Thursday, August 22, 2013

“จุรินทร์” อ้าง จ่อยื่น "ตลก" ร่างรธน.เรื่องที่มาส.ว.ขัดรธน.เพียบ

- 0 comments
นายจุรินทร์ กล่าวเตรียมยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความร่างพ.ร.บ.แก้ไขรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว. )ว่า หลังจากรัฐสภาพิจารณาผ่านวาระ 3 แล้ว พรรคประชาธิปัตย์จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความทันที่ โดยขณะนี้มอบให้ฝ่ายกฎหมายรวบรวมประเด็นต่าง ๆ ซึ่งพบว่ามีหลายประเด็นที่ส่อว่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ เช่นการไม่พิจารณาเรียงตามลำดับวาระ โดยที่ประชุมรัฐสภายังพิจารณาวาระ 1 ไม่จบ ยังไม่มีการลงมติการกำหนดวันแปรญัตติ แต่ประธานในที่ประชุมกลับสั่งนัดประชุมคณะกรรมาธิการ  ( กมธ. )  ซึ่งถือว่าเข้าสู่วาระ 2 แล้ว นอกจากนี้ยังมีประเด็นปัญหาการตัดสิทธิส.ส.และส.ว.ผู้แปรญัตติ 57 คน ปัญหาเรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์ การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน โดยให้ส.ว.สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมัยหน้าได้ และไม่สามารถตอบได้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยได้ทันการเลือกตั้งส.ว.สมัยหน้าได้หรือไม่.

ที่มา : เดลินิวส์
[Continue reading...]

เสียงเตือนจาก"ผบ.ทบ." พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้แก้ปัญหาด้วยสติปัญญา

- 0 comments
เสียงเกรี้ยวจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กราดใส่บางคน บางพรรคที่พยายามกระพือควันเท่าไหร่ ไฟก็ไม่ยอมติดเสียที

ไฟที่จะลุกขึ้น "เผาบ้าน เผาเมือง"

ดังวาทกรรมที่ตนสร้างขึ้นมาและโหวกเหวกกรอกหูผู้คนอยู่ไม่รู้แล้ว

เสียงจากผบ.ทบ.คือ สถานการณ์ขัดแย้งในปัจจุบัน ทุกเรื่องต้องใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหา

ถ้ายังพูดให้ทะเลาะกันมากขึ้นปัญหาก็ไม่จบ

ถ้าไม่ใช้สติปัญญาและกฎหมาย ก็ไม่มีทางแก้ไขปัญหาได้


ซัดให้ด้วยว่า ปัจจุบันข้าราชการประจำก็ทำหน้าที่กันอยู่ก็ยังพยายามทำให้ข้าราชการประจำมีความขัดแย้ง แตกแยกกันทุกระบบ

"นึกจะต้องให้ออกไปข้างถนนก็ต้องออก เมื่อผมไม่ออกไปด้วยก็ด่า"

ชี้เปรี้ยงว่าถ้าแก้ไขปัญหาด้วยสติปัญญากันไม่ได้ก็อย่าอยู่กันเลย ใช้สมองไม่เป็นก็อย่าอยู่กัน

"ใช้กฎหมายไม่ได้ก็อย่าเป็นคนไทยเลย ไปเป็นโจรป่าห้าร้อยกัน"

ย้ำด้วยว่าหากจะแก้ไขก็แก้ตามกระบวน การประชาธิปไตย แต่ต้องใช้สันติวิธี ไม่ขัดแย้งต่อกฎหมาย

แล้วชี้ชัดๆ ที่ผ่านมามีบทเรียนมาแล้ว แต่ก็อยากให้เกิดกันอีก

"ตอนนี้อย่าเอาทหารเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะทหารมีงานและหน้าที่ต้องทำ ไม่ใช่มานั่งคอยมองว่าจะไป รบกับใคร ไปปฏิวัติ กับใคร

"พอผมไม่พูด สงบปากคำว่าเป็นพวกนั้นพวกนี้ ยอมเขาไปแล้ว มันเป็นธรรมกับพวกผมหรือไม่"

"มติชนสุดสัปดาห์" ฉบับผู้นำทัพบก

กับสารส่งถึงผู้นำม็อบข้างถนน       
ที่มา: ข่าวสด         
[Continue reading...]

ประชาธิปัตย์...พลาดเอง ได้ไม่เท่าเสีย

- 0 comments
ความวุ่นวายตลอด 12 ชั่วโมงของการประชุมรัฐสภาพิจารณาแก้รัฐธรรมนูญเฉพาะประเด็นที่มาของส.ว.ในวันแรก

ประชุมตั้งแต่ 9 โมงเช้ายัน 3 ทุ่ม ก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน 

ตีรวนหนักประเด็นที่ประธาน รัฐสภาขอมติตัดสิทธิ์อภิปรายของสมาชิก 57 คน เพราะยื่นอภิปรายขัดกับหลักการของร่างกฎหมาย

ไม่แตกต่างจากการอภิปรายงบฯ ปี "57 ที่อภิปรายกันข้ามวันข้ามคืน

ที่ผ่านมา เวลาที่ฝ่ายค้านไม่ยอมรับมติสภา ก็จะใช้วิธีวอล์กเอาต์ 

แต่ระยะหลังนี้จะเห็นได้ว่ากลวิธีเปลี่ยนไป
 

เน้นการเตะถ่วง ยื้อกันให้สุดๆ

แล้วสุดท้ายก็เจอทางตัน ประชุมสภาไม่ได้

ไม่ใช่เพราะรัฐบาลประท้วงฝ่ายค้าน ไม่ใช่ฝ่ายค้านประท้วงรัฐบาล

แต่คราวนี้กลับเป็นส.ส.ประชาธิปัตย์ยืนประท้วงกันเองซะงั้น

เตะถ่วงกันไปมา ลากเข้าเป้าหมายใหญ่

จนสุดท้ายประธานที่ประชุมต้องให้ตำรวจสภาเชิญส.ส.ที่ประท้วงออกนอกห้องประชุม

ชุลมุนวุ่นวายกันหนัก ยื้อยุดฉุดกระชากกัน

เรียงหน้ารุมด่าประธาน ปากระดาษปลิวว่อน

คล้ายๆ กันเหตุการณ์ในอดีตที่เคยปาแฟ้ม- ฉุดกระชากลากเก้าอี้ประธาน

เชื่อว่าเป้าหมายของความวุ่นวายไม่ได้อยู่ในสภาแน่ๆ

อาจหวังผลสร้างกระแสนอกสภาให้เห็นว่าเป็นสภาทาส เสียงข้างมากลากไป

กระตุ้นมวลชนกลุ่มต่อต้านรัฐบาลให้ลุกฮือขึ้น
 

สอดคล้องกับก่อนหน้านี้ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าปชป.ยอมรับว่าส่งส.ส.ไปง้อพธม.

สอดคล้องกับที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศสู้แตกหักทั้งในสภาและนอกสภา

สอดคล้องกับกรณีที่นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าปชป.พา ส.ส.ไปให้กำลังใจม็อบแช่แข็ง 2 ที่สวนลุม

แต่เหตุการณ์วุ่นวายในรัฐสภาก็เป็นดาบ 2 คม

ประชาชนที่นั่งดูถ่ายทอดสดการประชุมรัฐสภาก็เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด

เห็นกันชัดเจนว่าใครเริ่มก่อเรื่อง 

ใครสร้างความวุ่นวาย

ใครไม่ยึดระเบียบข้อบังคับ
สุดท้ายเชื่อว่าเกมป่วนครั้งนี้ ได้ไม่เท่าเสีย
 

ที่มา :ข่าวสด









[Continue reading...]

สุเทพ ไม่รับเงื่อนไขของสนธิ อ้่าง ต้องต่อสู้ในสภา ออกไปก็จบ !

- 0 comments
“สุเทพ เทือกสุบรรณ” ขุนพลคนสำคัญของประชาธิปัตย์ เปิดเผยถึงการเคลื่อนไหวรอบนี้ว่า ไม่ใช่การต่อสู้ที่ทำให้บ้านเมืองย่อยยับ จะไม่ต่อสู้เหมือนกับคนเสื้อแดงที่ได้ทำกับประเทศเราในปี 2552-2553 ทั้งการออกมาก่อการจลาจล เผาบ้านเผาเมือง มีอาวุธสงครามมาต่อสู้ฆ่าคน ทำร้ายประชาชน เอาคนกรุงเทพฯ มาเป็นตัวประกัน
“เราจะสู้ด้วยปัญญา สู้แบบอารยชน สู้แบบคนที่มีความคิด มีปัญญา สู้ในกรอบของกฎหมาย ไม่ทำร้ายบ้านเมือง ถ้าชุมนุมจะจัดชุมนุมด้วยความสงบ ปราศจากอาวุธ เราไม่ไปละเมิดกฎหมายบ้านเมือง เราจะไม่วิ่งไปประจัญบานกับเจ้าหน้าที่หรือปลุกให้คนไปทำอย่างนั้น เป็นการแสดงออกถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนนั้นสามารถทำได้ภายใต้กรอบของกฎหมายได้”
สุเทพ อธิบายว่า วิถีการต่อสู้จากนี้จะค่อยๆ คิดไป เช่น อาจมีการชุมนุมทั้งในกรุงเทพฯ และในต่างจังหวัดพร้อมๆ กัน อาจจะนัดหยุดงานทั้งประเทศ อาจจะปฏิเสธการใช้อำนาจรัฐ คำสั่งของรัฐบาล อาจแสดงออกไม่ฟังคำสั่งของรัฐบาล อาจปฏิเสธสินค้าบริษัทที่อยู่ในเครือข่ายของรัฐบาล ไม่จำเป็นต้องล้อมทำเนียบรัฐบาล หรือไปสภา แต่ไม่จำเป็นต้องบุกเข้าไป และจากนี้ไปจะจัดเวทีผ่าความจริง ทั่วทุกเขตในกรุงเทพมหานคร เป็นการให้ความรู้กับประชาชนก่อนจะถึงวาระ 3 ของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
“ถ้าคราวหน้าเขาประกาศ พ.ร.บ.มั่นคงหลายเขต เราก็มีเขตรอบนอก เราก็จัดเวที เขาประกาศทั้งกรุงเทพมหานครให้เป็นพื้นที่ความมั่นคง เราก็ชุมนุมจังหวัดใกล้เคียง ชุมนุมต่างจังหวัด ที่ศาลากลางจังหวัด ถ้าเข้าประกาศทั้งประเทศเป็นพื้นที่ความมั่นคง เราก็ค่อยคิดกันว่าจะทำอย่างไร”
ส่วนสาเหตุที่ทำไมถึงต้องรอให้ พ.ร.บ.นิโทษกรรม พิจารณาจนถึงวาระ 3 ก่อนจะเป่านกหวีดระดมมวลชนนั้น สุเทพ อธิบายว่า ยังมีพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่ยังไม่รู้ข้อเท็จจริง บางคนก็รู้แต่ยังใจเย็นว่ายังไม่ถึงเวลาก็มี ดังนั้นจะตั้งเวทีถี่ขึ้น ในการตั้งเวที เมื่อถึงเวลาประชาชนที่ได้ข้อมูลข่าวสาร ได้เวลาที่ตัดสินใจมาร่วมชุมนุม เราต้องให้เวลาประชาชน ต้องให้สถานการณ์สุกงอมด้วย
“ผมได้ประกาศว่า ถ้าถึงเวลาพ่ายแพ้ ในวาระ 3 ก็จะเป่านกหวีด หมายความจะยกระดับการเคลื่อนไหวที่แข็งแรงยิ่งขึ้น ถ้าเช่นนั้นจริง เราก็ต้องทำตามที่ประกาศไว้ ในขณะเดียวกัน ในสภาเราก็จะต่อสู้คู่ขนานไปด้วย ไปคุยกับวุฒิสมาชิกให้รับฟังความเห็นเหตุผลที่พรรคประชาธิปัตย์คัดค้าน ถ้าวุฒิสภาเขาแก้ไขกลับมาที่สภาผู้แทนราษฎร เราก็สู้ต่อ ถ้าผ่านไปโดยที่เราแก้ไขอะไรไม่ได้ เราก็ไปสู้ที่ศาลรัฐธรรมนูญ
ในอีกด้านเราก็จะเริ่มขยับขยายกำลังมวลชนก็คิดยกระดับการต่อสู้ไป ว่าถึงเวลาแล้วยังที่จะนัดหยุดงานหรือไม่ฟังคำสั่งของรัฐบาล ซึ่งพรรคประเมินแล้วระยะเวลาที่กฎหมายไปถึงวุฒิสภากับเวลาที่เราเตรียมตัว เตรียมมวลชน คงใช้เวลาพอกันๆ”
สำหรับคำเชิญร่วมสภาปฏิรูปของรัฐบาลนั้น สุเทพ กล่าวว่า พรรคยังไม่ได้คุยเรื่องสภาปฏิรูปการเมือง แต่สมาชิกพรรคบางส่วนได้คุยกัน แต่ยังไม่เป็นมติพรรคว่า ถ้าไม่ถอนกฎหมายนิรโทษกรรมออกไป เรื่องสภาปฏิรูปทางการเมืองก็ไม่ต้องมาคุย
“ผมคนหนึ่งที่จะไม่เข้าไปร่วมการปฏิรูปจอมปลอมนี้ ของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ อย่างแน่นอน เพราะไม่มีความเชื่อ ไม่มีความศรัทธา ไม่มีความไว้วางใจ ผมเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจของผมว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ไม่มีความจริงใจ คนในรัฐบาลนี้ไม่มีความจริงใจที่จะปฏิรูปประเทศ เขาดำเนินการต่างๆ ด้วยชั้นเชิงหลอกซ้าย หลอกขวา เพื่อให้เราตกหลุมไป เราก็ไม่ตกหลุมและจะไม่ยอมเป็นเครื่องมือให้กับคนกลุ่มนี้”
สุเทพ กล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่เคยคิดล้มรัฐบาลเลยเพียงแต่ออกมาต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรม แต่นายกฯ ยิ่งลักษณ์พูดผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจว่า พวกเราต้องการล้มรัฐบาลเพื่อต้องการเป็นรัฐบาล ทนเป็นฝ่ายค้านไม่ได้ เป็นการพูดที่เกินไป เป็นการกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริง ที่ทำมาทั้งหมดไม่ต้องการเป็นรัฐบาล ถ้าต้องการเป็นรัฐบาลก็ตอบรับคำเชิญของคุณแล้ว ทั้งคุณและพี่ชายคุณ เชิญเราอยู่ตลอดเวลา
“บอกเป็นคนคน ก็ได้ว่ามีใครบ้างที่ติดต่อมาและมาคุยอะไรกัน เราปฏิเสธไปแล้วว่าไม่สามารถไปให้ความร่วมมือหรือสนับสนุนระบอบทักษิณได้ เราคำนึงถึงความสวยงามของประชาธิปไตย ที่มีทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ถ้าไปทิ้งการทำหน้าที่ไปรับใช้ระบอบทักษิณก็เป็นการทรยศประชาชน”
แกนนำประชาธิปัตย์ ยืนยันว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ต้องการล้มรัฐบาล ยังไม่คิดล้มรัฐบาล ถ้าคิดล้มรัฐบาลก็ต้องพบความชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลนี้ไม่คำนึงถึงหลักการ อาศัยพวกมากผลักดันกฎหมาย ล้างผิดออกมา
เราให้โอกาสรัฐบาลตลอด ถ้าชัดเจนแล้วในการกระทำของรัฐบาลในการทำลายนิติรัฐนิติธรรมสำเร็จสมบูรณ์แล้ว ถึงเวลาเราก็ลุกขึ้นประกาศล้มรัฐบาลก็ตอนนั้น ถ้าในขั้นตอนแปรญัตติว่านิรโทษกรรมให้ประชาชนที่เดินตามมาก็ยุติ แต่ถ้ายังคงร่างไว้เหมือนเดิมหรือแปรเรื่องอื่นเพิ่มเข้ามาก็ต้องเจอกัน
ส่วนข้อเรียกร้องจาก “สนธิ ลิ้มทองกุล” แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้ สส.ประชาธิปัตย์ลาออกมาร่วมต่อสู้นั้น สุเทพ กล่าวว่า วิถีทางในการต่อสู้เป็นทางเลือกของแต่ละกลุ่ม แต่ละขบวนการ ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ใครจะมากะเกณฑ์ว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ คงไปบังคับใครกันไม่ได้ วันนี้มี 11-12 กลุ่มที่ลุกขึ้นมาที่จะล้มระบอบทักษิณ แต่ละกลุ่มก็มีแนวทางของตัวเอง
“พรรคประชาธิปัตย์เคารพแนวทางของแต่ละกลุ่มไม่เข้าไปแทรกแซงหรือเข้าไปก้าวก่าย พรรคประชาธิปัตย์ก็มีแนวทางของตัวเอง แม้แต่คนในพรรคประชาธิปัตย์เมื่อถึงสถานการณ์จริงๆ ก็ต้องพิจารณาว่า แต่ละคนจะแสดงบทบาทอย่างไร เราไม่พูดจาแทนคนทั้งพรรค ไม่พูดจาอะไรล่วงหน้า ให้การกระทำพิสูจน์ด้วยตัวเอง เราจะทำตามที่เราเห็นสมควร ตามช่วงเวลาที่เห็นว่าเหมาะสม เรารับฟังคนที่วิพากษ์วิจารณ์ เราเปิดกว้างแต่เราก็ต้องฟังมวลชนของเรา ประชาชนของเราว่าคิดอย่างไรด้วย
เราจำเป็นต้องสู้ในสภา เรามีน้อยอยู่แล้ว ถ้าลาออกมาก็จบ เขาพิจารณา 3 วาระรวดได้เลย และโดยข้อเท็จจริงในสภายังมีเรื่องอีกหลายเรื่องที่ต้องต่อสู้กัน เช่น กฎหมายกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท เรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ส่วนจะเคลื่อนไหวอย่างไรเราก็ค่อยๆ ปรึกษากันไป ยังไม่แตกหักกับฝ่ายใดทั้งสิ้น เราเคลื่อนไหวเดินหน้าด้วยความมุ่งมั่นไม่เปลี่ยน ยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติเป็นเป้าหมายสำคัญ เรื่องของพรรคยังเป็นเรื่องรอง”
สุเทพ ประเมินสถานการณ์รัฐบาลที่กำลังเผชิญแรงเสียดทานรอบด้านเวลานี้ว่า “ผมเชื่อเลยว่ารัฐบาลนี้อยู่ไม่ได้ แต่จะไปก่อนเดือน ต.ค. ตามที่หมอดูทำนายหรือไม่ยังไม่รู้ แต่เมื่อประชาชน มวลชนทั้งหลายตื่นตัวลุกขึ้นมาเป็นจำนวนมากในประเทศ เชื่อว่ารัฐบาลอยู่ไม่ได้ อับอายขายหน้าแน่นอน”

ที่มา :โพสทูเดย์
[Continue reading...]

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ร่อนจม.เปิดผนึกถึง ฯพณฯชวน หลีกภัย "เตือน" ปลุกอนาธิปไตย ระวัง รัฐประหาร สู่กาลียุค!

- 0 comments
หมายเหตุ : เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 56 เฟซบุ๊ก Charnvit Ks ได้โพสต์จดหมายเปิดผนึกของ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ  อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนักวิชาการประวัติศาสตร์ชั้นนำของไทย มีข้อความดังนี้ 
 
An Open Letter to Chuan Leekphai
On Anarchy and Democracy
เรื่อง ประชาธิปไตย กับ อนาธิปไตย
เรียน ฯพณฯ ชวน หลีกภัย สส. ปชป กก.สภามธ.
และอดีตนรม. อดีตหัวหน้าพรรคฯ

สืบเนื่องจากสถานการณ์ 
ป่วนสภา ป่วนถนน และการป่วนอื่นๆ 
ซึ่งน่าจะเป็นส่วนหนึ่ง ที่สร้างสถานการณ์ อนาธิปไตย anarchy 
อันจะนำไปสู่ การรัฐประหาร ยึดอำนาย โดย นายทหาร และ/หรือ นายศาล
เรื่องทำนองนี้ ได้เกิดมาแล้ว เมื่อ พ.ศ. 2490 แล้วก็เกิดอีก เมื่อ พ.ศ. 2549
ปวศ. อาจซ้ำรอยอีก และเมื่อถึงตอนนั้นกาลียุค ก็จะบังเกิดในสยามประเทศไทย

ครั้งหนึ่ง ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ อดีตผู้นำปฎิวัติสยาม ผู้ประศาสน์การ มธก รัฐบุรุษอาวุโส และ อดีต นรม ได้เตือนเราไว้ และน่าที่ เราๆ ท่านๆ ในยุคสมัยอันสับสน เช่นนี้ จักได้สำเนียก เรียนรู้ และสร้าง "การเมืองดี" ให้กับชาติบ้านเมือง

เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2489 กว่าครึ่งศตวรรษมาแล้ว ในขณะที่สังคมไทยกำลังค้นหาให้ได้มาซึ่งระบอบ "ประชาธิปไตย" ฯพณฯ ปรีดี ซึ่งในตอนนั้นดำรงตำแหน่ง นรม ได้กล่าวปิดประชุมสภาเมื่อ 7 พฤษภา ด้วยคำเตือนเรื่อง "ประชาธิปไตย" กับ "อนาธิปไตย" ดังนี้

"ระบอบประชาธิปไตยนั้น เราหมายถึงประชาธิปไตย อันมีระเบียบตามกฎหมายและศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ใช่ประชาธิปไตยอันไม่มีระเบียบ หรือประชาธิปไตยที่ไร้ศีลธรรม เช่น การใช้สิทธิเสรีภาพอันมีแต่จะให้เกิดความปั่นป่วน ความไม่สงบเรียบร้อย ความเสื่อมศีลธรรม ระบอบชนิดนี้เรียกว่าอนาธิปไตย หาใช่ประชาธิปไตยไม่ ขอให้ระวัง อย่าปนประชาธิปไตยกับอนาธิปไตย"

ท่านปรีดี กล่าวต่อว่า "ข้าพเจ้าไม่พึงประสงค์ที่จะให้มีระบอบเผด็จการในประเทศไทย ในการนี้ก็จำเป็นต้องป้องกันหรือขัดขวางมิให้มีอนาธิปไตย อันเป็นทางที่ระบอบเผด็จการจะอ้างได้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าถ้าเราช่วยกันประคองใช้ให้ระบอบประชาธิปไตยนี้ได้เป็นไปตามระเบียบเรียบร้อย .... ระบอบเผด็จการย่อมมีขึ้นไม่ได้"

ท่านปรีดีกล่าวอย่างน่าสนใจอีกว่า "การใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตย ต้องทำโดยความบริสุทธิ์ใจ มุ่งหวังผลส่วนรวมจริงๆ ไม่ใช่มุ่งหวังส่วนตัว หรือมีความอิจฉาริษยากันเป็นมูลฐาน เนื่องมาจากความเห็นแก่ตัว (เอ็กโกอีสม์)"

แล้วท่านปรีดี ก็เข้าสู่ไคลแมกซ์ด้วยการกล่าวว่า "โดยมีอุดมคติซื่อสัตย์ต่อองค์พระมหากษัตริย์ ข้าพเจ้าเคารพในความซื่อสัตย์ ซึ่งมีตัวอย่างอยู่มากหลายที่ผู้ซื่อสัตย์เหล่านี้ได้ร่วมกิจการรับใช้ชาติกับข้าพเจ้า... แต่ผู้ซึ่งแสดงว่าซื่อสัตย์ต่อองค์พระมหากษัตริย์ในภายนอก ส่วนภายในหวังผลส่วนตน หรือมูลสืบเนื่องมาแต่ความไม่พอใจเป็นส่วนตัวเช่นนี้แล้ว ก็เกรงว่าผู้นั้นก็อาจหันเหไปได้ สุดแต่ว่าตนจะได้รับประโยชน์ส่วนตนอย่างไรมากกว่า"

ท่านปรีดี จบคำปราศัย ฝากฝังไว้กับ สส. ในสภาว่า "ข้าพเจ้าหวังว่าท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลาย คงจะใช้สิทธิของท่านด้วยความบริสุทธิ์ใจ และอาศัยกฏหมายและศีลธรรมความสุจริตเป็นหลัก ไม่ช่วยกันส่งเสริมให้มีระบอบอนาธิปไตย

ข้าพเจ้าขอฝากความคิดไว้ต่อท่านผู้แทนราษฎรทั้งหลาย โดยเป็นห่วงถึงอนาคตของชาติ ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะได้เห็นประเทศชาติปลอดจากระบอบเผด็จการ และปลอดจากระบอบอนาธิปไตย คงมีแต่ระบอบประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อมไปด้วยสามัคคีธรรม

ระบอบประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อมด้วยสามัคคีธรรมนี้เป็นวัตถุประสงค์ของคณะราษฎร ที่ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ และเป็นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานรัฐธรรมนูญ"

ท่านปรีดีฝากฝังอะไรไว้มากมายเมื่อ 7 พฤษภา พ.ศ. 2489 ต่อมาอีก 2 วัน คือ 9 พฤษภา ท่านปรีดี ก็ถวายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้ในหลวงอานันท์ รัชกาลที่ 8 ลงพระปรมาภิไธย แต่อีก 1 เดือนต่อมา คือ ในวันที่ 9 มิถุนา ในหลวงอานันท์ ก็ต้องพระแสงปืนเสด็จสวรรคต

และแล้ววิกฤตก็บังเกิด อำนาจเก่าบารมีเก่า ใส่ร้ายป้ายสี "ปรีดีฆ่าในหลวง" ท่านปรีดีแสดงความรับผิดชอบ ลาออกจากนรม. และหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ก็ขึ้นเป็นแทน รัฐบาลหลวงธำรงฯ ถูกพรรคฝ่ายค้าน คือ ประชาธิปัตย์ นำโดยนายควง อภัยวงศ์ เปิดอภิปรายในสภาฯ ไม่ไว้วางใจหลายวันหลายคืน และเมื่อล้มรัฐบาลด้วยวิถีทางรัฐสภาไม่ได้ นายควง หัวหน้าพรรคฯ ก็ร่วมมือกับ "ระบอบทหาร" ที่นำโดยพลโทผิน ชุณหะวัณ ทำ "การรัฐประหาร" ยึดอำนาจเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2490

จากนั้นสยามประเทศ(ไทย) ของเรา ก็เข้าสู่ "ยุดมืดบอดทางการเมือง" กลายเป็น "ระบอบเผด็จการครึ่งใบ" อยู่ 10 ปีภายใต้ "ระบอบพิบูลสงคราม" ระหว่าง พ.ศ. 2491-2500 แล้วก็ต้องตกอยู่ภายใต้ "ระบอบเผด็จการเต็มใบ" ของ "ระบอบสฤษดิ์-ถนอม-ประภาส" อีก 15 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2501-2516 รวมแล้วกว่าจะถูกโค่นล้มไปเมื่อ "14 ตุลา" พ.ศ. 2516 ก็กินเวลาถึง 26 ปี

ท่านปรีดีของเราต้องกลายเป็น "พ่อกู นามระบือ ชื่อปรีดี แต่คนดี เมืองไทย ไม่ต้องการ" (เช่นเดียวกับ ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ฯลฯ) ท่านต้องลี้ภัยการเมือง ลี้ภัยจาก "อนาธิปไตย" และ "เผด็จการทหารและอนุรักษ์นิยม" ไปอยู่เมืองจีนถึง 21 ปี แล้วก็จะไปจบชีวิตลงที่ปารีสเมื่อปี พ.ศ. 2526

ครับ ท่านปรีดีและคำเตือนว่าด้วย "อนาธิปไตย" กับ "ประชาธิปไตย" ทำให้เราต้องคิดใคร่ครวญหนักต่อสถานการณ์ปัจจุบัน นับตั้งแต่ "ระบอบพันธมิตร" กับการ "ล้มรัฐบาลสมัคร/สมชาย" ตลอดจน "โค่นระบอบทักษิณ" รวมทั้งสภาพการ "ป่วน" ทั้้งหลาย ทั้งปวง เราจะแก้วิกฤตครั้งนี้ได้อย่างไร เราจะทำอย่างไรที่จะไม่ให้เกิด "อนาธิไตย" อันนำมาสู่ "รัฐประหารโดยนายทหาร/นายศาล" หรือบานปลายไปจนเป็น "สงครามกลางเมือง" กลายเป็น "กาลียุค"

หากเราตระหนักในคำเตือนล่วงหน้าก่อนกาล ของท่านปรีดี ที่ท่านให้เรายึดมั่นใน "ประชาธิปไตย" ไม่นำไป "สับสน" หรือ "ปนเปื้อน" กับ "อนาธิปไตย/ป่วน" อันจะนำเราไปสู่ "ระบอบเผด็จการ" เมื่อนั้นแหละ ที่บ้านเมืองของเราจะพอมีอนาคตกันบ้าง

หรือว่าทุกอย่างจะสายเกินแก้ไปแล้ว และ ในกาลียุคสมัย "พระอิศวรศิวะเทพ" ก็จะปรากฏกายเป็น "ศิวะนาฏราช" เหนือปราสาทเขาพระวิหารและปราสาทเขาพนมรุ้ง เพื่อทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างให้สิ้นซาก แล้วให้ "พระนารายณ์วิษณุเทพ" บันดาลให้ดอกบัวผุดขึ้นมาจากพระนาภี เผย "องค์ท้าวมหาพรหม" ที่จะทรงสร้างโลกใหม่ ที่มี "สิทธิ เสรีภาพ และภราดรภาพ" มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงเสียที

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
ณ เจ้าพระยา ท่าพระจันทร์ 
ที่มา : ข่าวสด
[Continue reading...]
 
Copyright © . Yak Ratchaprasong - Posts · Comments
Theme Template by BTDesigner · Powered by Blogger