Monday, July 22, 2013

“อภิสิทธิ์”หนุน“อลงกรณ์”เสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมในนามปชป.

- 0 comments

วันที่ 23 ก.ค. 56 ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง  นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ก่อนออกเดินทางไปยังจ.สงขลา เพื่อรณรงค์หาเสียงในการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)สงขลา  ถึงกรณีที่นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะเสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมผู้ชุมนุมทางการเมือง ตั้งแต่ปี 2548 ฉบับพรรคประชาธิปัตย์ ว่า ตนได้ฟังสาระที่นายอลงกรณ์มีความคิดแล้วเห็นว่าตรงกับสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์แสดงความคิดเห็นอยู่แล้ว คือการนิรโทษกรรมต้องครอบคลุมทุกกลุ่ม แต่ไม่ครอบคลุมคนทุจริตคอร์รัปชั่น ผู้ที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ รวมถึงคนที่มุ่งประทุษร้ายต่อชีวิตและทรัพย์ของราชการกับเอกชน แต่ต้องพูดคุยเรื่องแนวทางการดำเนินการก่อน เพราะพรรคไม่ควรเสนอกฎหมายเข้าไปให้กลายเป็นเหยื่อของฝ่ายรัฐบาลที่อาจใช้เสียงข้างมากอ้างว่าทุกพรรคเสนอและนำไปรวมกัน ซึ่งจะสร้างปัญหาและความขัดแย้งในสังคม ดังนั้นขณะนี้รัฐบาลต้องถอนร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมทุกฉบับที่ถูกเสนอเข้ารอรับการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ออกมาก่อนแล้วให้ทุกพรรคการเมือง ญาติผู้เสียชีวิตจากการชุมนุม ญาติของตำรวจและทหาร ตลอดจนกลุ่มมวลชนต่างๆมาหาจุดร่วมร่วมกันพิจารณาหาเพื่อสร้างความปรองดองอย่างแท้จริง โดยใช้หลักที่ว่าคดีแต่ละประเภทใดที่สมควรหรือไม่สมควรได้รับการนิรโทษกรรม

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ขณะที่คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.)ก็มีบทบาทได้ในการมาช่วยพยายามทำเรื่องนี้ด้วยกัน แต่ถ้ารัฐบาลไม่ถอนร่างกฎหมายเหล่านี้ที่ค้างอยู่ในสภาฯ ก็ไม่ควรเริ่มต้นกระบวนการดังกล่าว เพราะไม่มีหลักประกันอะไรชัดเจนว่าถ้าเสนอกฎหมายเข้าไปแล้ว รัฐบาลจะไม่ย้อนกลับไปเอาร่างกฎหมายของตัวเอง ซึ่งขั้นแรกรัฐบาลจะปรองดองจริงหรือไม่ ถ้าอยากปรองดอง เรื่องอย่างนี้จะพลิกวิกฤติเป็นโอกาสให้มาทำร่วมกัน รวมทั้งเป็นการพิสูจน์ว่ารัฐบาลจะสร้างความปรองดองหรือนิรโทษกรรมเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพื่อนักการเมือง แกนนำ และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่ตอนนี้รัฐบาลวิตกกังวลเพราะการที่พูดว่าใช้ร่างกฎหมายของญาติผู้เสีย ชีวิตนั้น ขัดกับผลประโยชน์ของเขา ใจเขาต้องการช่วยพ.ต.ท.ทักษิณ โดยเอาคนอื่นมาบังหน้า ตรงนี้กำลังฟ้องออกมา ก็เลยมีอาการออกมามาก" นายอภิสิทธิ์กล่าว

เมื่อถามว่าสาระสำคัญร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมของนายอลงกรณ์ จะสอดคล้องกับร่างของกลุ่มญาติวีรชน เดือนเม.ย.-พ.ค.2553 ที่นำโดยนางพะเยาว์ อัคฮาค มารดาของน.ส.กมลเกด อัคฮาด หรือไม่  นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ฉบับของกลุ่มดังกล่าวจะเป็นตัวตั้งได้ ซึ่งมี 2-3 ประเด็นที่ตรงกัน แม้พรรคประชาธิปัตย์ยังไม่มีโอกาสประชุมส.ส.เพื่อสอบถามความคิดเห็น แต่จากการพูดคุยก็สอดคล้องกันทั้งหมดว่าเนื้อหาสาระกฎหมายนิรโทษกรรมต้องเป็นแบบนี้ อย่างไรก็ตาม จะเป็นการพิสูจน์รัฐบาลว่าอยากทำเรื่องปรองดอง หรืออยากทำการล้างผิดพ.ต.ท.ทักษิณ แกนนำเสื้อแดง คนก่อการร้าย ถ้าหากรัฐบาลรีบก็แสดงว่าอยากทำรูปแบบนี้ไม่ได้อยากช่วยประชาชน ทั้งนี้ตนเชื่อว่าถ้าฟังคำสั่งจากต่างประเทศก็จะมีการผลักดันร่างกฎหมายที่ ค้างอยู่ในสภาอยู่แล้วและจำทำให้มีความขัดแย้งสูงมาก

ต่อข้อถามถึงกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ว่าที่ประธานกลุ่ม นปช. จะเสนอให้นำร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมทุกฉบับมารวมกันเพื่อเสนอเข้าสู่สภาฯ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของนายจตุพรที่จะใช้เสียงข้างมากมายัดเยียดในการสร้างความปรองดอง.
[Continue reading...]

โครงการลงทุน 2 ล้านล้าน พลิกโฉมไทยแลนด์ 2020 ละเอียดทุกโครงการ ที่นี่ !!!

- 0 comments
ภาพจากเฟสคนละดอก ตอกประเด็น
ที่มาประชาชาติธุรกิจออนไลน์
7 ปีนับจากนี้ (2556-2563) ประเทศไทยจะมีการลงทุนครั้งประวัติศาสตร์ด้านระบบโครงสร้างพื้นฐานภายใต้ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ที่ "รัฐบาลเพื่อไทย" กำลังเร่งผลักดันให้ผ่านสภาผู้แทนราษฎร
โจทย์ใหญ่ไม่ใช่เพียงแค่ต้องการต่อยอดนโยบายหาเสียงของรัฐบาลเพื่อไทยให้กลายเป็นจริงโดยเร็วทั้งรถไฟฟ้า10สายรถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ ฯลฯ หากแต่เพื่อควบคุมต้นทุน "โลจิสติกส์" ที่นับวันยิ่งสูงขึ้น ตัวที่สูงสุดคือถนน มีต้นทุนอยู่ที่ 1.72 บาท/ตัน/กิโลเมตร สูงกว่ารถไฟ 0.93 บาท/ตัน/กิโลเมตร และขนส่งทางน้ำ 0.64 บาท/ตัน/กิโลเมตร 

ไม่นับรวมต้นทุนด้านพลังงานที่สูญเสียไปถึง 700,000 ล้านบาทต่อปี จากราคาน้ำมันแพงขึ้นทุกวัน ทั้งยังเป็นการสร้างโอกาสและความเจริญสู่ท้องถิ่นทุ่มลงทุนระบบราง 1.65 ล้านล้าน

ไฮไลต์แผนลงทุนที่จะพลิกโฉมประเทศไทย รัฐบาลทุ่มเม็ดเงินไปกับ "ระบบราง" มากที่สุดถึง 82.94% หรือกว่า 1.658 ล้านล้านบาท รองลงมา "ด้านถนน" 14.47% กว่า 289,482 ล้านบาท ตามด้วย "ทางน้ำ" 29,819 ล้านบาท เมื่อจำแนกรายสาขาจะพบว่า "ระบบราง" ดังกล่าวเป็นโครงการรับผิดชอบของ 2 หน่วยงานหลัก "การรถไฟแห่งประเทศไทย" (ร.ฟ.ท.) และ "การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย" (รฟม.)

สำหรับ ร.ฟ.ท.ได้รับจัดสรรเงินลงทุนมากสุด 63.63% หรือประมาณ 1,272,669 ล้านบาท เริ่มจากงาน "แผนระยะเร่งด่วน" เงินลงทุนรวม 134,176 ล้านบาท ได้แก่ เสริมความมั่นคงโครงสร้าง 406 ล้านบาท เปลี่ยนหรือเสริมความมั่นคงสะพานชำรุด 11,388 ล้านบาท ติดตั้งรั้วสองข้างทางแนวรถไฟ 3,430 ล้านบาท ติดตั้งเครื่องกั้นถนนเสมอระดับ-ปรับปรุงเครื่องกั้น 4,368 ล้านบาท ปรับปรุงระบบอาณัติสัญญาณไฟสีทั่วประเทศ 7,281 ล้านบาท ติดตั้งระบบโครงข่ายโทรคมนาคม 2,152 ล้านบาท

ผุดรถไฟทางคู่ เฟสแรก 5 สาย

โครงการรถไฟ "ทางคู่" 5 สาย ได้แก่ สายลพบุรี-ปากน้ำโพ 148 กิโลเมตร วงเงิน 16,215 ล้านบาท สายมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ 132 กิโลเมตร 21,196 ล้านบาท สายถนนจิระ-ขอนแก่น 185 กิโลเมตร 29,221 ล้านบาท สายนครปฐม-หัวหิน 165 กิโลเมตร 20,833 ล้านบาท และสายประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร 167 กิโลเมตร 17,683 ล้านบาท

ต่อมาเป็นโครงการ "ทางรถไฟสายใหม่" 3 สาย วงเงินรวม 123,927 ล้านบาท คือ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 326 กิโลเมตร วงเงิน 77,275 ล้านบาท สายบ้านไผ่-นครพนม ระยะทาง 347 กิโลเมตร วงเงิน 42,106 ล้านบาท และสายบ้านภาชี-อ.นครหลวง ระยะทาง 23 กิโลเมตร วงเงิน 4,546 ล้านบาท

นอกจากนี้มีรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 มี 6 สาย วงเงินรวม 144,110 ล้านบาท ได้แก่ สายหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ 90 กิโลเมตร วงเงิน 9,555 ล้านบาท สายชุมพร-สุราษฎร์ธานี 167 กิโลเมตร 17,640 ล้านบาท สายสุราษฎร์ธานี-ปาดังเบซาร์ 339 กิโลเมตร 35,700 ล้านบาทสายปากน้ำโพ-เด่นชัย ระยะทาง 285 กิโลเมตร วงเงิน 30,070 ล้านบาท สายขอนแก่น-หนองคาย 174 กิโลเมตร วงเงิน 18,585 ล้านบาท และสายจิระ-อุบลราชธานี 309 กิโลเมตร วงเงิน 32,560 ล้านบาท ไฮสปีดเทรน 7.8 แสนล้าน

ถัดมาเป็นโครงการ "รถไฟความเร็วสูง" 4 สายทาง วงเงินลงทุนรวม 783,229 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.สายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ระยะทาง 745 กิโลเมตร วงเงิน 387,821 ล้านบาท เฟสแรกช่วงกรุงเทพฯ-พิษณุโลก 382 กิโลเมตร วงเงิน 204,221 ล้านบาท และช่วงพิษณุโลก-เชียงใหม่ 363 กิโลเมตร 183,600 ล้านบาท 2.สายกรุงเทพฯ-หนองคาย ระยะทาง 615 กิโลเมตร ลงทุน 170,450 ล้านบาท เฟสแรกกรุงเทพฯ-นครราชสีมา 256 กิโลเมตร 140,855 ล้านบาท 

3.สายกรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์ 982 กิโลเมตร 124,327 ล้านบาท เฟสแรกหัวหิน ระยะทาง 225 กิโลเมตร 123,798 ล้านบาท วงเงินที่เหลือเป็นค่าศึกษาโครงการต่อขยายจากหัวหิน-ปาดังเบซาร์ และ 4.สายต่อขยายจากสนามบินสุวรรณภูมิ (แอร์พอร์ตลิงก์) ไปชลบุรี-พัทยา-ระยอง ระยะทาง 221 กิโลเมตร วงเงิน 100,631 ล้านบาทต่อสายสีแดง-เชื่อม 2 สนามบิน

ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าในส่วนของ ร.ฟ.ท. ได้แก่ สายสีแดงอ่อน ช่วง "บางซื่อ-มักกะสัน-หัวหมากและช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง" วงเงิน 38,469 ล้านบาท สายสีแดงเข้ม ช่วง "รังสิต-ธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต" วงเงิน 5,412 ล้านบาท

ส่วนต่อสายแอร์พอร์ตลิงก์จากพญาไท-บางซื่อ-ดอนเมือง 28,574 ล้านบาท สายสีแดงอ่อนช่วง "ตลิ่งชัน-ศิริราช" 7,527 ล้านบาท และจัดหาระบบรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อนช่วง "บางซื่อ-ตลิ่งชัน" 6,243 ล้านบาท แถมด้วย "งานก่อสร้างโรงรถจักรแห่งใหม่ อ.แก่งคอย" วงเงิน 1,000 ล้านบาท
สานต่อรถไฟฟ้า 3.8 แสนล้าน

ด้าน "รฟม." มีโครงการสานต่อรถไฟฟ้าสายเก่าให้จบโครงการ ควบคู่เริ่มต้นเปิดประมูลสายใหม่ 8 สายทาง วงเงิน 386,222 ล้านบาท ประกอบด้วย 

สายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-ท่าพระและหัวลำโพง-บางแค) วงเงิน 50,620 ล้านบาท สายสีเขียวเข้ม (แบริ่ง-สมุทรปราการ) 20,458 ล้านบาท สายสีเขียวเข้ม (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) 58,590 ล้านบาท

สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) วงเงิน 58,624 ล้านบาท สายสีเขียวเข้ม (สมุทรปราการ-บางปู) วงเงิน 13,344 ล้านบาท สายสีส้ม (ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-บางกะปิ-มีนบุรี) วงเงิน 115,054 ล้านบาท สายสีม่วง (บางใหญ่-บางซื่อ) 12,224 ล้านบาท และสายสีเหลือง (ช่วงลาดพร้าว-สำโรง) 57,306 ล้านบาทถนนใหม่ 2.8 แสนล.เชื่อมเออีซี

แผนลงทุน "ด้านถนน" มีวงเงินลงทุนรวม 289,482 ล้านบาท แยกเป็นงบประมาณลงทุนของ "ทล.-กรมทางหลวง" 241,080 ล้านบาท หรือ 12.05% ได้แก่ งานสะพานข้ามทางรถไฟ 83 แห่ง ควบงานรื้อย้ายสิ่งปลูกสร้าง 23,280 ล้านบาทค่าเวนคืนและก่อสร้างมอเตอร์เวย์ 3 สายทาง ได้แก่ สายบางปะอิน-นครราชสีมา ระยะทาง 196 กิโลเมตร มีค่าเวนคืน + ก่อสร้าง 84,600 ล้านบาท ส่วนสายบางใหญ่-บ้านโป่ง-กาญจนบุรี ได้เฉพาะค่าเวนคืน 5,420 ล้านบาท เช่นเดียวกับสายพัทยา-มาบตาพุด 1,800 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีโครงการ "ทางหลวงเชื่อมโยงระหว่างประเทศ" 11 โครงการ วงเงิน 13,770 ล้านบาท ได้แก่ ทางหลวงหมายเลข 212 (อ.โพนพิสัย-บึงกาฬ) ตอน 1 ทางหลวงหมายเลข 4113 (อ.นาทวี-บ.ประกอบ) ทางหลวงหมายเลข 212 
(อ.หว้านใหญ่-อ.ธาตุพนม) ทางหลวงหมายเลข 12 (เลี่ยงเมืองแม่สอดรวมสะพานข้ามแม่น้ำเมยแห่งที่ 2)ทางหลวงหมายเลข 214 (อ.ปราสาท-ช่องจอม) ตอนที่ 1 ทางหลวงหมายเลข 212 (อ.โพนพิสัย-บึงกาฬ) ตอน 2 ทางหลวงหมายเลข 221 (อ.กันทรลักษ์-เขาพระวิหาร) ตอน 1-2 ทางหลวงหมายเลข 214 (อ.ปราสาท-ช่องจอม) ตอนที่ 2 ทางหลวงหมายเลข 1021 (ดอกคำใต้-เทิง) ตอน 1-2 ทางหลวงหมายเลข 1020 (เชียงราย-เชียงของ) ตอน 4 
เร่งรัดขยายถนน 4 ช่องจราจร (ระยะที่ 2) กับเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง มี 45 โครงการด้วยกัน รวมวงเงิน 80,610 ล้านบาท อาทิ สายหล่มสัก-น้ำหนาว ตอน 2, สายกาฬสินธุ์-อ.สมเด็จ ตอน 2, สายกาฬสินธุ์-นาไคร้-อ.คำชะอี, สาย อ.ร้องกวาง-อ.งาว จ.แพร่, สายกำแพงเพชร-สุโขทัย, สายกำแพงเพชร-พิจิตร, สายตาก-แม่สอด, สายยะลา-เบตง, สายมีนบุรี-ฉะเชิงเทรา ตอน 2, สายกบินทร์บุรี-ปักธงชัย จ.ปราจีนบุรี เป็นต้น

โครงการบูรณะทางหลวงสายหลักระหว่างภาครองรับเออีซี จำนวน 235 โครงการ วงเงินรวม 31,600 ล้านบาท ได้แก่ ทางหลวงหมายเลข 1, ทางหลวงหมายเลข 2, ทางหลวงหมายเลข 3, ทางหลวงหมายเลข 4, ทางหลวงหมายเลข 11, ทางหลวงหมายเลข 32, 

ทางหลวงหมายเลข 35, ทางหลวงหมายเลข 41, ทางหลวงหมายเลข 43, ทางหลวงหมายเลข 117, ทางหลวงหมายเลข 331 และทางหลวงหมายเลข 1095

เสริมโครงข่ายการค้า-ท่องเที่ยว

ส่วน "กรมทางหลวงชนบท" (ทช.) ได้เงินลงทุนรวม 34,309 ล้านบาท หรือ 1.72% แยกเป็นโครงการพัฒนาโครงข่ายถนน
เชื่อมต่อด้านการค้า การลงทุนและการขนส่ง วงเงิน 30,116 ล้านบาท ได้แก่ โครงการถนนสนับสนุนท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 3 โครงการ วงเงิน 13,660 ล้านบาท

โครงการสนับสนุนนิคมอุตสาหกรรมและท่าเรือแหลมฉบัง 2 โครงการ 2,960 ล้านบาท โครงการสนับสนุนท่าเรือเชียงแสน จ.เชียงราย 3 โครงการ 2,773 ล้านบาท โครงการแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่ปริมณฑลและเมืองใหญ่ในภูมิภาค 3 โครงการ 4,951 ล้านบาท อาทิ ถนนต่อเชื่อมถนนราชพฤกษ์-ถนนกาญจนาภิเษกแนวเหนือ-ใต้ สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา จ.พระนครศรีอยุธยา ฯลฯ
รวมถึงโครงการแก้ไขและป้องกันปัญหาอุบัติเหตุจราจร โดยก่อสร้างสะพานและอุโมงค์ข้ามทางรถไฟ 25 โครงการ รวมวงเงิน 5,771 ล้านบาท และโครงการพัฒนาถนนเลียบอ่าวไทย (รอยัลโคสต์) ไล่ตั้งแต่ จ.สมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร รวม 22 โครงการ 4,192 ล้านบาท

และเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรองรับเออีซี รัฐบาลได้จัดสรรวงเงินกว่า 14,093 ล้านบาท ให้ "ขบ.-กรมการขนส่งทางบก" ก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้า อ.เชียงของ วงเงิน 2,236 ล้านบาท และสถานีขนส่งสินค้า 15 แห่ง วงเงินรวม 11,856 ล้านบาท

ทั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางถนนที่เมืองชายแดน 7 แห่ง คือ เชียงราย ตาก หนองคาย มุกดาหาร สระแก้ว สงขลา และนราธิวาส บวกกับหัวเมืองหลัก 8 แห่ง ได้แก่ เชียงใหม่ พิษณุโลก นครสวรรค์ ขอนแก่น นครราชสีมา อุบลราชธานี ปราจีนบุรี สุราษฎร์ธานี
 
สำหรับ "การขนส่งทางน้ำ" ได้จัดสรรเงินลงทุนประมาณ 29,819 ล้านบาท ให้ "กรมเจ้าท่า" (จท.) ไปดำเนินการ 5 โครงการ ประกอบด้วย สร้างท่าเรือ จ.ชุมพร วงเงิน 1,713 ล้านบาท ท่าเรือน้ำลึกสงขลาแห่งที่ 2 วงเงิน 3,613 ล้านบาท 
เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางน้ำในแม่น้ำป่าสัก 11,380 ล้านบาท ก่อสร้างสถานีขนส่งสินค้าทางน้ำเพื่อการประหยัดพลังงาน จ.อ่างทอง 1,325 ล้านบาท และท่าเทียบเรือน้ำลึกปากบารา จ.สตูล (ระยะที่ 1) วงเงิน 11,786 ล้านบาท 

ส่วนที่เหลือเป็นการลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานด่านศุลกากร 41 แห่งทั่วประเทศของกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ในสัดส่วน 0.63% หรือวงเงินประมาณ 12,545 ล้านบาท 

นอกจากนี้ยังได้จัดสรรค่าเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้สำรองจ่ายให้กับโครงการต่าง ๆ อีก 9,261 ล้านบาท หรือประมาณ 0.46%
คิกออฟปีུ กว่า 4 แสนล้าน

หลังจาก พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทมีผลทางกฎหมายแล้ว ทาง "กระทรวงคมนาคม" เจ้าภาพหลักจะเริ่มประมูลโครงการที่พร้อมดำเนินการทันที โดยกระจายประมูลให้เสร็จ 4 ปี

เริ่มตั้งแต่ปี 2556 มีโครงการพร้อมดำเนินการเงินลงทุนรวมประมาณ 422,342 ล้านบาท ได้แก่ 1.รถไฟฟ้า 4 สายทาง เงินลงทุนรวม 130,153 ล้านบาท ได้แก่ สายสีเขียวเข้ม (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) สีชมพู (แคราย-แจ้งวัฒนะ-มีนบุรี) สีแดง (รังสิต-ม.ธรรมศาสตร์) และสีแดง (ตลิ่งชัน-ศาลายา) 

2.รถไฟทางคู่ 2 สายทาง เงินลงทุนรวม 46,904 ล้านบาท ได้แก่ สายจิระ-ขอนแก่น สายประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร 3.คัดเลือกระบบรถไฟความเร็วสูง 3 สายทาง มีสายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ สายกรุงเทพฯ-หนองคาย และสายกรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์ วงเงินประมาณ 129,085 ล้านบาท ก่อนที่จะเริ่มกระบวนการเปิดประมูลก่อสร้างต่อไป คาดว่าจะเริ่มได้ในปี 2557 นี้

4.งานถนน เงินลงทุนรวม 116,200 ล้านบาท มีก่อสร้างมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-นครราชสีมา ระยะทาง 196 กิโลเมตร งานบูรณะทางหลวงสายหลัก 12 เส้นทาง 235 โครงการ ระยะทาง 2,162 กิโลเมตร

ส่วนที่เหลือจะทยอยดำเนินการต่อไปในปี 2557 เม็ดเงินลงทุนรวมกว่า 8 แสนล้านบาท ปี 2558 เงินลงทุนรวมกว่า 280,082 ล้านบาท และสุดท้ายในปี 2559 เงินลงทุนรวม 153,852 ล้านบาท 

[Continue reading...]

"เรืองไกร" ถามหามาตรฐานการทำงานผู้ตรวจฯ หลังร้องสอบจริยธรรม "ส.ว.รสนา" เงียบ

- 0 comments

วันที่  22  กรกฎาคม นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตส.ว.สรรหา กล่าวว่า วันที่ 24 กรกฎาคม จะใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 62 ยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อขอทราบมาตรฐานการปฏิบัติงานโดยเปรียบเทียบกรณีที่ตนเคยร้องขอให้ตรวจสอบน.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม.เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2555 กรณีกระทำการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของ ส.ว.และกรรมาธิการ ข้อ 9 คือวางตัวไม่เป็นกลางทางการเมือง และข้อ 17 คือให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนอย่างไม่ครบถ้วน และวิจารณ์ในลักษณะที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือไม่ โดยสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินออกใบรับคำร้องเรียน เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2555 ขณะนี้ก็ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ แต่ประมาณต้นเดือนกรกฎาคม ปรากฏข่าวของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เรื่องการตรวจสอบจริยธรรมของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. ที่ถูกร้องเรียนเรื่องจริยธรรม กรณีเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2555 ซึ่งห่างกันเกือบ 8 เดือน แต่กลับมีการแถลงข่าวกรณีพล.ต.ท.คำรณวิทย์ก่อน แต่เรื่องที่ตนร้องสอบจริยธรรมน.ส.รสนา เงียบหายไป ทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยเกี่ยวกับมาตรฐานการปฏิบัติงานของผู้ตรวจการแผ่นดินรวมทั้งสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ว่ามีการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมอย่างทั่วถึงเท่าเทียมกันหรือไม่ จึงขอทราบว่ามาตรฐานการปฏิบัติงานเป็นเช่นไร มีการคำนึงถึงสถานการณ์บ้านเมืองที่เป็นอยู่ในปัจจุบันด้วยหรือไม่
[Continue reading...]

พท.ชี้ "สุเทพ" หัวรุนแรง จวก ปชป. ถ่วงความเจริญ

- 0 comments

วันที่ 22 ก.ค. 56 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ที่ออกมาระบุว่าในช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย.  จะเกิดเหตุรุนแรงขึ้นในบ้านเมือง และรัฐบาลจะมีปัญหา ว่า นายสุเทพคงไม่คุ้นชินกับความสงบจริงๆ ขนาดตัวเองเป็นรัฐบาลแท้ๆ ประชาชนมาชุมนุมทางการเมือง ยังตั้งตนเป็น ผอ.ศอฉ. กระชับพื้นที่ ทั้งที่ประชาชนไม่มีความผิด แต่เสียชีวิตเกินร้อย เจ็บอีกกว่า 2,000 แล้วยังมาพลาดเผลอพูดสิ่งที่ใจคิดออกมา ถือว่าคิดดังไปหน่อย  ทั้งนี้ นายสุเทพสามารถกำหนดใจได้ว่าจะเลือกร่มเย็นหรือเร่าร้อน เดือนสิงหาคม เป็นเดือนมหามงคลและเป็นเดือนแห่งความสุขของประชาชนทั้งประเทศ  ไม่ควรมีเรื่องความรุนแรง พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลขอยืนยันเพื่อให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชน จะบริหารงานอย่างรอบคอบและระมัดระวัง ทั้งเรื่องข้าว เรื่องน้ำ การบริหารจัดการโลจิสติกส์  และ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ที่คนไทยจะได้ถึงสองต่อ คือการพัฒนาระบบการขนส่งทั้งหมด  และการพัฒนาในเรื่องของเศรษฐกิจ

"รัฐบาลชุดนี้ก็เหมือนกับรถไฟความเร็วสูง ที่ทะยานวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พรรคประชาธิปัตย์อย่าเป็นตัวถ่วงความเจริญของประเทศ ถ้านายสุเทพรู้ว่าจะมีกลุ่มกระบวนการใดที่จ้องจะก่อเหตุความรุนแรงในประเทศ ขอให้รอคอยด้วยความหวังต่อไป แต่รัฐบาลจะไม่ยอมให้ความรุนแรงเกิดขึ้นอย่างแน่นอน" นายอนุสรณ์ กล่าว 
                
[Continue reading...]

เสธอู๊ดและผู้กองปูเค็ม ตั้งกองทัพนิรนาม ล้มล้างรัฐบาล มันกบฏ ชัด ๆ

- 1 comments

"ร.อ.ทรงกลด"ประกาศตั้งกองทัพนิรนามล้มระบอบทักษิณ ดึงกลุ่มเสื้อแดงกลับมาเป็นเพื่อนร่วมชาติ

คลิปเสียงจาก K-News
เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 21 ก.ค.56 หน้าศูนย์ราชการ จ.เลย ถ.มลิวรรณ ต.กุดป่อง อ.เมือง จ.เลย ประชาชนจาก จ.เลยและอุดรธานี กลุ่มหน้ากากขาวเลยชูป้ายหนุนการล้มล้างระบอบทักษิณให้หมดไปจากแผ่นดินไทย โดยมี พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ หรือเสธ.อู๊ด พร้อมด้วย ร.อ.ทรงกลด ชื่นชูผล หรือผู้กองปูเค็ม พล.อ.ต.ชัยรัตน์ นิยมเดช ร่วมชุมนุม พร้อมจัดตั้งกองทัพนิรนาม มีพิธีส่งมอบธงกองทัพนิรนามแก่ ร.ต. วันชัย สุนทร หัวหน้ากองทัพนิรนารมจังหวัดเลย จากนั้นผู้กองปูเค็ม ถือธงนำกองทัพนิรนามเดินแถวรอบศาลากลางจังหวัดและรวมตัวร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีหน้าอาคารศาลากลางจังหวัดเลย มีนายอดุลย์เดช ติยะบุตร และนายทศพล พรหมเกตุ เป็นแกนนำในการขึ้นปราศรัย ท่ามกลางการดูแลของตำรวจที่มารักษาความสงบเรียบร้อย 30 นาย

พล.อ.กิตติศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีการแตกแยก แตกก๊ก แตกเหล่า หลากสี การก่อตั้งกองทัพนิรนามมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความปรองดองให้ประชาชนทั้งประเทศได้เกิดความรัก และความสามัคคีกัน อีกทั้งให้มีการรวมตัวกันทั้งประเทศเพื่อล้มล้างระบอบทักษิณ จึงมาตั้งกองทัพนิรนามครั้งแรกขึ้นที่จังหวัดเลย

ด้าน ร.อ.ทรงกลด หรือ ผู้กองปูเค็มกล่าวว่า จะประกาศสงครามกับข้อมูลข่าวสารเพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณให้หมดไปจากแผ่นดินไทย หากไม่มีกลุ่มคนเสื้อแดงร่วมหนุนระบอบนี้จะล่มสลายไปในที่สุด ยุทธศาสตร์สงครามข้อมูลข่าวสารคือการแย่งพลังมวลชน ให้กลุ่มเสื้อแดงกลับมาเพื่อนร่วมชาติ ร่วมกันพัฒนาและสร้างอนาคตใหม่แก่ประเทศไทย เพื่อลูกหลานในอนาคต

ที่มา :กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

เพิ่มเติม:
ปอ. มาตรา ๑๑๓
ผู้ใด ใช้กำลังประทุษร้าย หรือ ขู่เข็ญว่าจะ ใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ
(๑) ล้มล้าง หรือ เปลี่ยนแปลง รัฐธรรมนูญ
(๒) ล้มล้าง อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรือ อำนาจตุลาการ แห่ง รัฐธรรมนูญ หรือ ให้ใช้อำนาจ ดังกล่าวแล้วไม่ได้ หรือ
(๓) แบ่งแยก ราชอาณาจักร หรือ ยึดอำนาจปกครอง ในส่วนหนึ่งส่วนใด แห่ง ราชอาณาจักร
ผู้นั้น กระทำความผิด ฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษ ประหารชีวิต หรือ จำคุกตลอดชีวิต


เข้าข่ายหรือไม่ ?
[Continue reading...]

ถาวร ยัน ปชป. หนุนร่างนิรโทษฉบับ ปชช

- 0 comments
 ที่มา สำนักข่าว :INNNEWS
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จี้ รัฐ พิจารณาร่างงบปี 57 ก่อน เชื่อ ถกนิรโทษ ม็อบลุกฮือ ยัน ปชป. หนุนฉบับประชาชน
นายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า 1 ตุลาคม 2556 ต้องมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 ทันที เพราะหากมีการเพิกเฉย อาจไม่ทันเวลาในการพัฒนาประเทศ ตามที่รัฐบาลแถลงนโยบายไว้ได้ ดังนั้น จึงต้องนำร่างงบประมาณเข้าพิจารณาก่อน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพราะร่างดังกล่าว ต้องหาข้อยุติของการปรองดอง และควรนำข้อเสนอแนะของ นายคณิต ณ นคร ประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย มาปรับใช้ ทั้งนี้ เชื่อว่าหากนำร่างนิรโทษหรือร่างปรองดองเข้าสภา จะมีกลุ่มประชาชนออกมาเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน
ส่วนจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ ต่อร่างดังกล่าวนั้น ยืนยันว่าไม่เห็นด้วย หากมีการนิรโทษให้แกนนำ ผู้สั่งการ ผู้ยั่วยุ และคนที่ฆ่าประชาชน ส่วน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับประชาชน ส่วนตัวดูรายละเอียดแล้ว มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในบางข้อ พร้อมยืนยัน ทางพรรคไม่เสนอร่างกฎหมายเข้าคู่ขนาน เพราะอาจตกเป็นเหยื่อของรัฐบาลได้
จากการพูดของนายถ่วร เสนเนียม พรบ.นิรโทษฉบับประชาชน เข้าทางประชาธิปัตย์ จริง ตามการวิเคราะห์ของ อาจารย์ ตุ้ม
[Continue reading...]
 
Copyright © . Yak Ratchaprasong - Posts · Comments
Theme Template by BTDesigner · Powered by Blogger