มติชนวิเคราะห์
รัฐสภาสมัยประชุมที่กำลังเปิดทำการอยู่ในขณะนี้ ปรากฏความเคลื่อนไหวที่น่าบันทึกไว้หลายประการ
หนึ่ง เป็นการเปิดประชุมรัฐสภาที่พรรคประชาธิปัตย์ "อุ่นเครื่อง" มวลชนนอกสภามาแต่เนิ่นๆ
หนึ่ง คือ การชักนำมวลชนให้ไปส่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่รัฐสภา เพื่อเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎรในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับที่นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และคณะเป็นผู้เสนอ
หนึ่ง คือ เกมการเมืองในสภาระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้าน ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2557 ที่การอภิปรายในวาระ 2 กลายเป็นการอภิปรายในวาระ 1 และทำให้เวลาการอภิปรายยาวนาน
อีกหนึ่ง คือ เกมการเมืองในรัฐสภา ระหว่างการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตราที่เกี่ยวข้องกับ "ที่มาของสมาชิกวุฒิสภา" นั้นยืดเยื้อและรุนแรง
รุนแรงถึงขนาดที่หนังสือพิมพ์หลายฉบับใช้ถ้อยคำที่รุนแรง เช่น "อัปยศ" หรือ "ถ่อย"
เป็นความรุนแรงถึงขนาดสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อย่างนายอลงกรณ์ พลบุตร จากพรรคประชาธิปัตย์ถึงกับหลุดถ้อยคำ "สื่อมวลชนคงพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งในวันพรุ่งนี้ด้วยคำว่า "สภาอัปยศ" สำหรับผมคิดว่าเป็นวันที่น่าเศร้าที่สุดวันหนึ่งในประวัติศาสตร์รัฐสภาไทย"
เป็นความรุนแรงที่ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภาถึงกับบ่นว่า "โคตรเบื่อ"
หรือแม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ยังเอ่ยปากเตือนว่าอย่าขัดแย้งกัน
ความเคลื่อนไหวของสมาชิกรัฐสภาที่ผ่านมา ทำให้หลายฝ่ายเกิดข้อห่วงใย เพราะรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา เป็นสถานที่รองรับความคิดเห็นและข้อเห็นต่างในระบอบประชาธิปไตย
รัฐสภาจึงมีกฎกติกาให้มีผู้พูดและผู้ฟัง มีผู้จัดคิวการพูดคือ ประธานการประชุม แต่ทั้งนี้ประธานที่ประชุมต้องปฏิบัติตามข้อบังคับและข้อตกลง
ข้อบังคับก็มาจากสมาชิกแห่งรัฐสภา
ข้อตกลงก็มาจากคณะกรรมการประสานงาน เรียกว่า วิป มีทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และวุฒิสภา
แต่เหตุการณ์ที่ปรากฏในการประชุมตลอดสัปดาห์คือ มีแต่คนต้องการพูด ไม่ต้องการฟัง มีแต่คนอยากได้ ไม่มีคนอยากให้ มีแต่คนทำถูก ไม่มีใครยอมรับผิด มีการใช้วาจา-กิริยาและความรุนแรงกันในรัฐสภา
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้น ในขณะที่ นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความถึง นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษา พรรคประชาธิปัตย์ โดยเห็นว่า "ป่วนสภา ป่วนถนน และป่วนอื่นๆ น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างสถานการณ์ อนาธิปไตย anarchy อันจะนำไปสู่การรัฐประหารยึดอำนาจ"
นายชาญวิทย์ย้อนประวัติศาสตร์การเมืองที่เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ.2490 และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ.2549 พร้อมแสดงความเป็นห่วงว่า "กาลียุค จะบังเกิดในสยามประเทศไทย"
ตอนหนึ่งนายชาญวิทย์โพสต์ว่า "เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี พ.ศ.2489 กว่าครึ่งศตวรรษมาแล้ว ในขณะที่สังคมไทยกำลังค้นหาให้ได้มาซึ่งระบอบ "ประชาธิปไตย" ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งในตอนนั้นดำรงตำแหน่ง นรม. ได้กล่าวปิดประชุมสภาเมื่อ 7 พฤษภาคม ด้วยคำเตือนเรื่อง "ประชาธิปไตย" กับ "อนาธิปไตย" ดังนี้
"ระบอบประชาธิปไตยนั้น เราหมายถึงประชาธิปไตย อันมีระเบียบตามกฎหมายและศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ใช่ประชาธิปไตยอันไม่มีระเบียบ หรือประชาธิปไตยที่ไร้ศีลธรรม เช่น การใช้สิทธิเสรีภาพอันมีแต่จะให้เกิดความปั่นป่วน ความไม่สงบเรียบร้อย ความเสื่อมศีลธรรม ระบอบชนิดนี้เรียกว่าอนาธิปไตย หาใช่ประชาธิปไตยไม่ ขอให้ระวัง อย่าปนประชาธิปไตยกับอนาธิปไตย"
ท่านปรีดีกล่าวต่อว่า "ข้าพเจ้าไม่พึงประสงค์ที่จะให้มีระบอบเผด็จการในประเทศไทย ในการนี้ก็จำเป็นต้องป้องกันหรือขัดขวางมิให้มีอนาธิปไตย อันเป็นทางที่ระบอบเผด็จการจะอ้างได้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าถ้าเราช่วยกันประคองใช้ให้ระบอบประชาธิปไตยนี้ได้เป็นไปตามระเบียบเรียบร้อย ... ระบอบเผด็จการย่อมมีขึ้นไม่ได้"
ท่านปรีดีกล่าวอย่างน่าสนใจอีกว่า "การใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตย ต้องทำโดยความบริสุทธิ์ใจ มุ่งหวังผลส่วนรวมจริงๆ ไม่ใช่มุ่งหวังส่วนตัว หรือมีความอิจฉาริษยากันเป็นมูลฐาน เนื่องมาจากความเห็นแก่ตัว (เอ็กโกอีสม์)"
อีกตอนหนึ่ง...
"ข้าพเจ้าขอฝากความคิดไว้ต่อท่านผู้แทนราษฎรทั้งหลาย โดยเป็นห่วงถึงอนาคตของชาติ ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะได้เห็นประเทศชาติปลอดจากระบอบเผด็จการ และปลอดจากระบอบอนาธิปไตย คงมีแต่ระบอบประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อมไปด้วยสามัคคีธรรม
ท่านปรีดีและคำเตือนว่าด้วย "อนาธิปไตย" กับ "ประชาธิปไตย" ทำให้เราต้องคิดใคร่ครวญหนักต่อสถานการณ์ปัจจุบัน นับตั้งแต่ "ระบอบพันธมิตร" กับการ "ล้มรัฐบาลสมัคร/สมชาย" ตลอดจน "โค่นระบอบทักษิณ" รวมทั้งสภาพการ "ป่วน" ทั้้งหลาย ทั้งปวง เราจะแก้วิกฤตครั้งนี้ได้อย่างไร เราจะทำอย่างไรที่จะไม่ให้เกิด "อนาธิปไตย" อันนำมาสู่ "รัฐประหารโดยนายทหาร/นายศาล" หรือบานปลายไปจนเป็น "สงครามกลางเมือง" กลายเป็น "กาลียุค"
หากเราตระหนักในคำเตือนล่วงหน้าก่อนกาล ของท่านปรีดี ที่ท่านให้เรายึดมั่นใน "ประชาธิปไตย" ไม่นำไป "สับสน" หรือ "ปนเปื้อน" กับ "อนาธิปไตย/ป่วน" อันจะนำเราไปสู่ "ระบอบเผด็จการ" เมื่อนั้นแหละ ที่บ้านเมืองของเราจะพอมีอนาคตกันบ้าง..."
สรุปความคิดที่นายชาญวิทย์นำเสนอ คือ ให้ระวังการเปิดความปั่นป่วน คือ อนาธิปไตย แล้วนำไปสู่การยึดอำนาจ แล้วที่สุดบ้านเมืองจะเกิด "กาลียุค"
จดหมายของนายชาญวิทย์ จึงเป็น "คำเตือน" ที่ตอกย้ำแนวทางที่จะนำไปสู่ความวุ่นวาย
แนวทางที่เริ่มต้นจากการเมืองที่ไม่ยอมรักษากติกา นำไปสู่ความวุ่นวาย และต้องแสวงหาอำนาจอื่นเข้ามาแทรกแซง เพื่อช่วงชิงอำนาจจากรัฐบาล
หากแต่บังเอิญว่า รัฐบาลปัจจุบันเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ดังนั้น หากการณ์เป็นไปดังที่นายชาญวิทย์ระบุ ก็เท่ากับการยึดอำนาจไปจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
นำพาประเทศจากระบอบประชาธิปไตยไปสู่เผด็จการ ซึ่งหวั่นเกรงต่อไปว่า หากทุกอย่างดำเนินไปถึงขั้นนั้น ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ "กาลียุค" หรือไม่
ดังนั้น หากจะยังคงรักษาประชาธิปไตย การเมืองจึงต้องรักษากติกา
กติกาตามระบอบประชาธิปไตย
ที่มา: มติชน
Home » สู่อนาธิปไตย » "การเมือง" ไร้กติกา นำพาสู่ "อนาธิปไตย" ระวัง "กาลียุค"
Monday, August 26, 2013
"การเมือง" ไร้กติกา นำพาสู่ "อนาธิปไตย" ระวัง "กาลียุค"
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
0 comments:
Post a Comment