Tuesday, July 23, 2013

“อลงกรณ์” หัก “มาร์ค” จ่อชงร่างนิรโทษกรรมถกที่ประชุมปชป. - สอนมวยอย่าเก่งแต่วิพากษ์วิจารณ์

- 0 comments
ภาพข่าว :ข่าวสด
หมายเหตุ : วานนี้ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ภาคกลาง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่เตรียมเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม ผู้ชุมนุมทางการเมือง ตั้งแต่ปี2548 ฉบับพรรคประชาธิปัตย์

 จะเสนอรายละเอียดร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ทั้งหมด 8มาตรา คาดว่า จะแล้วเสร็จภายใน 2-3 วันนี้ เพื่อให้ที่ประชุมส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ พิจารณาในวันที่ 30 กรกฎาคม 

 โดยจะยึดสาระสำคัญของร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับประชาชน เป็นหลัก 

 แต่จะมีการปรับปรุง ในเรื่องของเงื่อนเวลา ให้พิจารณาจากปี 2548 และประเภทความผิดที่จะได้รับนิรโทษกรรม 

 จะต้องไม่กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และการทุจริต คอร์รัปชั่น 

 ขณะที่ผู้สั่งการ แกนนำ หรือผู้จงใจกระทำความผิดกฎหมายอาญา ในลักษณะมุ่งต่อทรัพย์สิน หรือมุ่งทำลายทรัพย์สินของเอกชน ราชการ และมุ่งต่อชีวิตของคนอื่น จะไม่ได้รับการนิรโทษกรรม 

 แต่ขอให้มีการนิรโทษกรรมในส่วนของประชาชน และผู้ปฏิบัติงานตามกฎหมาย ฉะนั้นถ้ามีความชัดเจนเช่นนี้ คงไม่มีเหตุผลใดที่จะเคลือบแคลงหรือไม่ไว้วางใจ

 ผมจะเสนอกฎหมาย ในฐานะที่เป็นส.ส.พรรค และคงจะมีเพียงร่างเดียวที่จะขอให้เป็นร่างของพรรค และหากที่ประชุมพรรคไม่เห็นด้วย ผมก็จะพิจารณาอีกครั้งว่า จะเสนอด้วยตัวเองเข้าสู่สภาหรือไม่ เพราะการที่มีร่างกฎหมายฉบับประชาชนขึ้นมา สะท้อนว่า 4-5 ร่างที่อยู่ในสภา ไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาของประชาชน และการที่ผมเสนอมาในช่วงนี้ เพราะเป็นช่วงที่เหมาะสม ที่ควรจะมีร่างที่เป็นที่ยอมรับของคนทุกฝ่าย โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือญาติวีรชนที่ได้รับผลกระทบทางการเมืองในปี 53 ซึ่งชัดเจนว่า สาระมุ่งไปที่การนิรโทษกรรมประชาชน 

 ดังนั้นในฐานะที่เราเป็นพรรคการเมืองใหญ่ และเป็นพรรคที่มีส่วนร่วม ในเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในหลายปีที่ผ่านมา จึงควรมีร่างกฎหมายที่ชัดเจนบนหลักของนิติรัฐ นิติธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ก็ประกาศไม่ขอรับการนิรโทษกรรม จึงถือเป็นจุดแข็ง ในการนำเสนอกฎหมายว่าไม่ได้ทำเพื่อตนเอง

 เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงจุดยืนแล้วว่า จะไม่เสนอร่างกฎหมายของพรรคเข้าพิจารณา 

 นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ก็ถือเป็นความเห็นของนายอภิสิทธิ์ แต่ส.ส.มีสิทธิที่จะเสนอในที่ประชุมพรรค วันนี้เราต้องมองข้ามการเมือง จะคิดเล็กคิดน้อย เล่นแง่ทางการเมืองไม่ได้ หรือกลัวตกหลุม กลายเป็นเครื่องมือของคนนั้นคนนี้ หากเรายอมรับว่า มีปัญหาการเมืองต่อเนื่องมาร่วม 10ปี พรรคประชาธิปัตย์ ต้องหาทางออกให้กับประเทศ และดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เพียงแค่วิพากษ์วิจารณ์ เพราะเราเป็นพรรคการเมืองใหญ่ จึงถึงเวลาที่บทบาทหน้าที่ของเราต้องเปลี่ยนแปลง 

 "ถึงเวลาแล้วที่เราต้องลบรอยบาดแผล หากเราไม่สมานแผลแล้วจะเดินหน้าไปได้อย่างไร และเชื่อว่า ทางนี้จะเป็นทางลัดที่เร็วกว่า ซึ่งการจะนิรโทษกรรมมีทางเดียวคือต้องผ่านกฎหมายจากสภา ทั้งนี้ขอเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทย เสนอร่างพ.ร.บ. นิรโทษกรรมด้วย เพื่อแสดงความจริงใจในการสร้างความปรองดอง"  นายอลงกรณ์ ระบุ
[Continue reading...]

พม่าปล่อยตัวนักโทษการเมืองเพิ่มอีก 73 คน

- 0 comments
ภาพข่าวจากมติชน
 รัฐบาลพม่าตกลงปล่อยตัวนักโทษการเมือง 73 คน หลังจากประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ให้คำมั่นจะปล่อยตัวนักโทษการเมืองทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้ ทั้งนี้ นักโทษที่ได้รับการปล่อยตัวบางคนเป็นชนกลุ่มน้อยคะฉิ่น ที่ได้ร่วมลงนามสันติภาพกับทางการพม่าเมื่อไม่นานมานี้

นายฮะลา หม่อง ฉ่วย ที่ปรึกษาประธานาธิบดี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของศูนย์สันติภาพพม่า กล่าวว่า ประธานาธิบดีได้ลงนามกฎหมายนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองประมาณ 70 คนทั่วประเทศแล้ว

ขณะที่นายอ่อง มิน หนึ่งในรัฐมนตรี กล่าวต่อบีบีซีภาษาพม่าว่านักโทษการเมืองได้รับการปล่อยตัววันนี้ ภายใต้คำสั่งนิรโทษกรรมของประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ซึ่งรวมถึงนักโทษชาวคะฉิ่น 26 คน โดยมี 13 รายถูกปล่อยตัวจากเรือนจำมิตยีนา ซึ่งเขาได้พบปะกับทั้งหมดด้วยตนเอง

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง แถลงว่า จะไม่มีนักโทษทางความคิดเหลืออยู่ในพม่า และคณะกรรมการกำลังตรวจสอบคดีของนักโทษแต่ละราย ในการกล่าวสุนทรพจน์ระหว่างการเดินทางเยือนกรุงลอนดอนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ได้ปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่นับตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อปี 2010 ตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มมีการทยอยปล่อยนักโทษการเมืองออกมาเป็นระยะๆ ขณะที่กฎข้อบังคับและการควบคุมสื่ออย่างเข้มงวดเริ่มมีการผ่อนปรนมากขึ้น  กลุ่มสิทธิมนุษยชนคาดการณ์ว่า มีนักโทษการเมืองในพม่าอยู่ประมาณ 100-150 คน ก่อนการประกาศในวันนี้

[Continue reading...]

กระชับอำนาจทุนพยุงอำนาจรัฐ

- 0 comments
ภาพข่าว จากโพสทูเดย์
โดย...ธนพล บางยี่ขัน

กลายเป็นภาพชื่นมื่นยืนยันสถานภาพความสัมพันธ์ระหว่าง “รัฐบาล” และ “กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่” อย่างเครือซีพีได้เป็นอย่างดี เมื่อนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลงทุนสวมบทเป็นพรีเซนเตอร์กินข้าวโชว์ เพื่อเรียกความมั่นใจว่าปลอดภัย ไร้สารปนเปื้อน ระหว่างเยี่ยมชม บริษัท ซี.พี.อินเตอร์เทรด (ผู้ผลิตข้าวตราฉัตร) จ.พระนครศรีอยุธยา

แน่นอนว่าหากมองในแง่ผลประโยชน์ ย่อมถือเป็นผลดีให้กับทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือเอกชน ทั้งในฐานะเจ้าของนโยบายจำนำข้าวและผู้ประกอบการที่กำลังแบกรับภาระร่วมกัน เดินหน้าฝ่าแรงเสียดทานลุยโครงการรับจำนำข้าวต่อไปให้ได้ไกลที่สุดเท่าที่จะลากกันไปได้

เมื่อเวลานี้ข่าวคราวความเสียหายจากข้าวเน่า ข้าวเสื่อมคุณภาพ ทั้งที่เก็บในโกดังหรือที่แปรรูปออกมาบรรจุถุงปรากฏให้เห็นในหลายพื้นที่ รวมไปถึงสารปนเปื้อนที่ข้อมูลจากการสุ่มตัวอย่างของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคพบมีบางยี่ห้อมีสารตกค้างเกินค่ามาตรฐาน ล้วนแต่มีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค กระทบต่อไปถึงวงการค้าข้าวทั้งวงการ

การ “กินข้าวโชว์” พร้อมนำคณะรัฐมนตรี (ครม.) และสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศไปสังเกตการกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ จึงเป็นได้เพียงแค่ความพยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามากกว่าแก้ที่ต้นสายปลายเหตุ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะกู้ความเชื่อมั่นได้ทั้งระบบ

ทว่าประเด็นที่น่าสนใจคือสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มทุนและรัฐบาลที่ดูเหมือนจะกลับมาแนบแน่นอีกครั้ง หลังจากที่เคยขาดสะบั้นกันไปรอบหนึ่งก่อนหน้านี้ และกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมาต่อกันเรื่อยมา ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์พาดพิงไปถึงกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ว่าเป็นผู้ที่มีส่วนให้การสนับสนุนแบบลับๆ กับการเคลื่อนไหวล้มรัฐบาลไทยรักไทยที่ผ่านมา

เวลาผ่านมาความสัมพันธ์ที่ระหองระแหงของทั้งสองฝ่ายค่อยๆ คลี่คลายไปทีละน้อย แว่วว่าในงานศพบิดาของนายกฯ ฮุนเซนที่กัมพูชาเมื่อสัปดาห์ก่อน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้มีโอกาสพบกับ ธนินท์ เจียรวนนท์ เจ้าสัวซีพี รวมทั้งได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว จากนั้นไม่กี่วันจึงเห็นภาพนายกฯ ยิ่งลักษณ์หอบ ครม.ไปเยี่ยมชมโรงงานที่ จ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมกินข้าวโชว์

ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร แต่การปล่อยให้ความระหองระแหงระหว่างกลุ่มทุนกับรัฐบาลยืดเยื้อต่อไปย่อมไม่เป็นผลดีกับการบริหารราชการ โดยเฉพาะช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่เต็มไปด้วยปมปัญหาต่างๆ นานัปการ ดังนั้น การกระชับความสัมพันธ์กับกลุ่มทุนจึงเป็นหนทางที่รัฐบาลต้องเร่งเดินหน้าไปให้ถึงเป้าหมาย

อย่าลืมว่าทั้งอำนาจปืน อำนาจทุน ล้วนมีผลต่อความเป็นไปของรัฐบาลที่ต้องพยายามประคับประคอง

ที่ผ่านมา รัฐบาลพยายามอุดช่องว่างกระชับสัมพันธ์ระหว่างกองทัพจนเริ่มเห็นผลก่อนจะเริ่มมีปัญหาภายหลังคลิปสนทนาแผน “หนู” พา “ราชสีห์” กลับบ้านหลุดออกมาจนทำให้ความไว้วางใจระหว่างสองฝ่ายลดน้อยลงไป

อีกด้านหนึ่งกับความสัมพันธ์กับกลุ่มทุน รัฐบาลเพื่อไทยเองไม่ได้นิ่งนอนใจและพยายามกระชับสัมพันธ์ ดังจะเห็นจากการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงงานที่ จ.พระนครศรีอยุธยา รอบนี้ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่ระบุว่า “การลงพื้นที่ครั้งนี้ถือเป็นการให้กำลังใจบริษัท ซึ่งเป็นบริษัทที่มีมาตรฐานในการผลิตข้าวที่สำคัญของประเทศในจำนวนกว่า 1 แสนล้านตันต่อปี”

รวมไปถึงข้อเสนอในการพัฒนาโลจิสติกส์จาก “ประสิทธิ์ ดำรงชิตานนท์” รองประธานกรรมการกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศเครือซีพี ใน ครม.สัญจรที่ จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อพัฒนาท่าเรือในจังหวัดเป็นท่าเรือส่วนต่อขยายของท่าเรือทางทะเล การพัฒนาทางน้ำเดิมบำรุงรักษาร่องน้ำเจ้าพระยาและร่องน้ำป่าสักให้สามารถเดินเรือได้ตลอดปี ก็ดูจะได้รับการตอบรับจากรัฐบาล

อย่าลืมว่าที่ผ่านมา ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ออกมาสร้างกระแสปูดเรื่อง 37 กลุ่ม จ้องล้มรัฐบาลอยู่หลายรอบ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มน้ำเมา กลุ่มขายเป็ดไก่ กลุ่มสื่อสาร กลุ่มธนาคาร ฯลฯ ซึ่งไม่ว่าจะมีเค้าความจริงมากน้อยแค่ไหน แต่คนส่วนใหญ่ล้วนแต่ปักใจเชื่อว่ากลุ่มทุนต่างๆ ล้วนแต่ผูกโยงกับทั้งฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลและโค่นล้มรัฐบาล ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหวทางการเมืองจนทำให้กลุ่มทุนกับกลุ่มการเมืองไม่สามารถแยกออกจากกันได้

เมื่อไม่อาจปฏิเสธได้ว่าทุนถือเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนกิจกรรมทางการเมือง สายป่านจะยาวหรือสั้นล้วนแต่มีผลต่อความสำเร็จในการเคลื่อนไหวทางการเมืองแทบทั้งนั้น ไม่ว่าจะฝั่งสนับสนุนหรือฝั่งต่อต้านรัฐบาล

ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม รัฐบาลจำเป็นจะต้องกระชับความสัมพันธ์กับกลุ่มทุนให้มายืนฝั่งเดียวกับรัฐบาลให้ได้ ไม่ว่าจะแนบแน่นสนิทใจแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงไม่ให้ย้อนกลับมาเป็นปัญหาสะเทือนถึงเสถียรภาพของรัฐบาลยิ่งในภาวะการเมืองที่สุ่มเสี่ยงเช่นนี้
[Continue reading...]

แม่น้องเกดเตรียมเข้าพบ "ศุภชัย" ให้หนุนร่าง “นิรโทษฉบับประชาชน”

- 0 comments
ภาพข่าว จาก โพสทูเดย์
นายศุภชัย ใจสมุทร สส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยว่า ในวันที่ 24 ก.ค. นี้ นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดา น.ส.กมลเกด พยาบาลอาสาซึ่งเสียชีวิตในเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแเดง เมื่อปี 2553 จะเดินทางมาพบที่สภาฯเพื่อยื่นร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับประชาชน และขอให้สนับสนุนร่างดังกล่าว

ส่วนกรณีที่จะมีการหยิบยกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนายวรชัย เหมะ สส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย มาพิจารณาก่อนนั้น ต้องถามว่าเรื่องดังกล่าวเร่งด่วนขนาดไหน และเชื่อว่าประชาชนเรียนรู้ว่าจะรอได้เพื่อให้บรรยากาศการเมืองคลี่คลาย

"วันนี้ความขัดแย้งยังมีอยู่ สังคมยังไม่ตกผลึก ยังมีความเห็นสวนทางกัน ก็เกรงว่าจะทำให้การบริหารราชการของรัฐบาลเกิดความลำบากขึ้น ถ้าจะให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้ ก็ควรรอให้ตกผลึกก่อน อย่าเร่งรีบสุมไฟให้ร้อน ร่างนิรโทษกรรมของนายวรชัย ไม่ได้แตกต่างจาก 3-4 ฉบับที่ค้างอยู่ ทำไมรอได้ และร่างของประชาชนที่จะมายื่นกับผม ก็ควรจะรอเพื่อพิจารณาไปพร้อมๆกัน"นายศุภชัย กล่าวและว่า ส่วนตัวยังทราบมาว่ากระบวนการจัดสานเสวนาหาทางออกประเทศไทยมีการบิดเบือน ไม่กระจายไปทุกภาคส่วนอย่างที่ควรจะเป็น

ขณะที่นายเรืองศักดิ์ งามสมภาค สส.บัญชีรายชื่อ กลุ่มมัชฌิมา พรรคภูมิใจไทย  กล่าวว่า เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรม เพราะเชื่อว่าจะนำไปสู่ความปรองดองได้ในระดับหนึ่ง โดยไม่เจาะจงว่าจะเป็นฉบับไหน แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขช่วยเหลือปลาซิว ปลาสร้อย ไม่ใช่แกนนำ

ส่วนที่จะมีการพิจารณาร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับของนายวรชัย ก็เห็นว่าจะทำให้เกิดความปรองในระดับหนึ่ง ส่วนตัวก็จะรับหลักการ แล้วไปว่ากันในวาระที่ 2 ส่วนความกังวลว่าจะมีการสอดไส้ในชั้นแปรญัตตินั้น เชื่อว่าสส.ทุกคนมีความรู้ คงจะหลอกกันไม่ได้ง่ายๆ
[Continue reading...]

ผู้ตรวจฯปัด 2 มาตรฐาน แจงสอบจริยธรรม นักการเมือง-ขรก. ต่างกัน

- 0 comments

"รักษเกชา" ผู้ตรวจฯปัด 2 มาตรฐาน หลัง "เรืองไกร" ร้องสอบจริยธรรม "คำรณวิทย์" เร็วกว่ากรณี "รสนา" แจงวิธีการสอบจริยธรรมนักการเมือง-ข้าราชการต่างกัน ...

วันที่ 23 ก.ค. นายรักษเกชา แฉ่ฉาย รองเลขาธิการและโฆษกสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เปิดเผยถึงกรณีที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา เตรียมยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อขอทราบมาตรฐานการปฏิบัติงาน กรณีที่ดำเนินการตรวจสอบจริยธรรมของ พล.ต.อ.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เร็วกว่าคำร้องที่นายเรืองไกร เคยยื่นขอให้ตรวจสอบจริยธรรม น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. กระทำการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของ ส.ว. และกรรมาธิการ ข้อ 9 ว่า ผู้ตรวจการฯไม่ได้ลืมคำร้องของนายเรืองไกร แต่ที่ขอให้ตรวจสอบ น.ส.รสนา เป็นการตรวจสอบจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่มีกฎหมายหลายข้อ และหาพยานหลักฐานจากหน่วยงานหลายฝ่าย จึงมีความแตกต่างกับกรณี พล.ต.อ.คำรณวิทย์ เป็นข้าราชการ มีสายบังคับบัญชา ที่ผู้ตรวจการฯ ส่งเรื่องไปให้ ผบ.ตร. ในฐานะผู้บังคับบัญชา เป็นฝ่ายดำเนินการตรวจสอบได้เลย ทั้งนี้ผู้ตรวจการฯ ไม่ได้มี 2 มาตรฐาน หรือเลือกปฏิบัติกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จึงขอชี้แจงว่าวิธีดำเนินการตรวจสอบจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกับข้าราชการนั้นมีการดำเนินการที่แตกต่างกัน.
 
ที่มา : ไทยรัฐ
[Continue reading...]

บทวิเคราะห์การเมือง ไทยรัฐ "ฉากร้อนแต่ยังไร้พลัง

- 0 comments

ยิ่งลักษณ์

ได้ชาร์จแบตเตอรี่เต็มๆ ตามโปรแกรมที่นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ใช้โอกาส
ลองวีกเอนด์หยุดยาวเนื่องในเทศกาลวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา พา น้องไปป์ด.ช.ศุภเสกข์ อมรฉัตร บุตรชาย พร้อมเพื่อนของ น้องไปป์เดินทางไปพักผ่อนเป็นการส่วนตัวที่พัทยา จังหวัดชลบุรี เป็นเวลา 3 วันติดกัน

เตรียมตัวเปิดมารับมือกับภารกิจหนักๆ โจทย์หินๆที่จ่อรออยู่

โดยเฉพาะกับคำถามเค้นคอระหว่างกฎหมายการเงินกับชะตากรรมของคนเสื้อแดง รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับอย่างไหนมาก่อน

อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์จะร้อนตามรูปการณ์ แต่เมื่อประเมินเงื่อนไขของแต่ละฝ่าย

ก็ยังไปกันคนละทิศคนละทางอย่างไร้พลัง

ชัดเจนสุด กับแรงตกกระทบจากร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับประชาชน ที่ก่อให้เกิดอาการหวาดระแวงในหมู่แนวร่วมฝ่ายเดียวกันเอง
ด้านหนึ่งนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย แกนนำเสื้อแดง นปช.ในฐานะเจ้าของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯที่จ่ออยู่ในวาระแรกของสภา ออกมาตั้งแง่ใส่ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯฉบับประชาชน มีคนอยู่เบื้องหลัง

เชื่อว่านางพะเยาว์ อัคฮาด มารดาของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนารามจากเหตุสลายการชุมนุมเสื้อแดง ไม่ได้เป็นผู้ร่างเอง ต้องมีคนร่างให้
เสื้อแดงพรรคเพื่อไทยไปคนละแนวกับเครือข่ายญาติเสื้อแดงที่เสียชีวิต

และก็เช่นกัน ในอารมณ์ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ต้องรีบเคลียร์บนเวที
ผ่าความจริงของพรรคประชาธิปัตย์ ภายหลังโดนขาใหญ่ม็อบพันธมิตรฯตั้งแง่ถามหาจุดยืนที่สนับสนุนร่างนิรโทษกรรมฉบับประชาชน ยอมยกโทษให้คนละเมิดมาตรา 112 และพวกเผาบ้านเผาเมือง

ย้ำ
สันดานตัวเองดังๆ ไม่เหมือนพวก นายใหญ่ที่ปากอย่างทำอย่าง

อภิสิทธิ์ประกาศพร้อมสู้ในชั้นศาลตามกระบวนการยุติธรรม ตามหลักการนิรโทษกรรมให้เฉพาะประชาชน แต่ไม่เกี่ยวกับคนสั่งการ เพื่อพิสูจน์หาว่าใครคือฆาตกรตัวจริง

ทั้งก็อีกนั่นแหละ ในทางกฎหมายเงื่อนไขนิรโทษกรรมฯจะมีผลต่อผู้ที่อยู่ในข่ายความผิดทั้งหมด จะเว้นเฉพาะคนหนึ่งคนใด ไม่แน่ว่าจะทำได้หรือไม่

แต่ที่แน่ๆโดยกระแสทางการเมือง ผลจากยุทธศาสตร์ที่พรรคประชาธิปัตย์ชิงประกาศหนุนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับประชาชน โหนอยู่ข้างญาติเหยื่อคนเสื้อแดง
นอกจากได้
เสี้ยมถ่างรอยร้าวระหว่างพรรคเพื่อไทยกับแนวร่วม นปช. ยังเป็นหมากย้อนศรเกมฮั้วระหว่างรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่จะกันทหารเป็นพยาน โดยคุมจังหวะให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เดินหน้าเอาผิดเฉพาะฝ่ายการเมืองคือนายอภิสิทธิ์ กับ เทพเทือกนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ.

เหนืออื่นใด โดยจังหวะกระโดดมาโหนฝ่ายประชาชน พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ทีชิ่งออกจากทหาร สลัดภาพรัฐบาลที่ไปตั้งกันในค่าย ได้เหลี่ยมเคลียร์ปมด้อยที่ถูกประทับมาตลอด 6
7 ปีที่ผ่านมาว่า อิงแอบอยู่กับเผด็จการ เป็นพรรคที่ได้ประโยชน์จากการรัฐประหาร

ประชาธิปัตย์หวังได้หลายเด้ง แต่ก็เสียหลายต่อเหมือนกัน
ที่แน่ๆเกมออกรูปนี้ ท็อปบูตคงเข็ดแล้วกับ
การตีงูให้กากินแถมยังโดนแว้งจิก
ประกอบกับในสถานการณ์ที่บิ๊กท็อปบูตกำลังตกเป็นเป้าหมั่นไส้ โดนฝ่ายต้านรัฐบาลตามตอดเล็กตอดน้อย ทั้งรายการ
มือดีตัดต่อวีดิโอเพลงรักของผู้นำหญิงกับจ่าฝูงสีเขียว เป็นนัยอำสถานภาพความสนิทชิดเชื้อ เช่นเดียวกับการแฉประจานปมการจำหน่ายเรือเหาะของกองทัพบก ฯลฯ

ทหารถูกผลักมาอยู่กับฝ่ายรัฐบาลพรรคเพื่อไทยโดยปริยาย
นั่นก็ทำให้การยั่วเกมรัฐประหาร
ยิ่งลักษณ์ยิ่งห่างไกลความจริงเข้าไปอีก

ในปรากฏการณ์ที่ม็อบหน้ากากขาว ก็ยังสนุกอยู่กับการจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เบิ้ลบลัฟตีกินรัฐบาลเป็นรายวันรายสัปดาห์ ในสภาพไร้หัวขบวน ไม่มีหัวท่อจ่ายน้ำเลี้ยง

โดยเครื่องหมายคำถาม จะเลี้ยงกระแสไปได้อีกนานแค่ไหน
เช่นเดียวกับที่พึ่บพั่บขึ้นมาเป็นไฟไหม้ฟาง กับมุกของ
ม็อบแช่แข็งประเทศไทยเจ้าเดิม กลุ่มองค์กรพิทักษ์สยามที่พยายาม รีแบรนดิ้งใหม่ แต่ ผู้ถือหุ้นล้วนแต่พวกหน้าเก่าขาประจำ

นั่นก็ทำให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเปิดฉากเบิ้ลบลัฟ อำแบบไม่ให้ราคา

แค่ทหารแก่ถือฟืนเปียกมาจุดไฟในช่วงฝนตกขี้หมูไหล.


ทีมข่าวการเมือง

 
[Continue reading...]

ดีเอสไอ เล็งออกหมายจับ "ชวน-15 สส.ปชป."หลังไม่รับข้อกล่าวหา คดีเงินบริจาคพรรค

- 0 comments

"วัชระ" เผยดีเอสไอ เล็งออกหมายจับ ชวน-15 สส.ปชป. หลังไม่รับข้อกล่าวหา คดีเงินบริจาคพรรคยันเป็นข้อกล่าวหาไม่ชอบด้วยกฎหมาย วอน "ศาล" อย่าตกเป็นเครื่องมือ

                    23 ก.ค.56 นายวัชระ เพชรทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนทราบมาว่าขณะนี้ข้าราชการกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) บางคน วางแผนที่จะออกหมายจับนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย สส.บัญชีรายชื่อพรรคอีก 15 คน อาทิ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน, นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ จากการไม่ไปรับทราบข้อกล่าวหา ในคดีบริจาคเงินให้พรรคซึ่งดีเอสไอดำเนินคดีอยู่

                   นายวัชระ กล่าวต่อว่า ทั้งๆ ที่ข้อกล่าหาในคดีนี้เป็นข้อกล่าวหาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจโดยตรงในเรื่องดังกล่าว ก็ออกมายืนยันแล้วว่า สส.พรรคประชาธิปัตย์ทั้งหมดที่บริจาคเงินให้พรรคไม่มีความผิด ตาม พรบ.พรรคการเมือง แต่ดีเอสไอกลับดำเนินการตาม พรบ.ดีเอสไอ ซึ่งขณะนี้นายบัญญัตติได้ทำหนังสือขอความเป็นธรรมกับ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการคดีพิเศษว่า การรับเป็นคดีพิเศษในคดีบริจาคเงินของประชาธิปัตย์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องมีการทบทวน เห็นควรให้ยุติเรื่อง และล่าสุดนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ก็ได้ยอมรับกับกรรมาธิการงบประมาณปี 2557 แล้วว่า สาเหตุที่ดีเอสไอรับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ เพราะมีฝ่ายการเมืองเข้าไปมีอำนาจในดีเอสไอ

                   นายวัชระ กล่าวต่ออีกว่า ขอความเป็นธรรมกับศาลไว้ล่วงหน้าว่า ให้ระมัดระวังจะตกเป็นเครื่องมือของดีเอสไอ ซึ่งถือว่ามีเจตนาไม่สุจริต การขอศาลออกหมายจับ สส.ทั้ง 16 คนของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีความจำเป็น เพราะ สส.ทุกคนมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่ใช่โจรผู้ร้ายที่หลบหนีคดีอาญาแผ่นดิน แต่การขอออกหมายจับนั้น ต้องการใช้หมายจับทำให้ สส.ทั้ง 16 คนถูกคุมขัง ซึ่งจะต้องสิ้นสถานภาพ สส. ตามข้อบังคับพรรคประชาธิปัตย์

                   “สส.พรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 16 คน ไม่มีความกังวลในกรณีนี้ และอยากท้าให้ดีเอสไอดำเนินคดีต่อ และตนเชื่อว่าสุดท้ายแล้ว เรื่องนี้จะไปจบที่ศาลอาญา จึงอยากฝากถึง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน อดีตประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ , นายธาริต และกรรมการคดีพิเศษทุกคนว่า สส.พรรคประชาธิปัตย์จะเอาคืนกับพวกท่าน ในข้อหาจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157,200 และตาม พรบ.พรรคการเมือง   มาตรา 104 ในความผิดสมรู้ร่วมคิดกับนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต สว.กลั่นแกล้ง สส.ให้หมดสภาพความเป็น สส.ซึ่งจะทำให้มีโทษเป็น 2 เท่า” นายวัชระ กล่าว

ที่มา: คมชัดลึก
[Continue reading...]

บทเพลง ผิดเพี้ยน ขบวนการ “หน้ากากขาว” จาก “ธรรมยาตรา”

- 0 comments



การปรากฏขึ้นและสำแดงตัวตนออกมาของแกนนำกลุ่มธรรมาธิปไตยในการกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวจากบริเวณลานห้างเซ็นทรัลเวิลด์ไปยังหอศิลปวัฒนธรรม กทม.

 เริ่มมีความเด่นชัดเป็น “รูปธรรม”

 “ไทยรัฐ” อาจรายงานเพียง ขณะที่ด้านหลักประกาศชุมนุมอย่างสงบห้ามเคลื่อนย้าย แต่บางส่วนไม่พอใจ

 แยกตัวเดินไปยังหน้าหอศิลปวัฒนธรรม กทม.

 “ไทยโพสต์” ให้ความชัดเจนขึ้นว่า ชายฉกรรจ์ 2 คน ตะโกนให้รวมตัวกันเป็นขบวน เพราะได้มีมติให้เคลื่อนไปยังหน้าหอศิลปวัฒนธรรม กทม.

 มีรถกระบะติดเครื่องขยายเสียงของ “กลุ่มธรรมยาตรา” รออยู่

 แม้ว่าผู้ชุมนุม “หน้ากากขาว” ส่วนหนึ่งจะยังยืนหยัดอยู่ ณ ลานห้างเซ็นทรัลเวิลด์ แต่ก็มีส่วนหนึ่งเคลื่อนไปยังลานหน้าหอศิลปวัฒนธรรม กทม.ก่อนสลายตัว

 แม่น้ำแยกสาย ไผ่แยกกอ

 ถามว่ากลุ่มธรรมยาตราเป็นใคร เหตุใดจึงเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างสูงในการเคลื่อนขบวนของหน้ากากขาวจากแยกราชประสงค์ไปยังหอศิลปวัฒนธรรม กทม.

 กลุ่มธรรมยาตรามาจาก “สนามหลวง”

 หากยาวให้ไกลยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มธรรมยาตราเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องในพื้นที่รอบๆ ปราสาทเขาพระวิหาร จังหวัดศรีสะเกษ

 เกาะติดมากับ “กลุ่มธรรมาธิปไตย” แต่มิใช่พวกเดียวกัน

 เพราะว่ากลุ่มธรรมาธิปไตยมีพวกทหารดาวแดงของกองทัพปลดปล่อยประชาธิปไตยเป็นกำลังหลัก เป็นซากเดนของพคท.เก่า ขณะที่กลุ่มธรรมยาตรานำโดยสานุศิษย์ของ นายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เป็นพคท.แตกแถว

 แม่น้ำแยกสาย ไผ่แยกกอ

 หากกลุ่มหน้ากากขาวมีความสัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวตระเตรียมความคิดจากวิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยรังสิต ก็จำเป็นต้องมีการทบทวนครั้งใหญ่

 ทบทวนว่าขบวนการดำเนินไปอย่างไร

 ดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีแกนนำ ไม่มีผู้นำ หากแต่เติบใหญ่ไปตามสภาพความเป็นจริงอย่างที่มุ่งหวังตั้งไว้อย่างหะรูหะราหรือไม่

 หรือว่าถูก “ธรรมยาตรา” แย่งชิงไปอย่างหน้าตาเฉย

 หากจับบางคำพูดของแกนนำหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ก็ยอมรับออกมาว่า ที่รออยู่ลานหอศิลปวัฒนธรรมเป็นมวลชนของ “หนุมานอาสา”

 แม่น้ำแยกสาย ไผ่แยกกอ

 อุบัติแห่ง “หน้ากากขาว” กับการพลิกฟื้นขึ้นมาอีกหนของ “องค์การพิทักษ์สยาม” น่าติดตาม

 เพราะว่าไม่ว่า “หน้ากากขาว” ไม่ว่า “องค์การพิทักษ์สยาม” เริ่มต้นจากการประกาศจัดตั้ง “กองทัพประชาชน” โดยมีเป้าหมายเพื่อโค่นล้ม “ระบอบทักษิณ” อย่างเป็นด้านหลัก

 แม่น้ำแยกสาย ไผ่แยกกอ

ที่มา: ข่าวสด
[Continue reading...]

ดร.พันศักดิ์ "ไฮสปีดเทรน" ไม่ใช่แค่รถไฟแต่คืออนาคต!

- 0 comments

ดร.พันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาด้านนโยบายของนายกรัฐมนตรี ในฐานะเจ้าของแนวคิดรถไฟความเร็วสูง และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาล เปิดเผยผลการศึกษาและเอกสารสำคัญที่จัดทำขึ้นเพื่ออธิบายให้คนไทยโดยรวมรับรู้ เห็นความสำคัญ และให้การสนับสนุนรัฐบาลการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าว ซึ่งเขาเรียกมันว่า It’s not just a train, it’s a future...มันไม่ใช่แค่รถไฟ แต่มันคืออนาคต!


การลงทุนบนพื้นฐานยุทธศาสตร์หลัก 3 ประการนี้ได้แก่ 1.พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทาง และขนส่งไปสู่ศูนย์กลางของภูมิภาคทั่วประเทศที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านจากการพัฒนาประตูการค้าหลัก และประตูการค้าชายแดนให้เข้ากับโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง และโครงข่ายเชื่อมต่อภูมิภาค รวมถึงการพัฒนาเส้นทางรถไฟสายใหม่เพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านใช้เงินลงทุนรวม 1,042,376.74 ล้านบาท หรือ คิดเป็นวงเงินเท่ากับ 52.12%

2.พัฒนา และปรับปรุงระบบขนส่งเพื่อยกระดับความคล่องตัวด้วยการพัฒนาระบบขนส่งในเขตเมือง โดยเฉพาะระบบรางให้ครอบคลุมพื้นที่บริการในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล มูลค่า 593,801.52 ล้านบาท คิดเป็น 29.69% ของวงเงินลงทุนรวม 3.ปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้าทางถนนสู่การขนส่งที่มีต้นทุนต่ำกว่า ซึ่งต้องใช้วงเงินลงทุน 354,560.73 ล้านบาท หรือ 17.73% จากการปรับปรุงโครงข่ายทางรถไฟที่มีอยู่ให้เป็นโครงข่ายการขนส่งหลักและเส้นทางอื่นที่เชื่อมโยงกับโครงข่ายหลัก ซึ่งต้องดำเนินการควบคู่ไปกับแผนงานสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งประเทศมูลค่า 9,261.01 ล้านบาทหรือ 0.46% ของเงินลงทุนรวม

ภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้ายในเวทีโลก ประเทศไทยควรปรับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจจากการเติบโตโดยการพึ่งพาการส่งออกเป็น การเติบโตโดยสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศกับการส่งออก ฉะนั้น การลงทุนในแนวคิดนี้ จึงเป็นการลงทุนเพื่อสร้างโอกาสใหม่ สร้างรายได้ใหม่ และอนาคตใหม่ที่ดีกว่า

ประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกฯ กล่าวด้วยว่า ลองถามพวกเจ้าสัว นักธุรกิจใหญ่ และแม้แต่ รายเล็กๆในท้องถิ่นดูซิว่า เขาต้องการขยายโอกาสใหม่ทางธุรกิจหรือไม่ ผมไม่คิดว่าจะมีใครปฏิเสธ แม้แต่สื่ออย่างพวกคุณก็คงไม่ปฏิเสธเช่นกันที่สำคัญกว่าก็คือ เมื่อประเทศไทยได้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสำคัญนี้แล้ว มันสามารถต่อเชื่อมกับเพื่อนบ้าน อย่าง ลาว พม่า เวียดนาม จีน และมาเลเซียซึ่งทุกประเทศล้วนแต่เตรียมการลงทุนโครงข่ายรถไฟความ เร็วสูงมาจ่อปากประตูเข้าประเทศไทยแล้ว

รถไฟขบวนนี้มีขนาดความเร็วราว 200-250 กม.ด้วยราง 1.4 เมตร มันไม่ได้ขนส่งแค่ ผักผลไม้ที่คนไทยบริโภคกันปีละ 330,000 ล้านบาทแต่เสียไประหว่างทาง 40% เท่านั้น หากยังขนส่งสินค้าโอทอป สินค้าของท้องถิ่น รวมถึงสินค้าที่เกิดขึ้นจากโรงงานอุตสาหกรรมรายทางที่รถไฟผ่านไปด้วยและการลงทุน 2 ล้านล้านบาทซึ่งทำเพื่อสร้างโอกาส กับอนาคตให้แก่คนไทยทั้งประเทศนี้ ถ้านำไปเทียบกับการลงทุนในกลุ่ม บมจ.ปตท.แค่ปีเดียว ถือว่า น้อยมาก

ถึงเวลาที่จะต้องทำอะไรเพื่อตัวเราเองบ้าง และนี่คือสิ่งที่รัฐบาลจะทำให้แก่ประเทศ และคนไทย...ผมไม่อาจตอบคำถามพวกคุณเรื่องการทุจริตคอรัปชันที่มีผู้หยิบยกมาเป็นข้ออ้างไม่ยอมให้สร้างโครงการนี้ได้ และผมไม่รู้หรอกว่า เราจะบริหารศรัทธาของกลุ่มอำนาจในประเทศนี้ให้เขาพอใจได้อย่างไร แต่สามารถตอบได้ว่า รัฐบาลจะสามารถประสานประโยชน์ และจัดสรรความสุขให้แก่คนไทยลงตัวได้อย่างไร

ภายใต้โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2 ล้านล้านบาท รถไฟความเร็วสูง หรือ ไฮสปีดเทรน” 4 สายทาง ซึ่งถือเป็นโครงการหลักของแผนกลยุทธ์ของรัฐบาลในการสร้างความเจริญสู่ชนบทและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เศรษฐกิจ ในวงเงิน 783,229 ล้านบาท

ประกอบด้วย 1.เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ 679 กิโลเมตร (กม.) วงเงิน 387,821 ล้านบาท โดยเริ่มทำในระยะแรก ช่วง กรุงเทพฯ-พิษณุโลก 2.เส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย 615 กม. ลงทุน 170,450 ล้านบาท เริ่มระยะแรกจากกรุงเทพฯถึงช่วงชุมทางบ้านภาชี-นครราชสีมา ระยะทาง 256 กม.

3.สายกรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์ 982 กม. วงเงิน 124,327 ล้านบาท เริ่มระยะแรกช่วงกรุงเทพฯ-หัวหิน ระยะทาง 225 กม. และ 4. สายตะวันออก ส่วนต่อขยายจากแอร์พอร์ตลิงก์ ไปชลบุรี-พัทยา-ระยอง ระยะทาง 221 กม. วงเงิน 100,631 ล้านบาท โดยทั้งโครงการจะเสร็จสิ้นภายในปี 2565 หรือ 9 ปีข้างหน้า

การลงทุนเพื่อสร้างอนาคต

ทั้งนี้ ภายใต้แนวคิด ไม่ใช่เป็นเพียงรถไฟ แต่คือ โครงกระดูกหลักในการขนส่งสินค้าในภูมิภาค และการสร้างอนาคตในประเทศเราจะได้อะไรบ้างจากโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง? หลักๆตามแนวคิดของนายพันศักดิ์ตามมุมมองข้างต้น ประกอบด้วย

1.การสร้างสมดุลในการขยายตัวของประเทศ ระหว่างรายได้จากการส่งออกและรายได้จากในประเทศ (Balance Growth with Export & Domestic Growth) โดยมีไทยเป็นศูนย์กลางภูมิภาค 2.การลดต้นทุนการขนส่งสินค้า และเพิ่มความเร็วในการคมนาคมและขนส่ง 3.การกระจายความเจริญสู่ชนบท และการท่องเที่ยว

ทั้งนี้ เมื่อสร้างเสร็จทั้งโครงการสถานีรถไฟความเร็วสูงของไทย และเชื่อมต่อโครงข่ายรถไฟความเร็วสูงกับประเทศลาว และจีน ดังนั้น ด้วยสถานีรถไฟหลายร้อยแห่งจากไทยที่จะผ่านลาว จีน และต่อเนื่องไปจนถึงยุโรป จะสร้างเศรษฐกิจภาคพื้นดิน เพิ่มปริมาณการขนส่ง สร้างการค้าตรงระหว่างธุรกิจต่อธุรกิจ และลดปัญหาพ่อค้าคนกลาง

ที่สำคัญ ตำแหน่งที่ตั้งของไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะทำให้เรากลายเป็น ศูนย์กลางด้านการขนส่งและสินค้าเกษตรทั้งในแง่ของผู้ผลิต และผู้ให้บริการด้านการขนส่ง

ต่อเนื่องถึงการสร้างระบบการค้าออนไลน์ของสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (โอทอป) และธุรกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ขณะเดียวกัน การก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงจะช่วยสร้างงาน สร้างธุรกิจ และกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่องไปพร้อมๆกันด้วย

ลดต้นทุนโลจิสติกส์ธุรกิจ

สำหรับประโยชน์ในการลดต้นทุนทางการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ การขนส่งสินค้าด้วยรถไฟฟ้าความเร็วสูง 1 ขบวน จะขนส่งสินค้าได้ 100 ตัน เท่ากับการขนส่งด้วยเครื่องบินโบอิ้ง 747 จำนวน 1 ลำ หรือเครื่องบินแอร์บัส 310 จำนวน 3 ลำ และเทียบได้กับการขนส่งด้วยรถบรรทุก 200 คันทีเดียว

นอกจากนั้น ระบบรถไฟความเร็วสูงจะช่วยเพิ่มการขนส่งสินค้าผ่านทางรถไฟเพิ่มขึ้น จาก 2.29% ในขณะนี้ เป็น 80% ของการขนส่งรวมในระยะต่อไป ซึ่งจะช่วยประหยัดการบริโภคน้ำมันได้ 35% ของปริมาณการบริโภคน้ำมันทั้งหมดต่อปี ซึ่งจะสามารถประหยัดเม็ดเงินในการนำเข้าน้ำมันได้ถึง 400,000 ล้านบาทต่อปี

สำหรับการลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ ซึ่งประกอบด้วยต้นทุนด้านการเก็บรักษาสินค้าคงคลัง ต้นทุนด้านการขนส่ง และต้นทุนด้านบริหารจัดการนั้น การใช้ระบบรถไฟความเร็วสูงจะช่วยรักษาเวลาในการขนส่งให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้การบริหารจัดการทำได้ดีขึ้น เวลาในการขนส่งลดลง และต้นทุนในการจัดเก็บรักษาสินค้าคงคลังของไทยจะเหลือ 0% ในภาคอุตสาหกรรม

ทั้งหมดนี้จะช่วยลดต้นทุนของระบบโลจิสติกส์ไทยในอนาคตได้ถึง 720,000 ล้านบาทต่อปี

นอกจากนั้น ในระดับประชาชน รถไฟความเร็วสูงจะเป็นทางเลือกใน การเดินทางในประเทศ ที่มีความสะดวกสบายมากขึ้น ใช้เวลารวดเร็วมากขึ้น ซึ่งสามารถเทียบเคียงการเดินทางได้ในระดับเดียวกับการโดยสารเครื่องบิน

เพิ่มรายได้สร้างธุรกิจเสริมท่องเที่ยว

นอกเหนือจากการลดต้นทุนแล้ว ประโยชน์ที่มากกว่าคือ การเพิ่มรายได้ ส่งเสริมการท่องเที่ยวตามรายทาง และกระจายความเจริญสู่ชนบท ทั้งนี้ ด้วยศักยภาพของรถไฟความเร็วสูงของไทยจะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการผลิต การส่งออก และการท่องเที่ยวในภูมิภาค
โดยรถไฟความเร็วสูงจะทำให้ เมืองทางผ่านกลายเป็นเมืองท่องเที่ยว ตามเส้นทางรถไฟความเร็วสูง และยังจะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับ หรือค้าง 1-2 คืนเพิ่มขึ้น เนื่องจากเราสามารถใช้เวลาที่เร็วขึ้นมาในการเดินทางท่องเที่ยว

ควบคู่กับนักท่องเที่ยว ยอดการค้าขาย และการบริการ รวมทั้งย่านธุรกิจ จะขยายตัวเพิ่มขึ้นในเมืองรายทางตามเส้นทางรถไฟความเร็วสูง ขณะที่การขนส่งสินค้าที่ใช้เวลาที่รวดเร็วยังช่วยลดความเสียหายของสินค้าเกษตร ซึ่งจะเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรไทยเพิ่มมากขึ้น เพราะที่ผ่านมานั้น อัตราการเน่าเสียของผัก-ผลไม้ที่ขนส่งด้วยรถบรรทุกมีอัตราการเน่าเสีย 17-35% ขณะเดียวกัน ความสะดวกในการเดินทางจะช่วยสร้างเขตอุตสาหกรรมใหม่ๆในชนบทให้เกิดขึ้นได้ตามแนวเส้นทาง

นอกจากนั้น ความรวดเร็วในการขนส่งสินค้าด้วยรถไฟความเร็วสูงจะช่วยให้ธุรกิจเอสเอ็มอี และผู้ผลิตสินค้าโอทอปของไทย สร้างธุรกิจของตัวเองด้วยการ ขายตรงระหว่างธุรกิจต่อธุรกิจได้ ด้วยระบบการขนส่งสินค้าจำนวนมากๆที่ทำได้เองโดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง ผ่านระบบไปรษณีย์ หรือบริการรถไฟความเร็วสูงที่สามารถกำหนดเวลาการขนส่งได้ตรงเวลา ต่อเนื่องไปจนถึงการซื้อขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ กับธุรกิจในต่างประเทศ

ทั้งนี้ ในแนวคิดการตกแต่งภายในรถไฟความเร็วสูงในทุกขบวนของไทย จะตกแต่งบุเบาะรถไฟ ใช้ม่านไม้ไผ่ ใช้วัสดุในการปูพื้นและตกแต่งรถไฟทั้งหมดด้วยสินค้าที่ผลิตในประเทศ สินค้าโอทอป และใช้ช่างฝีมือท้องถิ่นของไทยทั้งหมดด้วย รวมทั้งเปิดให้มีการประมูลนำสินค้าชั้นนำของประเทศมาขายในรถไฟด้วย

การลงทุนรถไฟความเร็วสูงจะช่วยเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ส่งผลให้รายได้ประชาชาติเพิ่มขึ้น ขยายฐานภาษีและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่ออนาคตของประเทศไทยที่ดีขึ้น”.


ทีมเศรษฐกิจ นสพ.ไทยรัฐ
[Continue reading...]

อย่า ชะล่าใจ ?

- 0 comments

การออกมาให้ข่าวของพรรคประชาธิปัตย์ แม้ว่าดูแล้วจะพูดเรื่องเดิม ๆ ซ้ำ กันตลอด เหมือน "ผีเจาะปาก" แต่ก็แฝงเร้นไว้ซึ่งเป้าหมายสำคัญ

โดยเฉพาะเรื่อง พรบ.นิรโทษฯ ซึ่งทางประชาธิปัตย์เอง แสดงท่าทีว่าจะหนุน พรบ นิรโทษฯ ฉบับ ประชาชน ซึ่งขับเคลื่อน โดยแม่น้องเกด หรือ เรียกว่า พรบ.ฉบับญาติ วีระชน บางวันก็บอกว่าพร้อมหนุน บางวันบอกปัด สำหรับ ในวันนี้ 23 ก.ค. 56 ครั้งแรกมีข่าวว่า ประชาธิปัตย์ ก็มี พรบ. นิรโทษ ซึ่งสอดคล้องกับ ฉบับประชาชน เสนอโดย นายอลงกรณ์

เป้าหมายของการออกมาสนับสนุน พรบ.ฉบับประชาชน เพราะใน พรบฉบับนี้ไม่ได้กล่าวถึงการนิรโทษ ทหารระดับปฏิบัติการ แต่เป้าหมายจริง ๆ ของประชาธิปัตย์ คือการกล่าวอ้างมาตลอดว่า ในช่วงการล้อมปราบประชาชนในปี 53 นั้น มีกองกำลังไม่ทราบฝ่าย และชายชุดดำ (บทความจาก นสพ.ผู้จัดการ อ้างถึงกองกำลังไม่ทราบ่ายเป็นของคนเสื้อแดง)

และอีกเป้าหมาย เพื่อต้องการ ยื้อเวลา ไม่ให้ พรบ.นิรโทษ ฯ ฉบับ นายวรชัย เหมะ ผ่านการพิจารณาได้  ซึ่งเป็นข้ออ้าง ที่จะให้พิารณา พรบ. ฉบับอื่นที่เสนอเข้ามา อาจจะให้รวม หรือ พิจารณา ตกลงจะใช้ฉบับไหน

ถ้าสภาใช้ ฉบับของ วรชัย เหมะ  นี่คือการหวังผลถึงการไม่พอใจของ กลุ่ม ที่เสนอ พรบ. ฉบับประชาชนเข้ามา ประชาธิปัตย์ ต้องการเห็นการแตกแยกในกลุ่ม เสื้อแดง เพื่อไทย รัฐบาล

ถ้าหาก สภา ไม่ถอน พรบ.ฉบับอื่น ออก ประชาธิปัตย์ก็จะใช้เป็นข้ออ้างในการตีรวน และชี้ให้เห็นว่าฝ่ายรัฐบาลขาดความจริงใจในการนิรโทษฯ

การตีรวนของประชาธิปัตย์ เพื่อหวังผล ถ่วงเวลา ในการพิจารณา พรบ.งบประมาณ การโหวตแก้รัฐธรรมนูญ และ พรบ.ฉบับอื่น ๆ ที่จ่อคิวในการเข้าพิารณา

การตีรวนของประชาธิปัตย์ในสภา เป็นข้ออ้างให้กลุ่มมวลชนที่ประกาศ มาชุมนุมคัดค้าน ให้มีความชอบธรรมยิ่งขึ้น

อย่าลืมว่าการโหมออกมาให้ข่าวเรื่อง "จำนำข้าว" ในครั้งเลือกตั้งซ่อม เขตดอนเมือง ประชาธิปัตย์ ก็ทำสำเร็จมาแล้ว

คนเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย และรัฐบาล จะต้องไม่ตกเข้าแผน  "Killing Zone"  ที่ประชาธิปัตย์วางไว้

คนเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย และรัฐบาล ล้วนแต่เป็นมิตร ที่จะแยกกันไม่ได้

"รวมกันเราอยู่ แยกกันเราตาย"

[Continue reading...]

บอกบุญ..นิรโทษ คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 : หนังสือพิมพ์มติชน

- 0 comments


คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12  : หนังสือพิมพ์มติชน นำเสนอหัวข้อ บอกบุญ..นิรโทษ โดยกล่าวถึง ม็อบแช่แข็งประเทศไทยเริ่มนัดหมายขับไล่รัฐบาลอีก  ความเคลื่อนไหวดังกล่าว มี พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ อดีตรอง ผบ.สส. ในฐานะประธานกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) จัดแถลงใช้ชื่องานว่า "กองทัพประชาชน โค่นระบอบทักษิณ เปิดตัว คณะเสนาธิการร่วมและกำหนดจังหวะก้าวโค่นระบอบทักษิณ"

[Continue reading...]
 
Copyright © . Yak Ratchaprasong - Posts · Comments
Theme Template by BTDesigner · Powered by Blogger