Wednesday, August 14, 2013

อนาคต ประชาธิปัตย์จะอยู่เรือนอะไร ?

- 0 comments
ทั้งๆ ที่ "กองทัพประชาชน" ประกอบส่วนขึ้นจากสิ่งที่เรียกว่า "คณะเสนาธิการร่วม" ทั้งที่เป็นทหารและพลเรือน

ทหารส่วนใหญ่ก็ดำรงยศระดับ พล.อ., พล.ร.อ.

พลเรือน 2 คน คน 1 คือ นายพิเชฐ พัฒนโชติ ก็เคยเคลื่อนไหวทางการเมืองในขบวนการนักศึกษาก่อนสถานการณ์ 6 ตุลาคม 2519 และต่อมาก็ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานวุฒิสภา

คน 1 ก็เคยเป็นมือไม้ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ สำแดงตนในสถานะแห่งแกนนำ "กลุ่มอีสานกู้ชาติ"

ทั้งยังมี น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เป็นที่ปรึกษา

แล้วเหตุใดการระดมคนเข้าร่วมในการ "โค่นระบอบทักษิณ" ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคมเป็นต้นมา จึงได้เพียง "เรือนร้อย" และ "ต้นๆ พัน"

ไม่สามารไต่ระดับเป็น "หลายพัน" และ "เรือนหมื่น"

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งมีฐานเสียงอันแข็งแกร่งใน กทม.แท้ๆ แต่การจัดปราศรัยโต้รุ่งวันที่ 6 ต่อเช้าวันที่ 7 สิงหาคม ก็ระดมคนได้เพียง "เรือนพัน"

เป็นเพราะเหตุ ปัจจัยใด

หากถือเอาคำอธิบายจากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่อการเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นบรรทัดฐาน

ก็ต้องว่า พรรคประชาธิปัตย์ยังไม่เอาจริง

ถ้าเอาจริง คนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์อย่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่าง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ต้องประกาศลาออกจาก ส.ส.

ออกจาก "สภา" มาอยู่บน "ท้องถนน"

น่าแปลก ที่ไม่เพียงพรรคประชาธิปัตย์ไม่สนใจและไม่ยอมรับต่อข้อเสนอของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

หากแม้กระทั่งต่อเวที "ผ่าความจริง" ก็ยังไม่เอาจริง

แม้ว่าแกนนำคนเสื้อแดงอย่าง นายจตุพร พรหมพันธุ์ อย่าง นางธิดา ถาวรเศรษฐ จะประเมินว่าเวที "ผ่าความจริง" ดำเนินไปในลักษณะตระเตรียม

ตระเตรียม "คน" ให้กับ "กองทัพประชาชน"

เหมือนกับที่พรรคประชาธิปัตย์เคยปฏิบัติในห้วงที่พันธมิตรประชาชนออกเคลื่อนไหวตั้งแต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2549 และประสานอย่างคึกคักในการยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินในเดือนสิงหาคม เดือนพฤศจิกายน 2551

แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ยังไม่ใช่

ตามความเป็นจริง หากระหว่าง "กองทัพประชาชน" กับเวที "ผ่าความจริง" ดำเนินไปในลักษณะแยกกันเดิน รวมกันตี

จำนวนคนที่ "สวนลุมพินี" ต้องมากกว่านี้

ขณะเดียวกัน จำนวนคนที่แวดล้อมโดยรอบเวที "ผ่าความจริง" จะต้องไม่ใช่เรือนพัน หากแต่น่าจะเป็นเรือนหมื่น

แต่ที่เห็นและเป็นอยู่กลับเป็น "เรือนพัน"

ไม่ว่าจะเป็นที่บริเวณเวทีปราศรัย "กองทัพประชาชน" ไม่ว่าจะเป็นที่บริเวณเวที "ผ่าความจริง" ล้วนปรากฏอย่างเด่นชัด

เด่นชัดถึงจำนวนที่ไม่มาก

จำนวนที่ไม่มากเช่นนี้เป็นปรากฏการณ์อันเห็นได้ สัมผัสได้ ตั้งแต่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเคลื่อนไหวเรื่องเขาพระวิหารในปี 2553 ตั้งแต่องค์การพิทักษ์สยามเคลื่อนไหวสร้าง "ม็อบแช่แข็ง" ในปี 2555

ทำได้แค่ "เรือนหมื่น" ไม่ใช่ "เรือนแสน"

สะท้อนให้เห็นลักษณะถดถอยในเชิง "ปริมาณ" สะท้อนให้เห็นถึงความเบื่อหน่ายของมวลชนอันแตกต่างยิ่งกับเมื่อปี 2549 และเมื่อปี 2551

ปริมาณนี้น่าเจ็บปวด แต่ก็เป็นความจริง

จึงนำไปสู่การรอคอยว่า การจัด "ม็อบ" หลังร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมผ่านวาระ 3 จะเป็นเช่นใด

1 พรรคประชาธิปัตย์จะมีหมัดเด็ดอะไรที่เก็บไว้รองรัง และ 1 มวลชนที่เคยแวดล้อมพรรคประชาธิปัตย์จะยังให้ความไว้เนื้อเชื่อใจมากน้อยเพียงใด เป็นเรือนแสนหรือเป็นเรือนล้าน

ปริมาณนี้จะชี้อนาคต "ประชาธิปัตย์"

ที่มา : มติชน
[Continue reading...]

“ปลอดประสพ” เล็งสอบเงินกทม.แก้น้ำท่วม ดันไปทำสนามฟุตซอล

- 0 comments
“ปลอดประสพ” เล็งเชิญ “ชายหมู”ซักปมเงิน กทม.500 ล้าน ซัด ให้ไปแก้น้ำท่วม ดันไปทำสนามฟุตซอล แถมการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำ 2,500 ล้านบาทแพงเกินจริงและล่าช้า
เมื่อวันที่ 14 ส.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปลอดประสพ  สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เปิดเผยว่าภายใน 3 เดือน ร่างสัญญาโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาทจะแล้วเสร็จเฉพาะในส่วนโมดูลที่ไม่เกี่ยวกับกระบวนการจัดทำศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ) และผลกระทบด้านสุขภาพ(เอชไอเอ)  และในการยกร่างสัญญากับ 4 กลุ่มบริษัท ทาง กบอ. จะแยกสัญญาเป็น 9 โมดูล เช่น โมดูล เอ6บี 4 คลังข้อมูล เป็นต้น

"อยากเตือนกลุ่มคัดค้านโครงการอ่างเก็บน้ำ ว่าค้านหาอะไร เพราะเป็นกลุ่มคนที่หวังดีประสงค์ร้าย เนื่องจากประเทศไทยเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาน้ำท่วมได้ตลอดเวลา แต่คนกลุ่มนี้กลับออกมาคัดค้าน ในขณะที่เกิดปัญหาน้ำท่วมขึ้นมาคนกลุ่มนี้กลับไม่เคยออกมารับผิดชอบใดๆ" นายปลอดประสพ กล่าวว่า

นายปลอดประสพ กล่าวต่อว่า ได้ทำหนังสือเชิญ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. มาหารือเรื่องแผนบริหารจัดการน้ำ กทม.จะต้องสอดคล้องกับแผนบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาทของรัฐบาล เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่า กทม.นำงบประมาณที่รัฐบาลอนุมัติในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ กทม. ไปใช้ผิดประเภท อาทิ งบ 500 ล้านบาท ที่รัฐบาลอนุมัติ กทม.แก้ปัญหาน้ำท่วม แต่ผู้ว่าฯ กทม. กลับนำไปใช้ก่อสร้างสนามกีฬาฟุตซอล หนองจอก จำนวน 200 ล้านบาท แทนที่จะนำไปเสริมคูคลองเป็นคอนกรีตระบายน้ำ หรือ โครงการก่อสร้างอุโมงค์ยักษ์ระบายน้ำ กทม. 2,500 ล้านบาท ราคาแพงเกินจริง การก่อสร้างล่าช้า และไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมได้ แต่ กบอ.เห็นว่าควรเน้นการก่อสร้างท่อคอนกรีตแบบฝาเปิดซึ่งจะสามารถระบายน้ำในช่วงฤดูฝน รวมถึงใช้งบประมาณน้อยกว่า ยังสามารถนำเงินที่เหลือไปสร้างแฟลต ให้ผู้ที่ลุกล่ำเขตครองอาศัยได้

ที่มา :เดลินิวส์
[Continue reading...]

"ติ่ง" งานเข้า ? ดีเอสไอรับสอบตัดต่อภาพ เสือ สิงห์ กระทิง ปู

- 0 comments
ทนายแดงร้องสอบ "ติ่ง" โชว์ภาพ "จุดชมวิวเสือ สิงห์ กระทิง-" พาดพิงนายกฯ สร้างความเสื่อมเสีย แถมตัดต่อภาพ ผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ "ธาริต" ประกาศขอให้ความสำคัญอย่างที่สุด ไล่สอบดะเอาผิดทุกคนที่เกี่ยวข้อง โวไม่รับใช้ใครแต่ต้องทำเพื่อประมุข

เมื่อวันที่ 14 ส.ค.ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)  เดินทางเข้าพบนายธาริต  เพ็งดิษฐ์  อธิบดีดีเอสไอ  เพื่อยื่นหนังสือร้องทุกข์ให้สอบสวนและดำเนินคดีอาญา น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กรณีที่มีการโพสต์รูปภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี ขณะเดินทางไปอุทยานแห่งชาติกุยบุรี  จ.ประจวบคีรีขันธ์  เมื่อวันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมาและได้ถ่ายภาพคู่กับป้ายอุทยานแห่งชาติกุยบุรีไว้เป็นที่ระลึกโดยมีภาพปรากฏในเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ของ น.ส.มัลลิกา โดยป้ายชมวิวตามที่โพสต์นั้นมีคำว่า “เสือ สิงห์ กระทิง” และมีภาพนายกรัฐมนตรียืนข้างป้าย  ซึ่งเป็นข้อความที่คลาดเคลื่อนและไม่ตรงกับความเป็นจริงของอุทยานฯ  เพราะข้อความเดิมเป็นป้ายที่เขียนข้อความว่าจุดชมวิว “ช้างป่า  กระทิง  กุยบุรี” สร้างความเสื่อมเสียกับนายกฯที่เป็นผู้นำประเทศ เห็นว่าเข้าข่ายความผิดม. 14  พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์  ว่าด้วยการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไมวาจะทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ  โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นและประชาชนและเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมหรือขอมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ และอาจเข้าข่าย ม.16 เกี่ยวกับการตัดต่อและทำให้ผู้อื่นเสื่อมเสียชื่อเสียง

เมื่อถามว่าเหตุใดจึงไม่ไปยื่นเรื่องให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(ปอท.) นายวิญญัติ  กล่าวว่า เพราะนายกฯเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งหน้าที่สำคัญในประเทศ และกฎหมายดีเอสไอมีอำนาจหน้าที่ ตนมองว่าดีเอสไอมีศักยภาพที่จะดำเนินการได้ ส่วนตนไม่ได้ประสงค์ที่จะเอาผิดไปถึงผู้ที่กดไลค์ แต่ในส่วนที่กดแชร์ภาพนั้นตนก็ขอให้ดีเอสไอตรวจสอบทั้งหมดด้วย

ด้านนายธาริต กล่าวว่าตนได้สั่งการให้คดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษทันที เนื่องจากเป็นความผิดตามพ.ร.บ.แนบท้ายการสอบสวนคดีพิเศษ  ตนขอบอกเลยว่าให้ความสำคัญกับคดีนี้มากกว่าปกติ ซึ่งผู้ร้องระบุชัดเจนว่าหากมีผู้ใดเกี่ยวข้องก็ให้สอบสวนกลับไปทั้งหมด ดีเอสไอจึงจะเริ่มการสอบสวนตั้งแต่ น.ส.มัลลิกา  ทั้งนี้ ตนจะมอบหมายให้พ.ต.ต.ยุทธนา  แพรดำ  ผู้เชี่ยวชาญคดีพิเศษ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนเพื่อเดินหน้าคดีดังกล่าวทันที

“ต้องรับเป็นคดีพิเศษแน่นอนเพราะบุคคลในภาพเป็นถึงนายกฯ  ไม่ว่าจะเป็นการส่งต่อหรือโพสต์เองถือว่ามีความผิดชัดเจน ผมไม่ได้รับใช้การเมืองแต่นายกฯเป็นถึงประมุข” อธิบดีดีเอสไอกล่าว และหลังจากยื่นหนังสือ นายธาริตได้สั่งการให้ พ.ต.ต.ยุทธนา สอบปากคำนายวิญญัติทันทีด้วย
ที่มา : เดลินิวส์
[Continue reading...]
 
Copyright © . Yak Ratchaprasong - Posts · Comments
Theme Template by BTDesigner · Powered by Blogger