Thursday, July 18, 2013

อ วีระไล่ผู้ฟังเข้าวัด กรณีเลือกพรรคการเมือง

- 0 comments

สลิ่มโทรเข้ารายการ อ.วีระ ละเมอเพ้อพก สำรอกความคิดผ่านโทรศัพท์ 

ความคิดของสลิ่มก็เป็นแบบนี้แหละครับ คืออยู่ในโลกสมมุติ สมมุติว่าใครคนหนึ่งดีดี๊ ดุจเทวดากลับชาติมาเกิด 

ส่วนนักการเมือง ก็ไม่ห่วยแตกทำอะไรไม่เป็น ถ้าทำอะไรเป็นมันก็โกง 

สลิ่ม : สมมุติว่ามีประเทศหนึ่ง มีพรรคการเมือง 2 พรรค พรรคหนึ่งทำอะไรไม่สำเร็จ อีกพรรคหนึ่งทำอะไรก็เจ๊ง จะเลือกพรรคไหน 

อ.วีระ : ประเทศอย่างนี้ไม่มีในโลก พรรคนึงไม่สำเร็จ อีกพรรคก็เจ๊ง ประเทศก็เจ๊งไปแล้ว ไปเข้าวัดเหอะ


ที่มา : KNews
        Red Intelligence
[Continue reading...]

ถวิล ทำมึนขึ้นศาล!!ไม่รู้ใครสั่งยิง ใครตายเพราะอะไร?

- 0 comments


  นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) พยานโจทก์ เบิกความตอบคำซักค้านทนายจำเลยต่อจากครั้งที่แล้ว ซึ่งทนายจำเลยได้เปิดภาพวิดิทัศน์เหตุการณ์กระชับพื้นที่ ระหว่างวันที่ 14 – 19 พ.ค. 2553 ให้นายถวิล ดู ซึ่งเป็นภาพเหตุการณ์เขตใช้กระสุนจริง ภาพเจ้าหน้าที่อยู่บนตึกสูง ภาพเหตุการณ์ทหารตะโกนสั่งให้ยิง และภาพเหตุการณ์การกระชับพื้นที่บริเวณจุดต่างๆ
[Continue reading...]

ปิดถนนสายเอเชียสกัดม็อบไม่ให้พบนายก

- 0 comments

วันนี้19 ก.ค.  บริเวณ กม.17 – 18  ต.คลองสวนพลู  อ.พระนครศรีอยุธยา  จ.พระนครศรีอยุธยา  บริเวณถนนสายเอเชียเส้นทางขาขึ้น หน้าศูนย์ราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ได้มีม็อบเกษตรกร กลุ่มกองทุนฟื้นฟูเกษตรกร ประมาณ 300 คน  เดินทางมาเพื่อจะเข้ายื่นหนังสือเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยแก้ไขเรื่องปากท้องและหนี้สินแก่ นางสาวยิ่งลักษณ์  ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี  ที่จะเข้าร่วมประชุม ครม.สัญจร  ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ศูนย์หันตรา  เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งจุดสกัดที่บริเวณหน้าศูนย์ราชการไม่ให้เดินทางไปที่ประชุม  ซึ่งอยู่ห่างจากจุดนี้อีกประมาณ 3 กิโลเมตร  ทำให้การจราจรบนถนนสายเอเชียติดขัด  ซึ่งมีรัฐมนตรีที่จะเข้าร่วมประชุม ครม.สัญจรได้ติดอยู่บนถนนสายเอเชียด้วย  ขณะนี้  พล.ต.ท.วรพงษ์  ชิวปรีชา  รอง ผบ.ตร.  ได้เข้าเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุม

โดยล่าสุด ทางม็อบเครือข่ายหนี้สินชาวนา ได้ส่งตัวแทน 2 คน เข้าหารือกับ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแล้ว แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป.

ที่มา : ไทยรัฐ -เดลินิวส์
[Continue reading...]

มาร์คชี้ร่างนิรโทษ "ฉบับประชาชน" เปิดทางปรองดอง

- 0 comments

"อภิสิทธิ์"ชี้ร่าง พรบ.นิรโทษกรรมฉบับประชาชนเปิดทางปรองดอง เสนอตั้งโต๊ะคุย ชี้หากถอนร่างอื่นออกหมดก็พร้อมยอมรับ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีการเสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับประชาชนว่า สนใจกฎหมายฉบับนี้ เพราะมีการแยกแยะ หากรัฐบาลจริงใจ ตั้งโต๊ะคุยกัน และจะเป็นครั้งแรกที่จะเป็นจริงในเรื่องของกฎหมายนิรโทษกรรมที่มีลักษณะปรองดอง ต้องช่วยประชาชนที่เข้าไปร่วมในการแสดงออกทางการเมือง แต่โดยสถานการณ์ทำให้เกิดการกระทำผิดกฎหมาย กรณีอย่างนี้เขาคิดว่าเพื่อเป็นการแสดงออกให้เห็นว่าเรามุ่งไปสู่ความปรองดอง ก็สามารถนิรโทษกรรมได้
"เราไม่สมควรนิรโทษกรรมคนที่มีเจตนาในการเคลื่อนไหวที่ขัดกับหลักของกฎหมาย และรัฐธรรมนูญ ก็คือการใช้อาวุธ การมุ่งต่อชีวิต การมุ่งต่อทรัพย์สิน"นายอภิเสิทธิ์กล่าว
นอกจากนี้ การนิรโทษกรรมไม่ควรไปเกี่ยวข้องกับคดีทุจริต เพราะที่ผ่านมาแกนนำเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย และใครต่อใครเสนอกฎหมายนี้ จะเขียนว่าบรรดาการกระทำใดๆ มีแรงจูงใจทางการเมืองให้ถือว่าเป็นความผิดทางการเมือง ก็นิรโทษกรรมหมด เป็นการเหมาเข่ง  แต่มีการเล่นลิ้นว่าไม่รวมแกนนำ ซึ่งในทางกฎหมายแยกแยะลำบาก เพราะตำแหน่งแกนนำไม่มีในทางกฎหมาย แต่กฎหมายฉบับนี้ มีการแยกแยะ อย่างไรก็ตาม ยังมี 2 – 3 ประเด็นที่ยังไม่เห็นด้วย แต่ถ้ามีความจริงใจ ก็น่าจะตกลงกันใน 2 – 3 ประเด็นแล้วเดินหน้า และฉบับอื่นๆ ต้องโละทิ้ง
อย่างไรก็ตามอยากให้เขียนชัดเชนว่าการกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนด ประกาศ หรือคำสั่งที่ออกตามพรก. หรือออกตาม พรบ. มั่นคง ให้มีการนิรโทษกรรมการการกระทำที่เป็นความผิดละหุโทษให้ได้รับการนิรโทษกรรม ส่วนความผิดในหมวดความมั่นคง ต้องพิจารณาเพิ่มเติม เพราะมีประเด็นที่ไม่เห็นด้วยคือกรณีคดีที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะจะเป็นประเด็นความขัดแย้งในสังคม จึงยกเว้นกรณีการกระทำผิดในเรื่องของพระมหากษัตริย์ และการใช้อาวุธมุ่งต่อการประทุษร้ายผู้อื่น เช่น ยิงระเบิด ใช้อาวุธสงคราม ไม่สมควรได้รับการนิรโทษกรรม รวมไปถึงการลักทรัพย์ วางเพลิงสถานที่เอกชนและศาลากลางจังหวัด ส่วนหลักเรื่องเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานก็ตรงกับหลักกฎหมายอยู่แล้ว ถ้าทำเกินกว่าเหตุ เกินสมควร ก็มีความผิด การประกาศ พรก. เจ้าหน้าที่ที่ไม่ต้องรับผิดนั้น ต้องเป็นการกระทำที่ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่เกินกว่าเหตุ ไม่เกินกว่าจำเป็น
"เรากำลังหารือกับคนในพรรค ว่าถ้ารัฐบาลถอนกฎหมายทุกฉบับที่อยู่ในสภาออก เอาฉบับประชาชนนี้มาเป็นตัวตั้งแล้วหารือกันนอกรอบ ฝ่ายค้านรับได้ แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลจะไม่ยอมรับกฎหมายฉบับนี้ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และแกนนำนำไม่ได้ประโยชน์"นายอภิสิทธิ์กล่าว

ที่มา : โพสทูเดย์
[Continue reading...]

"มือลั่น" พฤติกรรมน่าหวั่นของชาวโซเชียล

- 0 comments

โดย...อินทรชัย พาณิชกุล

อย่าคิดเชียวว่าแค่มีสมาร์ทโฟนในมือแล้วจะทำให้คุณเป็นใหญ่ ทำอะไรได้ตามอำเภอใจทุกอย่าง
เที่ยวไปแชะภาพคนอื่นตามที่สาธารณะ อัดเสียงการสนทนา คลิปวิดีโอ ปล่อยเผยแพร่ลงในโซเชียลเน็ตเวิร์ก จะด้วยความสนุกคะนอง หรือด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ระวังจะติดคุกหัวโต
เช่นเดียวกับพวกกองเชียร์ทั้งหลาย ใช่ว่าจะปลอดภัยไร้กังวล เพราะแค่คลิกไลค์ คอมเมนต์ หรือแชร์ต่อโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็อาจพลอยซวยไปด้วย
ใครๆ ก็เป็นนักข่าวได้ (จริงหรือ)
เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็ชอบยกมือถือขึ้นถ่ายรูป อัดคลิปวิดีโอ ตั้งแต่กินข้าว เที่ยวสังสรรค์ เจอเรื่องถูกใจบนท้องถนน หวังแชะแล้วแชร์ บอกต่อให้คนอื่นได้รับรู้ผ่านโลกออนไลน์ บางครั้งพัฒนาไปถึงขั้นแฉ ตีแผ่ เปิดโปงปัญหาต่างๆ เพื่อปลุกให้สังคมตาสว่าง
“เป็นเรื่องที่ดีนะ แนวคิดว่าใครๆ ก็เป็นนักข่าวพลเมืองได้ ทุกคนมีเครื่องมือทันสมัยเท่าเทียมกันหมด สามารถผลิตสื่อเองได้ ทำให้เขารู้สึกมีพาวเวอร์ เช่นเดียวกับที่นักข่าวมีปากกา มีกล้องถ่ายรูป ยิ่งโตมาในยุคที่ยูทูบมีสโลแกนว่า Broadcast Yourself ทวิตเตอร์บอกว่า What are you doing เฟซบุ๊กกรอกหูว่า What’s on your mind ยิ่งทำให้คนรู้สึกอยากแสดงความคิดเห็น อยากบันทึกเรื่องที่คิดว่ามีความสำคัญ
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะถูกสอนมาให้เป็นผู้สื่อข่าว เขาไม่ได้เรียนกฎหมายจริยธรรมสื่อ จรรยาบรรณสื่อ ความรับผิดชอบในเชิงวิชาชีพเขาไม่รู้จัก สิ่งเดียวที่รู้คือชื่อเสียงทางสังคมในโลกโซเชียล ถ้าโพสต์เรื่องไม่จริง คนก็จะรุมประณาม ถ้าจริง ก็จะถูกยกสถานะขึ้น ด้วยการกดไลค์ กดแชร์”
ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการสถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ (สวส.) อธิบายถึงปรากฏการณ์ “แชะแล้วแชร์ฟีเวอร์” ให้ฟัง
เขาบอกว่ายุคเฟซบุ๊กทำให้ข่าวเร็วขึ้นกว่าหนังสือพิมพ์ถึง 7 เท่า คนเสพติดความเร็ว ทำให้ขาดการตั้งคำถาม ขาดการตรวจสอบข้อมูลที่ส่งต่อกันมา หากวิพากษ์วิจารณ์ไม่ระมัดระวัง อาจสร้างปัญหาบานปลายใหญ่โตขึ้นมาได้

ไฮเปอร์-เรียลิตีฟีเวอร์
ยกตัวอย่างคลิป หรือภาพถ่ายเจ้าปัญหาที่เป็นประเด็นถกเถียงของคนในสังคมได้อย่างร้อนแรง เช่น คลิปเสียงแม่ดาราสาวคนหนึ่งกำลังเคลียร์ข้อครหาเรื่องลูกสาวไปแย่งสามีชาวบ้าน คลิปการโต้เถียงกันอย่างดุเดือดของผู้จัดการโรงหนังกับลูกค้า คลิปสาวทอมบอยวิวาทกับชาววัยกลางคนเรื่องจอดรถขวางหน้าบ้าน คลิปครูฝึกซ้อมทหารเกณฑ์ คลิปเจ้าหน้าที่รัฐกร่าง คลิปดาราหนุ่มใหญ่วิพากษ์การเมือง รวมถึงภาพหลุดโป๊เปลือยสยิวกิ้วโดยไม่ตั้งใจของคนดัง ภาพพระสงฆ์ปฏิบัติตนเสื่อมเสีย ตำรวจตั้งด่านเถื่อน ฯลฯ
ถามว่าทำไมคนถึงชอบเสพสื่อประเภทคลิปวิดีโอ หรือภาพจากกล้องวงจรปิด ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นภาพเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นทั้งสิ้น
“ยุคนี้เขาเรียกยุค HyperReality คนนิยมภาพเหตุการณ์จริง สดๆ ร้อนๆ ตื่นเต้นน่าหวาดเสียว เสมือนกำลังอยู่ร่วมในเหตุการณ์ด้วย สมัยก่อน ยุค 1.0 โปรดักชันของสื่อที่คนนิยมเสพมีลักษณะโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ข้อความหรือภาพ ถูกตกแต่งดีไซน์ไว้สวยงามหมดจด ต่อมายุค 2.0 เราจะเริ่มเห็นข่าวที่ยิงตรงจากภาพสนาม อย่างที่สถานีข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานสถานการณ์สงครามในอิรัก
พอมาถึงยุคปัจจุบันที่เรียกว่า ยุค 3.0 คนไม่ต้องการเสพสาระข่าวสาร หรือความบันเทิงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่คนคุ้นชินกับภาพดิบๆ เถื่อนๆ แรงๆ ไม่มีเตี๊ยม ไม่มีตัดต่อ ต่างจากสมัยก่อนที่กองบรรณาธิการมักต้องมาปวดหัวกับการตัดต่อ เซ็นเซอร์ ถมดำ เดี๋ยวนี้คนดูชอบ มันน่าเชื่อถือมากกว่า เหมือนไปอยู่ในเหตุการณ์เสียเอง”
สอดคล้องกับผลสำรวจจากกรุงเทพโพลล์เมื่อปี 2551 ระบุว่าคนไทยชอบดูรายการประเภทเตือนภัยเป็นอันดับหนึ่ง เนื่องจากสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้
วัดได้จากความนิยมอย่างท่วมท้นของผู้ชมที่มีต่อรายการแนวเรียลิตี ไม่ว่าจะเป็น เรื่องจริงผ่านจอ นาทีฉุกเฉิน ระวังภัย หรือปากโป้ง เป็นต้น ที่มักนำเสนอภาพเหตุการณ์จริง ไม่ว่าจะจากคลิปมือถือ ภาพวิดีโอจากกล้องวงจรปิด ทั้งที่หลุดและจงใจเผยแพร่ออกมา
“คนเราไม่รู้สึกว่าโปรดักชันเป็นเรื่องสำคัญเท่าเรียลิตีสดๆ คนให้ความสำคัญต่อประสบการณ์ขณะนั่งรับชมมากกว่า คลิปพวกนี้ทำให้พวกเขารู้สึกกำลังนั่งดูสดๆ กับคนทั่วโลก” นักวิชาการชื่อดังกล่าว

ของฝากนักแชร์
ไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ อดีตกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายคอมพิวเตอร์เตือนว่า เพียงแค่คุณเปิดคอมพิวเตอร์ ขาข้างหนึ่งก็ก้าวเข้าไปอยู่ในตะรางแล้ว
“เคยมีผลสำรวจจากสวนดุสิตโพล มีประชากรไทยเพียง 20% เท่านั้นที่รู้ว่าเมืองไทยมี พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดด้วยว่า การทำผิดกฎหมายคอมพิวเตอร์คือการแฮกข้อมูลอย่างเดียวเท่านั้น น่ากลัวมากนะครับ ใครจะไปรู้ทุกวันนี้มีคดีกองรวมกันเป็นหมื่นคดีทั่วประเทศ”
นักกฎหมายด้านไอทีหมายเลขหนึ่งของไทยย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงชัดเจนว่า แค่ยกมือถือขึ้นมาถ่ายคนอื่นก็ถือว่าผิดกฎหมายฐานละเมิดสิทธิส่วนบุคคลแล้ว ยกเว้นคนผู้นั้นกำลังกระทำความผิด แล้วถ่ายเพื่อเป็นพยานหลักฐาน ถึงอย่างนั้นกฎหมายก็ไม่อนุญาตให้ถ่ายแล้วนำมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างสนุกปากได้
“ถ้าคุณไม่ได้เป็นนักข่าว คุณจะไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย แชะแล้วแชร์ เสี่ยงคุกในหลายข้อหา ทั้งละเมิดสิทธิส่วนบุคคล หมิ่นประมาท หรืออาจมีคดีลิขสิทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ยกเว้นคุณเป็นนักข่าว จึงจะได้รับความคุ้มครองในเรื่องการหมิ่นประมาท การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ในแง่การรายงานข่าว ฐานะสื่อมวลชน”
วันที่เฟซบุ๊กครองเมือง ทวิตเตอร์คนเล่นกันนับล้าน ไหนจะนิยมถ่ายรูปลงอินสตาแกรมกันอย่างบ้าคลั่ง ถ่ายแล้วอัพ คนแห่มากดไลค์ คอมเมนต์ และแชร์โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พฤติกรรมนี้นับว่าล่อแหลมและเสี่ยงอันตรายมาก
“กลุ่มที่น่าเป็นห่วง ผมว่าเป็นพวกที่ไม่ได้ตั้งใจ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ อาจไปถ่ายคลิป หรือภาพส่วนหนึ่งส่วนใดของเหตุการณ์ ซึ่งไม่ใช่ทั้งหมด แล้วใส่ความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์ทั้งที่ไม่ทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด อย่างภาพในอินสตาแกรมของดาราดังๆ ก็ต้องดูด้วยว่าละเมิดลิขสิทธิ์รึเปล่า ต้องดูว่าเซตเป็น Public รึเปล่า ถ้าเป็น Private จริงๆ เอาภาพเขามาเผยแพร่ โดนฟ้องได้นะครับ”
อีกกรณีที่น่ากังวลไม่น้อย หนีไม่พ้นเรื่องการใช้คลิปในการใช้ทำ Viral Marketing ของนักการตลาดรุ่นใหม่ ทั้งกรณีมีคลิปตบกัน แล้วที่สุดกลายเป็นโฆษณาสินค้า คลิปดาราขู่ตะคอกแฟนคลับ หากคนที่ทำขึ้นมีจุดประสงค์ทางการตลาดจริง ก็มีความผิดกฎหมายทั้งอาญาและลหุโทษ เนื่องจากทำให้ประชาชนแตกตื่น สับสน เสียหาย และอาจจะผิดไปถึง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ปี 2550 ฐานโพสต์ข้อความอันเป็นเท็จ มีโทษจำคุก 5 ปี แล้วแต่กรณี และเนื้อหาของคลิปนั้นๆ
“วิธีไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ ดูง่ายมาก คือเรื่องที่โพสต์นั้นมั่นใจไหมว่าเป็นข้อเท็จจริงหรือเปล่า ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะหรือไม่ ไปทำให้เกิดความเสียหายกับเจ้าของภาพไหม ถ้าไม่ อย่ากดไลค์ กดคอมเมนต์ หรือกดแชร์ จงจำไว้ว่าทุกอย่างสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ ถ้าแค่ชม คงไม่มีปัญหาทางกฎหมายหรอกครับ”
เป็นคำเตือนของนักกฎหมายคอมพิวเตอร์มือหนึ่งของประเทศที่ฝากไปยังนักแชะ นักแชร์ นักไลค์ นักคอมเมนต์ ทั้งหลาย ให้ระวังพฤติกรรม “มือลั่น”ของตัวเองไว้ให้ดี
กฎหมายคอมพิวเตอร์ที่ควรรู้สำหรับชาวโซเชียล
ก่อนแชร์ข้อมูล คลิปวิดีโอ หรือภาพใดๆ ควรพิจารณากฎหมาย 3 ส่วนหลักๆ
หนึ่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 ว่าด้วยเรื่องการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จที่อาจจะสร้างความเสียหายต่อผู้อื่น ต่อความมั่นคงของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สอง กฎหมายหมิ่นประมาท ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม ทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 328 ฐานหมิ่นประมาทได้กระทำโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ทำให้ปรากฏด้วยวิธีใดๆ แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษร กระทำโดยการกระจายเสียง หรือการกระจายภาพ หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท
สาม การนำข้อมูลของคนอื่นมาใช้ ไม่ว่าเป็นตัวอักษร ภาพ หรือคลิปวิดีโอโดยไม่ได้รับอนุญาต อาจเจออีกข้อหา นั่นคือ กฎหมายลิขสิทธิ์ ซึ่งสิ่งที่ไม่มีลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย ประกอบด้วยเนื้อหาข่าวหรือข้อเท็จจริงประจำวันทั่วไป (ไม่รวมรูปแบบการเขียน) คำพิพากษาศาล คำสั่งราชการ กฎหมาย คำสั่งกระทรวง ทบวง กรม และการรวบรวมเนื้อหาที่ทำขึ้นโดยหน่วยงานรัฐ ถ้านอกจากนี้ถือว่ามีลิขสิทธิ์ทั้งหมด

ที่มา :โพสทูเดย์
[Continue reading...]

ป.ป.ช.ชี้มูล "หมอเลี้ยบ-2อดีตขรก.ไอซีที" ผิดร้ายแรงแก้สัมปทานเอื้อชินคอร์ปฯ

- 0 comments

หมายเหตุ : เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 56 ที่ผ่านมา  เว็ปไซต์ของสำนักงานป.ป.ช. ได้เผยแพร่มติที่ประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.ชุดใหญ่ เมื่อวันที่ 16 ก.ค. 2556 ที่ได้พิจารณาเรื่องกล่าวหา นายสุรพงษ์  สืบวงศ์ลี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กับพวก อนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ (ฉบับที่ 5) เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ต้องถือในบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) จากไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 เป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดโดยมิชอบ ตามที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2551 มีเนื้อหาดังนี้
 
 สำหรับการชี้มูลของป.ป.ช. ดังกล่าว เป็นการกล่าวหานายสุรพงษ์  สืบวงศ์ลี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร , นายไกรสร  พรสุธี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร , นายไชยยันต์  พึ่งเกียรติไพโรจน์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ ว่า อนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ (ฉบับที่ 5) เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ต้องถือในบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) จากไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 เป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด โดยมิชอบ
 
 โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนขึ้นดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง มีนายภักดี  โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน ซึ่งการอนุมัติให้แก้ไขสัญญาสัมปทานลดสัดส่วน โดยไม่ได้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ จึงเป็นการอนุมัติโดยมิชอบ และเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ชินคอร์ปฯ ผู้รับสัมปทาน เนื่องจากในกรณีที่บริษัท ไทยคมฯ ทำการเพิ่มทุนเพื่อดำเนินโครงการใด ๆ โดยเฉพาะโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์ บริษัท ชินคอร์ปฯ ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ไทยคมฯ จึงไม่ต้องระดมทุนหรือกู้ยืมเงินมาซื้อหุ้นเพื่อรักษาสัดส่วนร้อยละ 51 ของตนเอง แต่กลับกระจายความเสี่ยงไปให้นักลงทุนรายย่อยในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และการลดสัดส่วนการถือครองหุ้นลงประมาณร้อยละ 11 ดังกล่าวย่อมเป็นผลให้บริษัท ชินคอร์ปฯ ได้รับเงินทุนคืนจากการโอนขายหุ้นจำนวนดังกล่าวออกไปด้วย 

 ทั้งการลดสัดส่วนดังกล่าวมีผลเป็นการลดทอนความมั่นคงและความมั่นใจในการดำเนินโครงการดาวเทียมของบริษัท ชินคอร์ปฯ ในฐานะผู้ได้รับสัมปทานโดยตรงที่ต้องมีอำนาจควบคุมบริหารจัดการอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้ และต้องเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 ในบริษัท ไทยคมฯ ซึ่งเป็นผู้บริหารโครงการดาวเทียมตามสัญญาสัมปทาน แม้ว่าบริษัท ชินคอร์ปฯ และบริษัท ไทยคมฯ จะยังต้องร่วมกันรับผิดตามสัญญาสัมปทานอยู่ แต่การลดสัดส่วนการถือครองหุ้นดังกล่าวก็ย่อมที่จะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและความมั่นคงในการกำกับดูแลการประกอบกิจการโทรคมนาคมของรัฐ องค์คณะผู้พิพากษาจึงมีมติด้วยเสียงข้างมากว่า การอนุมัติให้ลดสัดส่วนการถือครองหุ้นของบริษัท ชินคอร์ปฯ ในบริษัท ไทยคมฯ จึงเป็นการกระทำที่เอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ชินคอร์ปฯ และบริษัท ไทยคมฯ ผู้รับสัมปทานจากรัฐโดยไม่สมควร
 
 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงเรื่องนี้แล้ว จึงมีมติด้วยคะแนนเสียง 6 ต่อ 2 เสียง (นายกล้านรงค์  จันทิก กรรมการ ป.ป.ช. อีกคนหนึ่ง ขอถอนตัวไม่ร่วมพิจารณา เนื่องจากได้เคยพิจารณาเรื่องนี้ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือคตส. แล้ว) ว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหา คือ นายไชยยันต์  พึ่งเกียรติไพโรจน์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ และนายไกรสร  พรสุธี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ที่ได้เสนอความเห็นให้มีการอนุมัติแก้ไขสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ (ฉบับที่ 5) ให้ลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยทราบดีอยู่แล้วว่า เหตุที่บริษัทขอลดสัดส่วนการถือหุ้น เพื่อต้องการหาพันธมิตรขยายศักยภาพในการแข่งขันให้มีความเข้มแข็งและมีเงินทุนเพียงพอในการดำเนินการโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์
 
และการกระทำของนายสุรพงษ์  สืบวงศ์ลี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ที่ได้อนุมัติให้แก้ไขสัญญาสัมปทานฯ ดังกล่าว จึงมีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 โดยในส่วนของนายไกรสร  พรสุธี และนายไชยยันต์ พึ่งเกียรติไพโรจน์ ยังมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 อีกด้วย
 
ที่ประชุมป.ป.ช.จึงมีมติให้ส่งรายงาน เอกสาร และความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาโทษทางวินัยกับทั้งสอง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 92 และไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 70 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 10
 
ด้านนายภักดี โพธิศิริ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.ได้มีมติชี้มูลความผิดนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 จากกรณีอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ (ฉบับที่ 5) เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ต้องถือในบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) จากไม่น้อยกว่า 51% เป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดเมื่อปี 2547 โดยขั้นตอนต่อไปจะส่งสำนวนการไต่สวนให้อัยการสูงสุดดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ที่มา :ข่าวสด
[Continue reading...]

ส.ข้าวถุงจี้"สารี" เปิดชื่อแล็บ

- 0 comments

สำหรับสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย ได้ประชุมด่วนร่วมกับสมาชิก เพื่อหาแนวทางเร่งด่วนสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และสร้างภาพลักษณ์อุตสาหกรรมข้าวไทยให้กลับคืนมา นายสมเกียรติ มรรคยาธร นายกสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย กล่าวว่า สมาคมมีมติเตรียมจัดโครงการตรวจสอบข้าวบรรจุถุงเดือนละ 1 ครั้ง โดยเชิญมูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภคมาร่วมโครงการด้วย เพื่อตรวจสอบสารรมควันเมทิลโบรไมด์ ผ่านสถาบันนานาชาติอย่างเอสจีเอส โอมิกซ์ ซึ่งคาดว่าจะร่วมแถลงข่าวอีกครั้งวันที่ 24 ก.ค. และเริ่มดำเนินการเดือนส.ค.

"สมาคมต้องการให้มูลนิธิผู้บริโภคเปิดเผยห้องแล็บที่นำข้าวบรรจุถุงไปตรวจสอบ เพราะเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือของมูลนิธิเอง ซึ่งควรชี้แจงและเปิดเผยทั้งห้องแล็บที่ตรวจสอบและวิธีการตรวจสอบต่างๆ ด้วย หากมูลนิธิสามารถเปิดเผยข้อมูลได้จะเป็นเรื่องที่ดี แต่หากไม่สามารถเปิดเผยได้ สมาคมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร เพราะกำลังมีโครงการร่วมกับมูลนิธิอยู่แล้ว?นายสมเกียรติกล่าว

ก.เกษตรฯก็มึนตรวจแล็บไหน

นายนิวัติ สุธีมีชัยกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีห้องปฏิบัติการสำหรับตรวจสอบสารตกค้างที่ได้มาตรฐานแค่ 2 แห่ง ดังนั้น กระทรวงเกษตรฯ จึงประสานไปยังอย. เพื่อตรวจสอบสารตกค้างในข้าวทุกชนิดอีกครั้ง เพื่อเป็นการรีเช็กว่า ข้าวไทยมีสารพิษตงค้างหรือไม่ เป็นจริงอย่างที่มูลนิธิเพื่อการบริโภคตรวจสอบมาอย่างไร เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบันสั่งให้เก็บตัวอย่างข้าว เพื่อตรวจสอบสารตกค้างแล้ว คาดว่าอีกไม่เกิน 3 วันน่าจะรู้ผล

"ผลการวิเคราะห์ตัวอย่างข้าวของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ไม่รู้จะเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน เพราะห้องแล็บมาตรฐานในประเทศไทยมีน้อยมาก เมื่อถามไปว่าตรวจสอบที่แล็บไหนก็ไม่บอก ไม่รู้จะเชื่อถือได้มากแค่ไหน การตรวจสอบอาจทำกันหลังบ้านก็ได้ ใครจะไปรู้"นายนิวัติกล่าว

นายดำรงค์ จิระสุทัศน์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า จากกรณีที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มีการเก็บ
รวบรวมตัวอย่างข้าวถุงที่จัดจำหน่ายภายในประเทศแล้วพบข้าวถุงตราโค-โค่ ข้าวขาวพิมพา มีสารเมทิลโบรไมด์ตกค้างอยู่ที่ 67.4 พีพีเอ็ม เกินมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ ซึ่งกรมวิชาการเกษตรได้ดำเนินการเก็บตัวอย่างข้าวถุงทั้งหมดภายในประเทศ รวมถึงข้าวถุงตราโค-โค่ เพื่อตรวจวิเคราะห์สารเมทิลโบรไมด์ที่ตกค้างเพื่อยืนยันผลตรวจของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคว่ามีความถูกต้องหรือไม่ และได้ร่วมกับองค์การอาหารและยา นำเจ้าหน้าที่ตรวจสอบโรงผลิต แต่ยืนยันว่าสารเมทิลโบรไมด์ ที่นำมาใช้ในการอบข้าวนั้น เป็นสารที่ระเหยได้รวดเร็ว และเมื่อนำไปล้างน้ำ สารดังกล่าวจะมีปริมาณลดลง ไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค และมองว่าการดำเนินการของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเป็นการดำเนินการที่ดี ที่ตรวจสอบข้าวภายในประเทศ ซึ่งจะช่วยยกระดับผลิตภัณฑ์ข้าวภายในประเทศได้ 

"สารี"อ้ำอึ้ง-ปัดบอก

ส่วนน.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวถึงกระบวนการเก็บตัวอย่างข้าวมาตรวจสอบว่า การเก็บตัวอย่างข้าวเพื่อนำมาตรวจในครั้งนี้ ไม่อยากให้มองเป็นเรื่องการเมือง แต่เป็นเพราะมีประชาชนร้องเรียนและสอบถามจำนวนมาก และในขณะนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่แถลงผลการตรวจหรือชี้แจง ซึ่งตามปกติมูลนิธิมีความเชื่อมั่นในอย.อยู่แล้ว ทั้งนี้ กระบวนการเก็บตัวอย่างตรวจสอบของมูลนิธิ มีนักวิชาการและตรวจสอบในห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

"ผลการตรวจเป็นการทำงานบนหลักวิชาการ แต่ที่ไม่สามารถเปิดเผยห้องปฏิบัติการได้ เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อห้องปฏิบัติการ แต่ยืนยันว่าการทำงานเป็นไปตามหลักการเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค และถ้าจะนำตัวอย่างของมูลนิธิไปตรวจซ้ำก็ยินดี"น.ส.สารีกล่าว

ที่มา: ข่าวสด
[Continue reading...]

เปิดตัว"นารายณ์"ทัพหน้าอารักขา"ปู"

- 0 comments
                โดย...ปริญญา ชูเลขา

หลังโดนกลุ่มหน้ากากขาวออกมาขับไล่ ทำให้การเดินทางไปไหนมาไหนของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เวลานี้ต้องมีทีมตามอารักขายิ่งกว่าไข่ในหิน โดยเฉพาะพักหลังภารกิจต่างจังหวัด อาทิ ทัวร์นกขมิ้น หรือ ครม.สัญจร นายกฯ ปู จะไม่นั่งรถยนต์ให้เป็นเป้าอีกแล้ว แต่จะใช้เฮลิคอปเตอร์เป็นพาหนะแทน

อย่างการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ระหว่างวันที่ 18-19 ก.ค. ขบวนนายกฯ จะใช้ ฮ.ทั้งหมด 4 ลำในการเดินทางพบปะประชาชน

เท่านั้นยังไม่พอ มีการยกระดับภารกิจอารักขากันทางอากาศอีก โดยมีการนำเครื่องบินจิ๋วไร้คนขับ หรือเครื่อง UAV บินตามประกบเป็นตาสับปะรด อารักขา ฮ.ประจำตัวนายกฯ EURO และ Black Hawk ภายใต้รหัสม้าขาว

เครื่องบินจิ๋วที่ว่า ชื่อ “นารายณ์” ขนาดตัวเท่าเครื่องบินบังคับวิทยุเด็กเล่นทั่วๆ ไป แต่ศักยภาพไฮเทคมีกล้องติดเลนส์ซูมบันทึกภาพมุมสูงได้คมชัดส่งสัญญาณทางระบบอินเทอร์เน็ต ส่งสัญญาณภาพ 3 มิติและ Real Time ได้ รัศมีการบิน 2 กิโลเมตร เพดานบินสูง 600 เมตร อยู่กลางอากาศได้นาน 30 นาที

“นารายณ์” จะมาพร้อมรถตู้สีดำ ซึ่งภายในรถมีเครื่องรับ-ส่งสัญญาณภาพเสียงทันสมัยครบครัน พร้อมทีมงานเฉพาะกิจ 5 นาย เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจภาค 1 ที่จะคอยบังคับเครื่องนารายณ์ มอนิเตอร์ภาพ และประสานงานกับทีมงานตามขบวนนายกรัฐมนตรีถึงภารกิจการเดินทาง ซึ่งจะต้องไปเป็นทีมงานล่วงหน้าเพื่อเคลียร์พื้นที่ก่อนนายกรัฐมนตรีจะเดินทางถึง เพื่อส่งสัญญาณ “เคลียร์! ม้าขาว มาแล้ว”

น.ท.รัตน์ จันทร์น้อย หัวหน้าทีมดูแลภารกิจจากสำนักวิจัยและพัฒนาทางทหาร กองทัพเรือ ในฐานะผู้ร่วมประดิษฐ์เครื่องบิน UAV ดังกล่าว บอกว่า มีการใช้ UAV ดูแลรักษาความปลอดภัยผู้นำนับตั้งแต่การประชุมผู้นำน้ำโลก 23 ประเทศ ที่ จ.เชียงใหม่ การประชุม ครม.สัญจร จ.กำแพงเพชร

“ที่มาของชื่อ นารายณ์ เพื่อให้เกียรติแก่ พล.ร.อ.ยุทธนา ฟักผลงาม รอง ผบ.สส. คนปัจจุบันที่เป็นผู้คิดค้น ที่ให้ชื่อนี้เพราะพระนารายณ์มี 4 กร โดยมีราคาลำละ 1 แสนบาทเท่านั้น ปัจจุบันประจำการอยู่ในกองทัพ 14 ลำ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จำนวน 2 ลำ อยู่ที่ภาค 1 ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และที่ภาค 5 จ.เชียงใหม่”น.ท.รัตน์ กล่าว

สำหรับภารกิจหลักของนารายณ์ เหมือนกับพลทหารสอดแนม หรือสเกาต์ ที่จะบินลาดตระเวนโดยรอบพื้นที่ที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางมาถึง โดยเฉพาะจุด “สูงข่ม” ที่เป็นตึกสูงโดยรอบทั้งหมดว่ามีมือสไนเปอร์ดักซุ่มยิงอยู่หรือไม่ หากพบทางเจ้าหน้าที่อารักขาจะได้ส่งหน่วยสวาทเข้าไปเคลียร์พื้นที่บนยอดตึกสูงทันที

ขณะเดียวกัน ยังบินส่องบริเวณโดยรอบรัศมี 2 กิโลเมตร ว่ามีกลุ่มชุมนุมทางการเมืองมาก่อกวนหรือไม่ หากมีก็จะสามารถประสานกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ประเมินกำลัง จำนวนม็อบว่ามีเท่าไร อยู่บริเวณจุดใด และมีการพกอาวุธหรือไม่ โดยจะส่งสัญญาณภาพ Real Time มายังรถตู้ที่มีเครื่องรับสัญญาณด้วยระบบอินเทอร์เน็ตที่สามารถส่งภาพไปยังทีมอารักขาข้างกายนายกรัฐมนตรีได้ทันที ซึ่งสามารถปรับแผนอารักขาได้ทันท่วงที

นอกจากนี้ หากเกิดเหตุการณ์ม็อบก่อกวนสร้างความวุ่นวายเกิดจลาจล นารายณ์ยังสามารถบันทึกภาพมุมสูงไว้เป็นหลักฐานว่าเกิดอะไร ม็อบหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ก่อเรื่อง และด้วยศักยภาพระบบการบินแบบไร้เสียง เพราะใช้แบตเตอรี่เป็นพลังงานในการขับเคลื่อนใบพัด จึงสามารถสอดแนมโดยข้าศึกหรือศัตรูไม่รู้ตัว

น.ท.รัตน์ กล่าวว่า เครื่อง UAV กำลังพัฒนาศักยภาพล่าสุดพัฒนาเป็นรุ่น “องคต” (ผู้เป็นบุตรของพาลี) ที่ติดกล้องจับความร้อนหรือกล้องอินฟราเรด พร้อมติดเลเซอร์ชี้เป้าหมายและติดตั้งปืนขนาดเล็ก 9 มม. ที่สามารถคลำเป้าหมายด้วยการใช้เลเซอร์นำวิถียิงเป้าหมายได้แม่นยำอย่างอัตโนมัติ และยังมีเครื่องขยายเสียงใช้ข่มขู่กดดันผู้ร้ายที่กบดานหลบให้ยอมมอบตัว และยังจะนำเครื่องรุ่นใหม่ “องคต” นำไปใช้ในภารกิจชิงตัวประกัน หรือไล่ล่ากดดันผู้ร้ายที่หลบหนีเข้าไปในพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่เข้าถึงได้ยากและเสี่ยงต่อการสูญเสีย เช่น ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทุ่งหญ้าป่ารก ตึกแถวสลัมแออัด เป็นต้น

“หากเปรียบเทียบศักยภาพระหว่างนารายณ์ ที่ราคาลำละแสนบาทกับเรือเหาะลำละ 300 ล้านบาทที่ใช้ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถือว่าศักยภาพไม่ต่างกัน แต่นารายณ์คุ้มค่ามากกว่า เพราะเรือเหาะหากเจอความเร็วลม 19 นอต ก็ไปไม่เป็นแล้ว แถมก่อนจะนำเครื่องขึ้นเติมก๊าซฮีเลียมครั้งละแสนบาท แต่เครื่องนารายณ์มีเพียงค่าน้ำมันรถตู้และค่าชาร์จแบตเตอรี่เท่านั้น” น.ท.รัตน์ กล่าว

มีแผนอารักขาขนาดนี้ หวังว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์ คงบินลงไปตรวจพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กันถี่มากขึ้น
[Continue reading...]

"หยุด" ทำร้ายชาวนา เสียที "ประชาธิปัตย์"

- 0 comments

การออกมาถล่มโครงการจำนำข้าวของพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่เริ่มโครงการ ว่ามีการ "โกง" และขาดทุนถึง 2.6 ล้านบาท  เมื่อเล่นในสภาไม่ชนะจน

ประชาธิปัตย์ก็เริ่มใช้ "วิชามาร"  เช่นการออกมาของ "หมอ"วรงค์ ที่เอากระสอบข้าว "เน่า" โดยอ้างว่าเอามาจากคลังเก็บข้าวแห่งหนึ่ง

การออก ว่า สหรัฐกักข้าวไทยเพราะมีสารปนเปื้อน

ข่าวว่ามีหนูตาย และการออกมาโพสว่า ถ้ากินข้าวในยี่ห้อที่นาย สุทธิพงษ์ ธรรมวุติ อ้างถึง "ถ้าบริโภคมีอันตรายถึงแก่ชีวิต"  แม้กระทั่งหนู้ยังตายภายใน 5 นาที

การออกมาแถลงว่ามีข้าวเน่า "ที่กระบี่" ของนายชวนนท์

การออกมาโพสว่ากินอาหาร แล้วท้องเสีย เพราะ "ข้าวเน่า"

ขบวนการ การพูดบ่อย ๆ ย้ำ ซ้ำ ๆ และออกมาพูดหลายคน ในหลาย สถานะ "ประชาธิปัตย์" ใช้ได้ผลมาหลาย ๆ ครั้ง

แม้ว่าพิสูจน์ไม่ได้ว่า "กินข้าว" ที่มีสาร "รม" ตกค้างจะ "ตาย" หรือมีอันตรายจริงหรือไม่ แต่ก็ทำให้ตลาดค้าข้าว ซบเซาได้เช่นกัน  "ร้านสะดวกซื้อ" ก็ออกมาบอกว่ายอดการ "ซื้อข้าวถุง" ตก นี่เป็นเพียงในประเทศ กับคนไทย ที่บริโภคข้าวกันเป็นหลัก

ความเป็นจริง เวลาหุงข้าวการ"ซาวข้าว" ก็ทำให้สารเหล่านั้น หมดไปได้

ตลาดต่างประเทศเขาจะคิดอย่างไร ไทยไม่ใช่ผู้ส่งออกข้าวรายเดียวในโลก แต่มีอีกหลายประเทศที่ปลูกข้าวได้เช่นกัน

การกระทำเพียงเพื่อ "ล้ม" รัฐบาลฝ่ายตรงข้าม ถึงขนาดต้อง "เผาไร่ เผานา" สั่งฆ่าคนเมื่อปี 53 ยังไม่พอ ยังมา "ทำร้าย" ชาวนาอีก

แสดงว่าประชาธิปัตย์ ไม่ได้ "กินข้าว"

ถ้าจะกล่าวหาว่าการออกมา"โจมตีข้าว" ของประชาธิปัตย์ เป็นเพราะได้รับการสนับสนุน จากประเทศผู้ค้าข้าว อื่นหรือไม่

ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าคิด....


[Continue reading...]

“โอ๊ค” สวนกลับ “กรณ์” กล้าทำ กล้ารับ

- 0 comments

วันที่18 ก.ค. 56 นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เขียนข้อความบนเฟซบุ๊ก ตอบโต้นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้ง สืบเนื่องจากกรณีคลิปที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการลงพื้นที่หมู่บ้านเสื้อแดงของนายกรณ์ ใน จ.ขอนแก่น เนื้อหาบางส่วน ว่า คุณกรณ์ได้เขียนเฟซบุ๊กแบบเอาดีใส่ตัว แฟนเพจมองคุณกรณ์เป็นฮีโร่ที่สามารถเอาชนะใจคนเสื้อแดงแต่เป็นความซวยของคุณกรณ์เองครับ ที่ดันจุดไต้ตำตอไปคุยกับกลุ่มชาวบ้าน ที่รู้จักกับญาติของทีมงานผม ความเลยแตกครับ ชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ พอเขารู้ว่าคุณกรณ์ซื้อเสื่อเขาไป แล้วไปลงเฟสบุ๊คแบบนี้ เขาก็ย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดา ได้ขอให้ทีมงานผมช่วยนำข้อเท็จจริงมาลงให้หน่อย ผมเห็นว่าช่วงนี้กระแสคลิปกำลังอินเทรนด์ ผมก็นำมาลงให้ มีภาพและเสียงคมชัดพร้อมซับไตเติ้ล แปลไทยเป็นไทย ให้เห็นชัดเจนทุกคำพูดและสีหน้าท่าทางของชาวบ้าน แทนที่คุณกรณ์จะเป็นลูกผู้ชายกล้าทำก็กล้ารับ ขอโทษชาวบ้านไปเสียก็จบ กลับจะมาโยนความผิดให้พานทองแท้อีก ความจริงที่เกิดขึ้นในเฟซบุ๊กของคุณกรณ์ ก็อย่างที่เราเห็นกันครับ หนังคนละม้วน ผมไม่อยากเขียนซ้ำ

นายพานทองแท้ ระบุอีกว่า ความจริงจากใจของพานทองแท้ก็คือ ผมไม่ต้องการจะคาดคั้น หรือเอาชนะคะคานอะไรกับคุณกรณ์ครับ คนเราโกหกคนอื่นได้ แต่โกหกตัวเองไม่ได้ ดังนั้น คุณกรณ์จะมีเจตนาหรือไม่มีเจตนาบิดเบือนความจริง คุณกรณ์เท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจ ไม่จำเป็นต้องแฉตัวเองให้คนอื่นทราบ ความจริงสำหรับตัวคุณกรณ์เอง เมื่อรู้ว่ามวลชนคนเสื้อแดง เป็นคนที่มีน้ำใจ เขารักพ่อใหญ่ทักษิณด้วยใจ และเห็นใจที่พ่อใหญ่ถูกรังแก แต่ในเมื่อคนเสื้อแดงต้อนรับคุณกรณ์อย่างมีน้ำใจแบบนี้แล้ว คุณกรณ์กลับนำไปเขียนในสิ่งที่เจ้าตัวเขาไม่ชอบ หากคุณกรณ์จะกล่าวคำขอโทษเขา อย่างลูกผู้ชาย ผ่านเฟซบุ๊กของคุณกรณ์เอง เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการปรองดองที่ดี ผมว่าเขาก็พอใจแล้วละครับ.
[Continue reading...]

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟชบุ๊ก ชูวิทย์ I'm No.5 "อย่ารังแกข้าวไทยอีกเลย"

- 0 comments

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟชบุ๊ก  ชูวิทย์ I'm No.5 โดยมีข้อความดังนี้
อย่ารังแกข้าวไทยอีกเลย"
ไทยส่งออกข้าวเป็นอันดับ 1 ของโลก ติดต่อกันมาโดยตลอด ครองแชมป์ส่งออกมาช้านาน
เมื่อข้าวไทยเป็นสินค้าเกษตร จึงเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่เปรียบเสมือน "กระดูกสันหลังของชาติ" คือชาวนา ทุกรัฐบาลมีนโยบายช่วยเหลือชาวนา ตั้งแต่สมัยรัฐบาล "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" จนถึงปัจจุบัน แต่ชาวนาไทยก็ยัง "จน" เหมือนเดิม ไม่เคย "ลืมตาอ้าปาก" ได้ ทุกวันนี้ยังมีการประท้วงกันอยู่ เมื่อวาน ประท้วงกันบนทางด่วน เพราะชาวนาบอกว่าเป็นเรื่อง "ด่วน"
ผมไม่อยากให้เอาข้าวไทยมา "เล่นการเมือง" มากเกินไป จนส่งผลกระทบต่อ "ประโยชน์ของชาติ" ทุกคนอ้างว่าทำเพื่อประเทศชาติ แต่ขณะนี้ดูเหมือนข้าวไทยกลายเป็น "สินค้าการเมือง" อะไรที่เกี่ยวกับการเมืองมันดู "เลวร้าย" ปู้ยี่ปู้ยำเรื่องข้าว ทั้งโกง ข้าวเน่า สวมสิทธิ์ข้าว ขายข้าวขาดทุน ทุกอย่างที่เกี่ยวกับข้าวดู "เลวร้าย" ไปหมด

แต่ข้าวไทยยังคงเป็น "สินค้าสำคัญ" ของไทยต่อไปในอนาคต เพิ่มรายได้ให้กับประเทศ ทุกๆคนต้องกินข้าว คนไทยทุกคนเกี่ยวข้องกับข้าว ตั้งแต่เกษตรกร โรงสี หน่วยงานรัฐ ผู้ส่งออก จนถึงผู้บริโภค

ผมลองเอาข้าวมาสแกนดู ข้าวไทยยังคงคุณภาพยอดเยี่ยมครับ ดีที่สุดในโลก ใครๆก็พูดให้ร้ายข้าวไทย จนผมต้องออกมาเชียร์ข้าวไทยบ้าง เพราะไม่ใช่เฉพาะคนไทยที่กินข้าวไทย แต่เป็นคนทั่วโลก ตั้งแต่อัฟริกา ยุโรป อเมริกา เอเชีย ล้วนชิมข้าวไทยมาแล้วโดยทั้งสิ้น
หยุดทำร้ายข้าวไทยเสียทีเถอะครับ
[Continue reading...]
 
Copyright © . Yak Ratchaprasong - Posts · Comments
Theme Template by BTDesigner · Powered by Blogger