วว่า รายละเอียดเป็นอย่างไร ก็จะได้เห็นได้รู้กันเสียที และอีกครั้งหนึ่ง ว่า ทำไมเมื่อพูดถึงสปก.4-01 ผู้อาวุโสหลายจึงคนต้องนึกถึงพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยอาการขนลุกขนพอง สยองเกล้า และทำไม สปก.4-01 จึงกลายเป็นเครื่องหมายตราบาปติดตัว สุเทพ เทือกสุบรรณ และ พรรคประชาธิปัตย์ จนแกะไม่ออก แยกไม่ได้

เนวิน ชิดชอบ คือนักการเมืองหนุ่มจากบุรีรัมย์ ในวันนั้น เป็นนักการเมืองที่สะสมข้อมูลทุกเรื่องไว้มากที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทย เป็นนักการเมืองที่ใช้ข้อมูลด้วยความพิถีพิถัน ใช้ข้อมูลเป็นอาวุธได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด คือคนที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้สรุปความชั่วร้ายของพรรคประชาธิปัตย์ ในกรณีการแจกที่ดินสปก.4-01 ให้แก่ เศรษฐีภูเก็ต เมื่อ 12 ปีที่แล้ว

หลังการอภิปรายของเนวิน ชิดชอบ ในวันนั้น พรรคพลังธรรม โดยพล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็ถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ทันที

ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่กล้านำคณะรัฐบาล เข้ารับฟังการพิพากษาจากสภาผู้แทนราษฎร และต้องหนีเอาตัวรอดด้วยการยุบสภาผู้แทนราษฎร ทันที

ทั้งๆ ที่ สภาผู้แทนราษฎร ไม่ได้กระทำความผิด แต่เป็นผู้เปิดเผยการกระทำความผิดของรัฐบาล ต่างหาก

กรณี สปก.4-01 เป็นความผิดของรัฐบาล แต่ผู้ถูกลงโทษกลับเป็นสภาผู้แทน ราษฎร เพราะการใช้อำนาจของ ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ซึ่งเป็นการยุบสภาฯ หนีการลงมติไม่ไว้วางใจ โดยแท้ เป็นการยุบสภาฯ เพื่อประโยชน์ของพรรคประชาธิปัตย์ เพียงพรรคเดียว

ในขณะที่ เนวิน ชิดชอบ ได้รับผลตอบแทนคือ ถูกสร้างภาพว่าเกี่ยวข้องกับซื้อเสียงที่จังหวัดบุรีรัมย์ และเป็นที่มาของฉายา ยี้ห้อยร้อยยี่สิบ ที่ติดตัวมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งๆ ที่ศาลฎีกาพิพากษาแล้วว่า เนวิน ชิดชอบ ไม่เกี่ยวข้องกับการซื้อเสียงครั้งนั้น และได้ลงโทษจำคุกผู้กระทำความผิด ไปแล้ว

แต่ด้วยความรอบจัดและความชำนาญทางการใช้สื่อเป็นอาวุธ และมีเครือข่ายสื่อเป็นพวกพ้องของพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้เนวิน ชิดชอบ ต้องได้รับเคราะห์กรรมอย่างสาหัสแต่เพียงลำพัง โดยที่ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ

ในกรณีหนึ่ง ศาลฎีกาพิพากษาว่า เนวิน ชิดชอบ ไม่ใช่ผู้กระทำความผิด แต่พรรคประชาธิปัตย์ กลับเห็นว่าผิด

ในกรณีหนึ่ง ศาลฎีกาพิพากษาว่า ทศพร เทพบุตร ไม่ใช่ผู้มีสิทธิได้รับสปก.4-01 และต้องคืนที่ดินให้หลวง แต่พรรคประชาธิปัตย์ กลับบอกว่าทศพร ไม่ผิด สุเทพ ไม่ผิด ที่ผิดคือ กฎหมายที่เขียนไว้ไม่รองรับถึงทศพร

น่าประหลาดที่ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคการเมืองที่มีนักกฎหมายอยู่เต็มพรรค และเป็นพรรคการเมืองที่ครั้งหนึ่งเมื่อเป็นรัฐบาล ชวน หลีกภัย ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เคยประกาศว่าจะทำให้ทุกคนอยู่ใต้กฎหมายอย่างเสมอภาคกัน

แต่ สองกรณีนี้เห็นได้ชัดเจนว่า นักกฎหมายที่มีอยู่เต็มพรรคประชาธิปัตย์เป็นนักกฎหมายชนิดใด และคำพูดของชวน หลีกภัย เชื่อถือได้หรือไม่

จะมีสักครั้งหรือไม่ ที่พรรคประชาธิปัตย์ จะพูดความจริงกับประชาชน

ฟังเรื่องสปก.4-01 ของพรรคประชาธิปัตย์ จากปากของ เนวิน ชิดชอบ ดีกว่า แล้วท่านจะได้รู้ และเข้าใจว่าทำไม นายกฯทักษิณ ต้องนำกรณีนี้มาเตือนสติ คตส. และประณามเป็นนักฎหมายสองมาตรฐาน

ฟังเรื่องสปก.4-01 จบ แล้วคุณจะรู้จักพรรคประชาธิปัตย์ ดีขื้นกว่าที่คุณเคยรู้จัก

แล้วคุณจะรู้ว่าปีศาจคาบคัมภีร์ ไม่ใช่คำเปรียบเทียบ หรืออุปมาอุปไมย แต่มีตัวตนจริงๆ ชื่อว่า..

“ประชาธิปัตย์”
[Continue reading...]

Friday, January 3, 2014

สุเทพ ประกาศ "ทุบหม้อข้าว" รื้อเวทีราชดำเนิน 13 ม.ค. 57 ปิดเกม ระบอบทักษิณ

- 0 comments

เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 3 ม.ค. ที่เวทีชุมนุมของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส. ขึ้นปราศรัยบนเวทีว่า วันนี้พวกเราเตรียมตัวกันเต็มที่ คนที่อยู่ต่างจังหวัดและกทม.ต้องเร่งรีบสะสางงานที่ยังค้างอยู่ เพื่อเตรียมตัวร่วมต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 13 ม.ค. นี้เป็นต้นไป การสู้ครั้งนี้ต้องให้จบให้ได้ ซึ่งแกนนำกปปส.ปรึกษากันว่าครั้งนี้จะเป็นการทุบหม้อข้าวตีเมือง คนที่อยู่ต่างจังหวัดที่จะมาถนนราชดำเนินต้องมาให้ถึงก่อนวันที่ 12 ม.ค. เพราะช่วงเช้าของวันที่ 13ม.ค. จะรื้อเวทีปราศรัยที่ถนนราชดำเนิน เป็นการทุบหม้อข้าวไม่กลับมาอีก เพราะจะแยกย้ายกันไปปฏิบัติการยึดเมืองหลวงตามสถานที่ต่างๆ และปักหลักตามสถานที่นั้นๆ จนกว่าจะได้รับชัย

นายสุเทพ กล่าวว่า หากคนต่างจังหวัดตกขบวนมาไม่ทันวันที่ 12 ม.ค.ก็ขอให้เลือกว่าจะไปร่วมสมทบที่เวทีใด สามารถเลือกได้เอง ส่วนเวทีที่ถนนราชดำเนินจะรื้อเต็นท์ย้ายครัวไปเปิดสนามรบใหม่ และปฏิบัติการยึดเมืองหลวงกทม. ซึ่งการดำเนินการครั้งนี้จะเป็นตำนานเล่าขานต่อไป

นายสุเทพ กล่าวต่อว่า ขณะนี้มีเสียงโจมตีจากรัฐบาลขุดคุ้ยตนมาทุกเรื่อง แต่ตนไม่กลัวความเสียหาย และจะเดินหน้าสู้อย่างเดียวแบบแลกหมัดกันไปเลย ไม่ต้องเสียเวลามานั่งชี้แจงเรื่องต่าง ๆ ตนประกาศแล้วว่างานนี้จะเป็นงานชิ้นสุดท้ายที่จะทำให้บ้านเมือง เสร็จงานแล้วจะเลิกทุกอย่างและกลับบ้าน โดยไม่คิดเป็นนักการเมือง รัฐมนตรี และส.ส.แล้ว เพราะไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง เรื่องสปก.4-01 ในสมัยตนเป็นรมช.เกษตรฯ นั้น เห็นคนทำกินในที่ดินของรัฐ ส่วนใหญ่เป็นคนจนเข้าไปตัดไม้และถูกดำเนินคดี จึงเสนอว่าต้องทำให้คนประมาณล้านกว่าครอบครัวเป็นคนที่มีชีวิตอย่างถูก กฎหมายและมีวิธีเดียวคือใช้กฎหมายปฏิรูปที่ดิน

ดังนั้นจึงเข้าไปประกาศปฏิรูปที่ดินในที่ของรัฐเพื่อให้ประชาชนเข้าไปทำ กิน และมีสิทธิทำกินถูกต้องตามกฎหมาย ตลอดเวลา 2 ปีเศษที่เป็นรมช.เกษตรฯ ตนช่วยคนจนได้ครอบครองที่ดินทำกินโดยถูกกฎหมายเกือบ 7 แสนครอบครัว นอกจากนี้ยังมีการปลุกปั่นตำรวจว่าตนดูหมิ่นศักดิ์ศรี รวมถึงเรื่องโรงพักที่สร้างไม่แล้วเสร็จ ซึ่งขอชี้แจงว่าเรื่องโรงพักสร้างไม่เสร็จนำมาตีไปแล้วหนึ่งครั้ง สมัยเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่ทางสำนักงานตำรวจแห่ง ชาติ(สตช.) เป็นผู้พิจารณา และเสนอมาที่ตนในสมัยที่เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงทั้งสิ้น ทุกขั้นตอนผ่านผบ.ตร.มาแล้ว 4 คน มาถึงวันนี้เมื่อเห็นว่าโรงพักสร้างไม่เสร็จจึงหาเรื่องว่าตนเป็นคนทำให้ สร้างโรงพักไม่เสร็จ

“ผมขอวิงวอนตำรวจทั่วประเทศอย่าหูเบา เชื่อคำยุยุง ขอให้ฟังคำปราศรัยของผมว่ารังเกียจเฉพาะตำรวจชั่วเท่านั้น แต่เป็นกำลังใจให้ตำรวจดี อย่างไรก็ตามขอบอกผบ.ตร.ว่าหากนำตำรวจมาแสนคนก็ไม่สามารถปราบผู้ชุมนุมได้ เพราะการชุมนุมครั้งนี้จะมีหลายล้านคน และขอประกาศว่าเราไม่ต้องการสู้รบกับตำรวจหรือเจ้าหน้าที่คนไหน เพราะเราไม่ได้มาสู้กับเจ้าหน้าที่ แต่มาสู้กับระบอบทักษิณ ขอให้ผบ.ตร.อย่าเป็นศัตรูกับประชาชน ผมทราบว่าตำรวจจะสลายผู้ชุมนุมให้ได้ก่อนวันที่ 11 ม.ค. แต่ช่วงนั้นเป็นงานวันเด็ก ขอให้ตำรวจเลิกคิด หากตำรวจทำความรุนแรงกับประชาชนอีกครั้ง ตำรวจจะอยู่ประเทศไทยไม่ได้ เราจะสู้ ท้ายนี้ผมขอกราบอภัยคนกทม.ที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการชุมนุมใหญ่ครั้งนี้ แต่ขอให้คิดว่าเสียสละเพื่อประเทศชาติ” นายสุเทพ กล่าว      

ที่มา : เดลินิวส์
[Continue reading...]

Thursday, January 2, 2014

"สมชัย”เผยผลหารือพท-ปชป.ยังไม่มีข้อยุติ

- 0 comments
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง ให้สัมภาษณ์ภายหลังการหารือร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของพรรคเพื่อไทย(พท.) และพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เกี่ยวกับแนวทางในการช่วยคลี่คลายสถานการณ์ทางการเมือง ว่า ตนได้มีการหารือกับทางตัวแทนของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยได้นำเสนอชุดความคิดที่หวังจะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ทางการเมืองใน ปัจจุบันให้กับสองฝ่ายไป

แต่จากการหารือครั้งนี้สรุปว่ายังไม่มีข้อยุติว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะยอมรับชุดความคิดดังกล่าวหรือไม่ แนวโน้มเป็นไปในทิศทางที่ไม่ดีเท่าใดนัก เนื่องจากมุมมองทั้งสองฝ่ายยังมีความแตกต่างกันอยู่ แต่เชื่อว่าหลังจากนี้ทั้งสองฝ่ายคงนำชุดความคิดที่ตนได้เสนอ ไปหารือกันว่าจะเป็นวิธีการคิดที่จะช่วยให้เกิดผลดีกับสถานการณ์การเมืองใน ปัจจุบันหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ตนจะนำข้อหารือในวันนี้นำเสนอให้กกต.อีก 4 คน ได้รับทราบในการประชุมกกต.วันพรุ่งนี้ ( 3 มกราคม ) จากนั้นจึงจะแถลงข่าวให้สื่อมวลชนได้รับทราบว่าสิ่งต่างๆที่ได้นำเสนอไปนั้น เป็นอย่างไรและผลตอบรับเป็นอย่างไร

“ในวันนี้ใช้เวลาหารือร่วมกับทางตัวแทนพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ นานกว่า 2 ชั่วโมง นัดพบกันที่โรงแรมชื่อดังย่านใจกลางเมือง แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีข้อยุติ เท่าที่ดูพบว่าขณะนี้ยังเห็นความแตกต่างในวิธีการคิดของทั้งสองพรรคการเมือง จึงไม่ง่ายนักที่จะทำให้เป็นเนื้อเดียวกัน เพราะฉะนั้นคงต้องรอคอยให้สถานการณ์ต่างๆ มันพัฒนาไปสู่อีกระดับหนึ่ง ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องรอคอยไปถึงเมื่อใด” นายสมชัย กล่าว

นายสมชัย กล่าวต่อว่า ส่วนการประสานเพื่อขอหารือกับทางกลุ่มกปปส.นั้นขณะนี้ยังไม่มีการตอบรับว่า จะร่วมหารือกับทางกกต.หรือไม่ ดังนั้น กกต.คงทำสิ่งใดไม่ได้ แต่รู้สึกห่วงใย ในสถานการณ์บ้านเมือง เนื่องจากพัฒนาการของเหตุการณ์ต่างๆ นั้นดูเหมือนจะเดินไปในทิศทางที่รุนแรงมากขึ้น ซึ่งตนได้รับข่าวว่าทางกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ก็ประกาศเปิดประเทศ ในวันที่ 13 ม.ค. ซึ่งตรงกับวันที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส. นัดชุมนุมใหญ่เพื่อปิดประเทศเช่นกัน ดังนั้นปัญหาเหล่านี้คงไม่ใช่ปัญหาการเลือกตั้งอีกต่อไปแล้ว แต่จะเป็นปัญหาของบ้านเมือง ที่ยังไม่มีทางออก โดยแต่ละฝ่ายพยายามใช้กำลังของตัวเองที่มีอยู่ออกมาแสดงและเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่จะดำเนินการแก้ไขคงไม่ใช่เป็น เรื่องของกกต.แล้ว

ที่มา : คมชัดลึก
[Continue reading...]
 
Copyright © . Yak Ratchaprasong - Posts · Comments
Theme Template by BTDesigner · Powered by Blogger