คำ ๆ นี้ เริ่มต้น จาก นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พรรคประชาธิปัติ จังหวัดพัทลุง พูดเป็นคนแรก บนเวทีผ่าความจริง ก่อน วันที่ 7 กันยายน 56
พรรคประชาธิปัตย์ มักจะประดิษฐ์ คำ หรือจะใช้คำว่า "บัญญัติ" ก็จะไม่เกินเลยนัก เพราะหลาย ๆ คำที่พรรค ๆ นี้นำออกมาใช้ก็มีการพูด ต่อ ๆ มาเช่น
ทุจริตเชิงนโยบาย ใช้คำนี้เพราะไม่สามารถหาหลักฐานมากล่าวหาฝ่ายตรงข้ามได้
เผด็จการทางรัฐสภา เป็นเรื่องธรรมดาที่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ย่อมมีพรรคการเมืองที่ได้รับเสียงข้างมาก หรือรวบรวมเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาล แม้สมัยปี 2518 ซึ่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หน.พรรคกิจสังคม มีแค่ 18 เสียง สามารถจักตั้งรัฐบาลได้ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมี ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ได้เสียงมากที่สุด 72 ที่นั่ง กลับเป็นฝ่ายค้าน (คลิกดูรายละเอียด)
การเข้ามาเป็นรัฐบาล ตามรัฐธรรมนูญปี 40 ของรัฐฐาล ไทยรักไทย ได้จำนวน ส.ส. 248 คน เมื่อรวมรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นฝ่ายค้าน ไม่สามารถ อภิปรายไม่ไว้วางใจ ผู้ที่เป็นนายกรัฐมนตรีได้ เพราะต้องใช้ เสียง 2 ใน 5 ตามรัฐธรรมนูญ
พอถึงการเลือกตั้ง ปี 48 พรรคไทยรักไทย ได้รับเสียงท่วมท้น 377 คน ประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นฝ่ายค้าน ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
คำกล่าวหาว่าเป็น เผด็จการทางรัฐสภา ก็ยิ่งมากขึ้น ขยายแนวจากในสภาไปสู่ท้องถนนจนนำไปสู่การโค่นล้มรัฐบาลไทยรักไทยในที่สุด
แม้กระทั่งคำว่าสภาทาษ
สิ่งที่ประชาธิปัตย์หยิบ ออกมาใช้เพื่อที่จะสนับสนุนการกระทำของตัวเองให้ดูดี
คำว่า "เสรีชน" ก็เช่นกัน เพื่อที่จะให้เห็นว่าการเคลื่อนไหว คัดค้านการออกกฏหมานิรโทษกรรม การแก้กฏหมายรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านมาให้เกิดความชอบธรรม
ขนาดทุ่มเก้าอี้ในสภา ตะโกนโวยวาย ยังบอกว่า ยอมเสียภาพลักษณ์เพื่อชาติ
ในที่สุดแล้ว พรรคประชาธิปัตย์
ถูกต้องเสมอ
ไม่เคยผิด
ไม่เคยโกง
ไม่เคยทุจริต
กรรมของประเทศจริง ๆ
