Monday, August 12, 2013

ใครจะตก...รถไฟ แห่งความปรองดอง

- 0 comments
ไม่ว่าการเปิดเวที "สภาปฏิรูปการเมือง" ไม่ว่าการเปิดเวที "ผนึกกำลังสู่อนาคต:เรียนรู้จากประสบการณ์ของกันและกัน"

ดำเนินไปในลักษณะเป็น "แพคเกจ"

สภาปฏิรูปการเมืองอาจมี นายบรรหาร ศิลปอาชา อาจมี นายพิชัย รัตตกุล อาจมี นายกระมล ทองธรรมชาติ อาจมี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อาจมี นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ และอาจมี นายอุกฤษ มงคลนาวิน

เป็นตัว "ชูโรง"

ขณะที่เวที "ผนึกกำลังสู่อนาคต" ปรากฏนาม นายโคฟี อันนัน ปรากฏนาม นายโทนี แบลร์ รวมถึง นายมาร์ติ อาห์ติชาร์

มาเป็นจุด "เรียกแขก"

ทั้งหมดอาจมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นผู้นำเสนอ เปิดประเด็น และส่วน 1 มี นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ขับเคลื่อนประสานกับ นายวราเทพ รัตนากร ส่วน 1 มี นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เป็นผู้ขับเคลื่อน

แต่เป้าหมายเดียวกัน คือปรองดอง

ข่าวเกี่ยวกับ "สภาปฏิรูปการเมือง" ปรากฏขึ้นในห้วงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางเยือนหลายประเทศในแอฟริกา

คล้ายกับดำเนินไปในลักษณะ "วาบความคิด"

กระนั้น หากพิจารณาประสานกับโครงการ "ผนึกกำลังสู่อนาคต:เรียนรู้จากประสบการณ์ของกันและกัน" สะท้อนให้เห็นอย่างเด่นชัด

เด่นชัดว่ามิได้เป็นเรื่อง "บังเอิญ"

ตรงกันข้าม นี่ย่อมเป็นการต่อยอดมาจากผลงานการวิจัยของสถาบันพระปกเกล้า ผนวกเข้ากับการจัดเวทีเสวนาซึ่งสำนักนายกรัฐมนตรีทำร่วมกับกระทรวงมหาดไทยในขอบเขตทั่วประเทศตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา

จึงตกผลึกออกมาเป็น 2 โครงการใหญ่

โครงการ 1 เป็นเรื่องของการเรียนรู้ประสบการณ์และความจัดเจนจากต่างประเทศ โครงการ 1 เป็นเรื่องของการเรียนรู้ประสบการณ์ของภายในประเทศ

โคฟี อันนัน ย่อมมีประสบการณ์ในฐานะเลขาธิการสหประชาชาติ

โทนี แบลร์ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เป็นหัวหน้าพรรคแรงงาน ย่อมซึมซับกรณีการสร้างสันติสุขไม่ว่ากับไออาร์เอ ไม่ว่ากับสกอตแลนด์ ไม่ว่ากับเวลส์ ยิ่ง มาร์ติ อาห์ติชาร์ ประธานาธิบดีฟินแลนด์ ยิ่งอุดมสมบูรณ์

เหมาะสมยิ่งที่จะล้างหู น้อมรับฟัง

หากมองผ่านวาทกรรมของ นายพิชัย รัตตกุล หากมองผ่านวาทกรรมของ บรรหาร ศิลปอาชา ก็ย่อมเกิดความเข้าใจ

ท่านเหล่านี้เห็นด้วยกับ "สภาปฏิรูปการเมือง" จากฐานคิดใด

"ท่าทีของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ผมไม่ถือสา ไม่โกรธอะไร" เป็นความเห็นจาก นายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

"เมื่อเขามีอายุมากขึ้นจะรู้ว่าในฐานะคนไทยคนหนึ่งควรทำอะไร"

เป็นการคิดบนพื้นฐานของคนไทยคนหนึ่ง เป็นการคิดบนพื้นฐานของคนที่เคยเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรี เคยเป็นนายกรัฐมนตรี

เพราะคิดอย่างนี้แหละ นายบรรหาร ศิลปอาชา จึงเข้าร่วม

เพราะคิดอย่างนี้แหละ นายกระมล ทองธรรมชาติ จึงเข้าร่วม

เช่นเดียวกับความรู้สึกของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ยอมรับว่า "ฝันที่จะให้เกิดความปรองดองมานานแล้ว"

หรือที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยืนยัน แม้ได้เพียง 1% ก็พอใจ

สะท้อนให้เห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มิได้ตั้งเป้าถึงระดับ 100% อาจเพราะประเมินว่าเพียงเริ่มต้นคิด เริ่มต้นลงมือกระทำ ก็น่าจะเป็นเรื่องดี

ดีกับประเทศ ดีกับบ้านเมือง

จากนี้จึงเห็นเด่นชัดมากยิ่งขึ้นว่า อะไรคือความต้องการร่วมในลักษณะแห่ง "สมารมณ์" ทางแนวคิด

1 คือการคิดให้พ้นจากประโยชน์ส่วนตน 1 คือการคิดให้พ้นจากประโยชน์ของกลุ่มของพรรค ของฝ่าย 1 คือการละวางหัวโขนอันเป็นอัตตาฝังแน่น

เพียง "วางดาบ" ก็ถึง "ฟากฝั่ง"
[Continue reading...]

แก้รัฐธรรมนูญ...คือคำตอบสุดท้าย

- 0 comments

วันนี้แม้กฎหมายจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภาฯ ในชั้นคณะกรรมาธิการแล้วก็ตาม

เรื่องราวการเมืองก็ยังไม่จบ โดยเฉพาะพรรคฝ่ายค้านจองคิวยื้อร่างกฎหมายกันเต็มพิกัด

ประกาศเงื่อนไขหากแพ้โหวตวาระ 3 “เตรียมลงถนน

ควบคู่ไปกับปีกม็อบขวางนิรโทษ ที่สวนลุมพินี แม้จะขยับไม่ออก ฟืนเปียกม็อบฝ่อน้ำเลี้ยงพร่อง แต่แกนนำองค์การพิทักษ์สยาม กองทัพประชาชนฯ จัดการปรับขบวนทัพกันใหม่และปักหลักตรึงมวลชนไว้

สุมฟืนเลี้ยงไฟไว้รอเงื่อนไขปะทุแตกหักกันอีกรอบ

ในสถานการณ์ที่รัฐบาล นายกฯปูน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เครือข่ายอำนาจ นายใหญ่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หายใจหายคอกันโล่ง แก้เงื่อนปมม็อบต้านไปได้อีกเปลาะ พร้อมเดินหมาก ปรองดองจุดพลุ สภาปฏิรูปการเมือง

ส่งดีลเมกเกอร์ “2 เทพพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกฯ วราเทพ รัตนากรรมต. ประจำสำนักนายกฯ และ รมช.เกษตรฯ ตะลอนประสานส่งเทียบเชิญตามบัญชี บิ๊กเนมที่เซ็ตไว้
ส่วนฝ่ายต้านที่ยังรีรอ หรือเซย์โนอย่างเดียว ตามพิมพ์เขียวขบวนรถไฟ สายปรองดองขบวนนี้
จุดหมายปลายทางจะ ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง
นอกจากนี้การเดินยุทธการดึงบุคคลสำคัญระดับโลก ทั้งอดีตนายกฯอังกฤษ อดีตเลขาธิการยูเอ็น ตามยุทธศาสตร์ ดึงโลกล้อมประเทศขณะที่เวทีปรองดองยังถูกจับตาจะเป็นแค่

เกมหลอกเล่นปาหี่ทางการเมืองหรือไม่ แต่ทีมยุทธศาสตร์ฝ่ายรัฐบาล เบื้องหลังเกมปรองดองไม่สน

เพียงทำให้เข้าเป้าหมาย ดึงแนวร่วมให้มากที่สุดตามเกมบีบ

โยนแรงกดดันให้ฝ่ายตรงข้าม โดดเดี่ยวประชาธิปัตย์

ที่แน่ๆเกมนี้ นายกฯปูยังได้ ภาพเป็นผู้นำที่ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาวิกฤติของประเทศและช่วยเบี่ยงกระแสม็อบต้านรัฐบาลได้พอสมควร รวมทั้งจะช่วยลดอุณหภูมิร้อนในโปรแกรมถัดไป

ทั้งร่าง พ.ร.บ.งบฯปี 2557 จะพิจารณาวาระ 2-3 วันที่ 14-15 ส.ค.นี้ รวมทั้งงบฯเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท

ลากโหมกระแสปรองดอง สู้แรงต้านแรงยื้อ กฎหมายเงิน

แต่ทั้งหมดทั้งปวง ก็ต้องจับตาเหตุแทรกซ้อน กับชนักจาก การบริหารงานที่ถูกยื่นร้องเรียนอยู่ในองค์กรอิสระ องค์กรตรวจสอบ ต่างๆ อีกหลายประเด็น รวมทั้งร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท

หลายปมหลายประเด็น รอเพียง ความผิดสำเร็จ

ต้องออกแรงดัน สู้แรงยื้อกันอีกหลายยก

เอาเป็นว่า นับตั้งแต่นี้จนถึงเดือน ก.ย. ต้องจับตาว่าหลายเรื่องร้อนจะประดังกันเข้ามาจนอาจเป็นช่วงไคลแม็กซ์ ซีรีส์ ศึกชิงอำนาจประเทศไทย

ส่วน สภาปฏิรูปการเมืองเวทีปรองดองตามที่นายวราเทพระบุ น่าจะเป็น เกมยาว

วางกรอบเวลาของคณะทำงานปฏิรูปการเมือง ราวๆ 1 ปี

และที่เริ่มชัดคือ โรดแม็ปปรองดอง หลังจากได้ข้อสรุปน่าจะเดินไปสู่การปรับโครงสร้างประเทศไทย

รื้อใหญ่ ยกเครื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ
สำทับเป้าหมาย พลุปฏิรูปการเมืองจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่โพสต์ในเฟซบุ๊ก ระบุว่า การพัฒนาของประเทศไทย มีศักยภาพสูง แต่มีปัญหาความขัดแย้ง ความอิจฉากัน ทำให้ขาดพลังในการสร้างความเจริญแข่งกับโลก

รวมทั้งมีองค์กรอิสระที่สร้างขึ้นจากจุดเริ่มต้นที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ทำให้การพัฒนาประเทศช้า

การที่นายกฯเชิญชวนทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน ออกแบบกติกาการอยู่ร่วมกันใหม่ เพื่อให้เกิดรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย

นายใหญ่ตีธงส่งสัญญาณ ปลายทางของเวทีถกปฏิรูปการเมืองก็คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ

 รื้อใหญ่โครงสร้างประเทศ เปิดประตูกลับบ้าน.

ที่มา :ไทยรัฐ
[Continue reading...]

คนดังแห่สมัครตุลาการศาลรธน.แทน “วสันต์”

- 0 comments
เผยมีผู้สมัครแล้วทั้งสิ้น 6 ราย แทน นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ที่ลาออกไป ระบุวันที่ 13 ส.ค.รับสมัครเป็นวันสุดท้าย ก่อนคณะกรรมการสรรหาฯ จะนัดประชุมเพื่อลงมติในวันที่ 29 ส.ค.นี้

เมื่อวันที่ 12 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า ตามที่คณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีนายไพโรจน์ วายุภาพ ประธานศาลฎีกา เป็นประธานฯ ได้เปิดรับสมัครผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญประเภทผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ แทนนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ที่ได้ลาออกเมื่อวันที่ 1 ส.ค. ระหว่างวันที่ 6-13 ส.ค.นั้น จนถึงขณะนี้มีผู้มาสมัครเข้ารับการสรรหาแล้ว รวมจำนวน 6 ราย ได้แก่ นายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา อายุ 63 ปี  ,นายพรเพชร วิชิตชลชัย ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา อายุ 65 ปี นายถาวร พานิชพันธ์ รองอัยการสูงสุด อายุ 63 ปี  และนายบรรเจิดสิงคะเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์  สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ อายุ 49 ปี  นางศุภลักษณ์ พินิจภูวดล ศาสตราจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อายุ 60 ปี นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ ศาสตราจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์  อายุ 55 ปี

ทั้งนี้การเปิดรับสมัครในเวลาราชการจนถึงวันที่ 13 ส.ค.โดยไม่เว้นวันหยุดราชการ ณ บริเวณห้องโถงชั้น 1 อาคารรัฐสภา 2 และคณะกรรมการสรรหาฯจะนัดประชุมเพื่อลงมติคัดเลือกผู้สมัครให้เหลือ 1 รายในวันที่ 29 ส.ค. ก่อนที่จะส่งให้ที่ประชุมวุฒิสภาคัดเลือกเพื่อเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต่อไป

ที่มา : เดลินิวส์
[Continue reading...]

เตือนพายุไต้ฝุ่นอูตอร์ อีสาน-ตอ.-ใต้ฝนยังตกหนัก

- 0 comments
ไต้ฝุ่นอูตอร์มีศูนย์กลางอยู่ที่ทะเลจีนใต้ ขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ทำให้ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคอีสาน ตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก

เมื่อเวลา 01.00 น. วันนี้ (13 ส.ค.56) พายุไต้ฝุ่น “อูตอร์” (UTOR) มีศูนย์กลางอยู่บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน หรือที่ละติจูด 18.0 องศาเหนือ ลองจิจูด 116.5 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 140 กม./ชม. พายุนี้กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกค่อนทางเหนือด้วยความเร็วประมาณ 25 กม./ชม. คาดว่าจะเคลื่อนตัวเข้าใกล้เกาะไหหลำ ประเทศจีน ในวันที่ 14 สิงหาคมนี้ สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปประเทศจีนตอนใต้ขอให้ตรวจสอบสภาพอากาศก่อนเดินทางด้วย

อนึ่ง มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออกและภาคใต้ฝั่งตะวันตก ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ส่วนคลื่นลมในทะเลอันดามันสูง ประมาณ 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณดังกล่าวเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือในระยะนี้
 
พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้. 
ภาคเหนือ  มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ บริเวณจังหวัดตาก อุตรดิตถ์ กำแพงเพชร พิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์
อุณหภูมิต่ำสุด 22-23 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 29-32 องศาเซลเซียส
ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-30 กม./ชม. 

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
บริเวณจังหวัดหนองคาย อุดรธานี ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์
และอุบลราชธานี
อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-32 องศาเซลเซียส
ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-30 กม./ชม. 

ภาคกลาง  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดกาญจนบุรี อุทัยธานี นครสวรรค์และลพบุรี
อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. 

ภาคตะวันออก  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
บริเวณจังหวัดจันทบุรี และตราด
อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร 

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)  มีเมฆมากกับมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร 

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)  มีเมฆมากกับมีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล
อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร 

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล  มีเมฆมาก โอกาสมีฝนตก ร้อยละ 60 ส่วนมากในช่วงบ่ายถึงค่ำ
อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. 

ที่มา : เดลินิวส์
[Continue reading...]

รถเมล์ไม่มี 2 มาตรฐาน "รัฐมนตรี" นั่งรถก็ยังเสีย

- 0 comments
วันนี้มาลองนั่งรถเมล์ A1 จากจตุจักรไปดอนเมืองครับ พอนั่งมาถึงมหาวิทยาลัยเกษตร ปรากฎว่ารถเสียครับ ต้องเปลี่ยนรถ กับเพื่อนผู้โดยสารท่านอื่น

นี่เป็นสิ่งยืนยันว่ารถเมล์ไม่มีสองมาตรฐานครับ มีเพียงมาตรฐานเดียวสำหรับพวกเราทุกคน 55555

รถเมล์สาย A1 มีจากท่าอากาศยานดอนเมือง ไป BTS หมอชิตครับ ราคาค่าตั๋ว 30 บาทตลอดสาย ลงเครื่องที่ดอนเมืองออกมาที่ประตู 6 รถเมล์จอดเทียบชานชาลาเลยครับ มีรถออกทุกๆ 15 นาที สะดวกดีครับ 

ส่วนจากสถานี BTS หมอชิต/ MRT จตุจักร มาดอนเมือง ท่านลงจาก BTS มาตรงทางออกที่ 3 มารอที่ป้ายรถเมล์ตรงสวนจตุจักรได้เลยครับ

ผมหาโอกาสนั่งรถเมล์บ่อยๆ เพราะตระหนักว่ารถเมล์ สามารถรองรับผู้โดยสารได้มาก และในแต่ละวันมีพี่น้องในกรุงเทพหลายล้านคนที่ใช้รถเมล์ในการเดินทาง หากค่อยๆ ปรับปรุงรถเมล์ให้ดีขึ้นได้ พี่น้องประชาชนก็จะได้ประโยชน์ครับ

อย่าลืมให้ข้อเสนอแนะเรื่องรถเมล์ ที่โพสท์ก่อนหน้าในเพจของผมด้วยนะครับ ทีมงานผมจะได้รวมรวบข้อเสนอแนะมานำเสนอให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ และดำเนินการแก้ไขต่อไปครับ


เสนอแนะ ให้ปรับปรุงรถเมล์ ไปที่เพจของ รัฐมนตรี ชัชชาติสิทธิพันธุ์
ที่มา : ชัชชาติ สิทธิพันธุ์
[Continue reading...]

เมื่อสุเทพ จะเป่า “นกหวีด” ยาว....

- 0 comments
ก็ปลอบโยน-ให้กำลังใจกันไป

กองทัพประชาชนเพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณ รวมทั้งพ่อยกแม่ยกพากันดีใจออกนอกหน้า พร้อมกับความมั่นใจว่า งานนี้ "ยืดเยื้อ" แน่

เมื่อ ปรากฏคนของ "สันติอโศก" มาตั้งโรงครัวเลี้ยงม็อบ

ได้เสบียงกรังแล้ว ก็หวังว่า คงมีเรี่ยวมีแรง ขบคิดกันต่อไปว่า จะทำอย่างไร จึงจะมี "กองทัพประชาชน" จริงๆ

มิใช่แค่ระดับ "กองหลอน" อย่างที่เห็นๆ กัน

เช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์

เห็น ส.ส.ในพรรคชื่นชมกันเองว่านี่ขนาดฉุกละหุก ยังสามารถระดมคนมาส่ง ส.ส.ประชาธิปัตย์เข้าสภาได้ร่วม "หมื่น"

จะหมื่นจริงหรือหมื่น "ปลอบใจ" ก็ถือว่าผ่านไปแล้ว

แต่สิ่งที่รออยู่ข้างหน้าสำคัญกว่า

นั่นก็คือ หากมีการเป่านกหวีดยาวจริงๆ หลัง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ผ่านวาระ 3 พรรคประชาธิปัตย์จะสามารถระดม "มวลชน" ออกมาเผด็จศึกได้จริงตามที่คุยไว้หรือไม่

ลำพังจะไปพึ่งพิง "กองทัพประชาชนเพื่อโค่นล้มทักษิณ" อย่างเดียว ตอนนี้ก็ได้พิสูจน์ไปแล้วว่า "ความฝัน" กับ "ความจริง" ต่างกัน

แค่จะให้คนไปร่วมส่ง ส.ส.ประชาธิปัตย์ เข้าสภา เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม "กองทัพประชาชน" ก็ยังไม่สามารถแสดงศักยภาพให้เห็นได้

จะฝากผีฝากไข้คงลำบาก

งานนี้ประชาธิปัตย์ต้องลุยเอง

ซึ่งก็คงต้องออกแรงหนักมากๆ และที่สำคัญเท่าที่จำได้ ในการเคลื่อนไหวบนท้องถนนของประเทศไทย

ไม่เคยมีพรรคการเมืองไหนนำมวลชนประท้วงแล้วได้รับชัยชนะ

จะบอกว่าก็พรรคเพื่อไทยไง

ไม่ใช่เลย พรรคเพื่อไทยแม้จะเล่นบท 2 ขา คือ ขับเคลื่อนในสภา และเคลื่อนในท้องถนน

แต่เพื่อไทยไม่ได้นำม็อบ แกนนำ "นปช." ต่างหากที่นำและเขามีมวลชนเสื้อแดงของตัวเองอยู่แล้ว เพื่อไทยเพียงเข้าไปหนุน

ตรงกันข้ามกับประชาธิปัตย์ที่เดิมอาจจะมีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและคนเสื้อเหลืองเป็นแนวร่วม แต่ตอนนี้เขาก็วางเฉย

จะไปพึ่งกองทัพประชาชน ก็อย่างที่รู้ อย่างที่เห็น

ดังนั้น เที่ยวนี้ถ้าจะสู้บนท้องถนนจริง พรรคประชาธิปัตย์จะต้องจัดม็อบเอง

ซึ่งก็ต้องพิสูจน์สิ่งที่คุยไว้ละว่า ส.ส./ส.ก./ส.ข. ที่มีมวลชนของตัวเองหลายพันหลายหมื่น จะเอาคนออกมาได้จริงหรือไม่

และพรรคประชาธิปัตย์ต้องไม่ลืม "บทเรียนสำคัญ" ที่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ อย่างเด็ดขาด

นั่นก็คือ พรรคเพื่อไทย แม้จะเคลื่อนในสภาและบนท้องถนน ที่พรรคประชาธิปัตย์ไปก๊อบปี้มาใช้นั้น

เอาเข้าจริงผลที่ได้คือ ความพ่ายแพ้!

ม็อบคนเสื้อแดงถูกปราบ ถูกฆ่า และต้องสลายการชุมนุมในที่สุด

รัฐบาลประชาธิปัตย์ภายใต้การสนับสนุนของกองทัพ คือ "ผู้ชนะ" ต่างหาก

แต่ได้ "ชัยชนะ" แล้ว พรรคประชาธิปัตย์ "ชนะ" ไม่สุดเอง

ไปพ่ายแพ้แก่พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงใน "สนามการเลือกตั้ง"

นั่นเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่และเป็นจุดแข็งสำคัญของพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง ส่วนพรรคประชาธิปัตย์แก้จุดอ่อนที่ทำให้พ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้ง แม้กระทั่งมาถึงวันนี้ก็ยังแก้ไม่ได้

จึงต้องเตือนใจตนเองเอาไว้ให้ดี

เตือนใจว่า ชัยชนะของพรรคเพื่อไทยคือ "การเลือกตั้ง" ไม่ใช่ "ม็อบบนถนน"

และที่ผ่านมา ประวัติศาสตร์การเมืองไทยยังไม่มีพรรคการเมืองไหนได้ชัยชนะจากยุทธวิธี "พรรคการเมืองนำ มวลชนตาม"

หรือประชาธิปัตย์จะแสดงให้เห็น

ก็ตามสบาย

แต่ถ้าเหนื่อยนักจะคิดถึงคำพูดติดปากของ "ป๋า" เปรม ติณสูลานนท์ บ้างก็ไม่ว่ากัน

"กลับบ้านเถอะลูก"
[Continue reading...]

สังคมรุมโห่ฮา ถึงขั้นไล่ตะเพิด กสม. ยุค “อัมรา” ณ ศอฉ.

- 0 comments
ขนาดศาลแพ่งชี้เผาเซ็นทรัลเวิลด์ไม่ใช่ก่อการร้าย ศาลเยาวชนฯ ยกฟ้องจำเลยเผาห้าง ศาลอาญาชี้(แล้ว) 12 ศพเสียชีวิตด้วยฝีมือ เจ้าหน้าที่ ชี้คดี 6 ศพวัดปทุมฯไม่มีเขม่าดินปืน ไม่มียิงต่อสู้ ไม่มีคนชุดดำ ล่าสุดศาลอุทธรณ์ยกฟ้องจำเลยยิงกระทรวงกลาโหม กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ยุค อมรา พงศาพิชญ์ ก็ยังคลอด รายงานผลตรวจสอบการชุมนุมของกลุ่มนปช.ระหว่างมี.ค.-พ.ค. 2553 ออกมา ราวกับเพิ่งกลับจาก ศอฉ. ในราบ 11

กสม. ยุคนี้กลายเป็น องค์กรอิสระ ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เสียหายติดอันดับต้นๆ มาตลอดยุคสมัย เวลานี้ทุกแวดวงสังคมรุมโห่ฮา ถึงขั้นไล่ตะเพิด จะมีก็แต่พรรคประชาธิปัตย์ ส.ว.ลากตั้ง นักวิชาการกับสื่อในเครือ ยกนิ้ว ปรบมือชื่นชม
 

นักการเมือง พรรคการเมือง อย่าง "ประชาธิปัตย์" ที่กำลังหัวชนฝา เท้าราน้ำ น่าจะฟังประโยคทอง ของนายประเวศ วะสี "ต้องแยกเรื่องการปรองดองและการปฏิรูปการเมืองเป็นคนละเรื่อง" "ปรองดองเป็นเรื่องแก้ไขอดีต ปฏิรูปการเมืองเป็นเรื่องสร้างอนาคต"
 
ที่มา : ข่าวสด
[Continue reading...]

ปชป.เมิน "บิ๊กจิ๋ว"ร่วมวงปฏิรูปการเมือง ท้าให้โดดเดี่ยวพรรคประชาธิปัตย์ ชี้ ปรองดองต้องมีทุกฝ่าย

- 0 comments

วันที่ 12 ส.ค. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ตอบรับเข้าร่วมปฏิรูปการเมืองกับรัฐบาลว่า พล.อ.ชวลิต ก็เข้าร่วมทุกวง ไม่ว่าวงไหนใครจัดขึ้น ซึ่งเป็นสิทธิ์ของ พล.อ.ชวลิต ที่จะเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการปฏิรูปการเมืองกับรัฐบาลได้ แต่ตนเห็นว่าการเชิญบุคคลต่างๆ เข้าร่วมนั้นไม่ใช่ทางออกของการแก้ไขปัญหาที่เคยมีการคุยไว้ก่อนหน้านี้ เพราะทางออกของประเทศมีการศึกษาและทำเป็นรายงานออกมาหมดแล้ว เช่น รายงานของสถาบันพระปกเกล้า และคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีข้อเท็จจริงของความขัดแย้งเพียงอย่างเดียว จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
"การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เสนอแนวคิดปฏิรูปการเมืองขึ้นมานั้นก็ไม่ใช่ความคิดของตัวเอง แต่เป็นความคิดของคนอื่นที่ยัดเยียดให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และหากทุกฝ่ายเข้าร่วมปฏิรูปการเมืองแล้ว จะโดดเดี่ยวพรรคประชาธิปัตย์ก็เชิญทำได้ทันที แต่ตนขอมีข้อสังเกตว่าการที่จะปรองดองต้องมีทุกฝ่ายเข้าร่วมด้วย" ส.ส.พัทลุง กล่าว.
ที่มา :ไทยรัฐ
[Continue reading...]

“นิคม” เมิน40ส.ว.ตั้งแง่ปรองดองซัดเป็นฝ่ายค้านในวุฒิอยู่แล้ว

- 0 comments
เมื่อวันที่ 12 ส.ค. นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา กล่าวถึงกรณีกลุ่ม 40 ส.ว. ประกาศชัดว่าไม่เข้าร่วมเวทีปฏิรูปประเทศเพื่อสร้างความปรองดองในชาติว่า ไม่ร่วมก็ไม่ร่วม ไม่เป็นไร เพราะการเคลื่อนไหวที่ผ่านมาเป็นแนวทางเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ เป็นฝ่ายค้านในวุฒิสภาอยู่แล้ว สังคมจะได้รู้ว่ามีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่ไม่อยากให้เกิดความปรองดอง ตนในฐานะประธานวุฒิสภา เมื่อเขาเชิญมาต้องแสดงวุฒิภาวะความเป็นผู้ใหญ่ ต้องร่วมกันหาทางออกให้ประเทศ ซึ่งในการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา (วิปวุฒิสภา) วันที่ 14 ส.ค.นี้ จะแจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าได้รับการเชิญจากฝ่ายรัฐบาลเท่านั้น ไม่ได้มีการคัดเลือกส.ว.ให้เข้าร่วมเวทีนี้ แต่ตนต้องร่วมในฐานะประธานวุฒิสภา ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรของระบอบประชาธิปไตย
เมื่อถามว่าจะยิ่งเกิดความขัดแย้งในวุฒิสภามากขึ้นหรือไม่ นายนิคม กล่าวว่า การทำเพื่อชาติบ้านเมือง อย่ามีเงื่อนไข แต่การเห็นต่างไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะในวุฒิสภาต้องมีความหลากหลาย
              
นายนิคม กล่าวด้วยว่า ส่วนการประชุมวุฒิสภาเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 ต้องรอให้ทางสภาผู้แทนราษฎรลงมติในวาระ 3 และส่งมาให้วุฒิสภา จึงจะบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมได้ และคาดว่าจะเข้าวุฒิสภาได้ช่วงปลายเดือน ส.ค. หรือต้นเดือน ก.ย.นี้.

ที่มา : เดดลินิวส์
[Continue reading...]

คลิป กรรมการสิทธิ์ "รัฐบาลอภิสิทธิ์" บอกว่า เสื้อแดงมีชายชุดดำ มีอาวุธ เสื้อแดง จะก่อความรุนแรง "คมชัดลึก" 9 08 56

- 0 comments

ดูจากรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ถึงผลการตรวจสอบเพื่อมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย กรณีเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ระหว่างวันที่ 12 มีนาคม 2553 ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 หนา 92 หน้า นั้น

ที่มาของคำวินิจฉัย ของคณะกรรมการสิทธฯ คือ รายงาน ของ ศอฉ. ที่ รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ นำมาใช้ บ่อย ๆ

ลองฟังในคลิป รัฐบาล (อภิสิทธิ์) บอกว่า มีชายชุดดำ รัฐบาลบอกว่า ผู้ชุมนุมมีอาวุธ  อะไร ก็ "รัฐบาล" บอกว่าทั้งนั้น
ดูคลิปเต็ม และ ถอดคำพูด ทั้งหมด ในรายการ ความจริง...พฤษภาอำมหิต 2553 คมชัดลึก คลิกที่นี่
[Continue reading...]

คลิป (ถอดคำพูด) มุมมอง พฤษภาอำมหิต 2553 อมรา( กสม) VS ขวัญระวี (ศปช) คมชัดลึก 9 ส.ค. 56

- 0 comments
 

9 ส.ค.56 เมื่อเวลา 20.00น. รายการคมชัดลึก ทางเนชั่นแชนแนล ตอน ความจริง...พฤษภาอำมหิต 2553 โดยบัญชา แข็งขัน ผู้ดำเนินรายการ เชิญ อมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และ ขวัญระวี วังอุดม ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เมษา-พฤษภา 2553 (ศปช.) และ อาจารย์สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา ม.มหิดล  ร่วมรายการ

โดยวานนี้ (8 ส.ค.) เว็บไซต์ กสม. เผยแพร่รายงาน "รายงานผลการตรวจสอบเพื่อมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย กรณีเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ระหว่างวันที่ 12 มีนาคม 2553 ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553" ความยาว 92 หน้า โดยประธาน กสม. ระบุว่าได้ส่งรายงานให้คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา คาดว่าอีก 1-2 อาทิตย์คงจะเข้า ครม. แต่ยังไม่ได้รับการยืนยัน
ทั้งนี้ ศปช. ก่อตั้งโดยกลุ่มนักกิจกรรมร่วมกับนักวิชาการกลุ่มสันติประชาธรรม เมื่อวันที่ 19 ก.ค.53 โดยมีการลงพื้นที่เก็บข้อมูล และสัมภาษณ์พยาน ผู้ได้รับผลกระทบฯ และเผยแพร่รายงานเมื่อวันที่ 19 ส.ค.55 
 
ใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เหมาะสมหรือไม่

ช่วงแรกของรายการผู้ดำเนินรายการถามเรื่องการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ในช่วงเริ่มต้นของการชุมนุม โดยนางอมรา กล่าวว่า บทสรุปมีแนวการมองคล้าย คอป. เพราะข้อมูลที่ได้ก็ใกล้เคียงกัน ตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญ รับรองสิทธิการชุมนุม โดยต้องเป็นไปอย่างสงบและไม่ใช้อาวุธ จากการศึกษา ตั้งแต่ 12 มี.ค. ถึง 7 เม.ย. 53 พบว่า การชุมนุมยังไม่รุนแรงและยังไม่พบอาวุธ ยังอยู่ภายใต้ใต้รัฐธรรมนูญ แต่หลังจากนั้น เริ่มมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นเหตุให้รัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในวันที่ 7 เม.ย. 53 และ ต่อมามีการใช้ความรุนแรงจนเกินขอบเขต

ด้าน น.ส.ขวัญระวี กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลอภิสิทธิ์ บอกว่าเป็นประชาธิปไตยจะต้องสนับสนุนสิทธิในการชุมนุมของประชาชน การประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ครั้งนั้น เกิดขึ้นก่อนมีการชุมนุม เช่นเดียวกับกรณีของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่เคยประกาศไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ ในสังคมประชาธิปไตย สิทธิการชุมนุมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน เพื่อให้คนที่รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมใช้สิทธิเรียกร้องต่อคนมีอำนาจเหนือกว่า ซึ่งพอประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง จึงขัดหลักนี้

ทั้งนี้ตั้งแต่ใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง มีการปิดเว็บกว่า 9,000 เว็บในช่วงหนึ่งเดือน เท่ากับศาลต้องใช้เวลาพิจารณา 300 กว่าเว็บต่อวัน ถามว่าในความเป็นจริงทำได้หรือไม่ ทั้งยังไม่มีการแถลงว่าแต่ละเว็บก่อความวุ่นวายอย่างไร นอกจากนี้ ยังมีการสั่งปิดสถานีไทยคม ทำให้ผู้ชุมนุมเคลื่อนไปชุมนุมที่นั่น จากนั้นรัฐบาลก็ออกหมายจับแกนนำ บอกให้ย้ายมวลชนจากแยกราชประสงค์ไปที่สะพานผ่านฟ้า แต่วันต่อมา ศอฉ. กลับไปสลายการชุมนุมที่ผ่านฟ้า หมายความว่าอย่างไร จะเห็นว่า การกระทำของรัฐบาลมีส่วนทำให้มวลชนโกรธเคือง โดยเฉพาะการปิดสถานีโทรทัศน์พีเพิลชาแนล ทำให้ไม่มีสื่อของเสื้อแดงที่จะสะท้อนเสียงของเขา ยิ่งกระตุ้นให้มวลชนเกิดอารมณ์

ทั้งนี้การตีความการชุมนุมโดยสงบ ไม่ควรตีความอย่างแคบๆ เช่น ก่อความวุ่นวาย หงุดหงิด เดือดร้อน เพราะการชุมนุมย่อมสร้างความเดือดร้อน แต่จะทำอย่างไรให้คนเดือดร้อน มีพื้นที่ รัฐบาลมีหน้าที่เอื้อให้เขาชุมนุมได้โดยสงบ

ต่อมา นางอมรากล่าวว่า เดือนมีนาคม เป็นจุดเริ่มต้นที่ควรดูให้ละเอียดว่าอะไรเป็นเหตุให้เกิดอะไรตามมา และย้ำว่าการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ไม่จำเป็นไม่ควรใช้โดยเด็ดขาด เพียงแต่ว่าตอนนั้นไม่ได้ออกมาแถลงคัดค้าน เพราะอาจจะยังงงๆ อย่างไรก็ตาม หลังรัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ในระยะแรก การชุมนุมยังสงบ หลังๆ ถึงมีกิจกรรมที่รุนแรงขึ้น เช่น  การเข้าไปในสถานที่ราชการ รัฐสภา เป็นการกระตุ้นให้รัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

“ไม่ได้บอกว่าการปิดพีเพิลชาแนลนั้นถูก การขัดขวางการเผยแพร่ข่าวสารเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นข้อบกพร่องของรัฐบาลแน่นอน”

ผู้ชุมนุมมีสิทธิเคลื่อนขบวนออกจากที่ตั้งหรือไม่

เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า ผู้ชุมนุมมีสิทธิเคลื่อนออกจากที่ตั้งไหม ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติกล่าวว่า  เป็นเรื่องการวางแผนของผู้ชุมนุมและแกนนำ ถ้าเขาจะค่อยๆ รุกและเริ่มแรงกดดัน ก็เป็นการวางแผนของผู้ชุมุนม คนที่เคยทำงานมวลชนมาก็รู้ เมื่อถึงขั้นนึงไม่ได้อย่างที่ตั้งใจก็ต้องยกระดับ เพราะฉะนั้น เป็นยุทธศาสตร์การเคลื่อนมวลชน

ด้าน น.ส.ขวัญระวี กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวมีที่มาที่ไป ไม่ใช่อยู่ๆ ก็จะยกกำลังไปปิดล้อม ส่วนตัวมองว่า การเอาคนบุกไปรัฐสภาอาจสุ่มเสี่ยงเกินไป แต่ขณะนั้น มีการตัดสัญญาณพีเพิลชาแนลเป็นระยะๆ ขณะที่ในสภากำลังจะพิจารณาต่ออายุ พ.ร.บ.ความมั่นคง อย่างไรก็ตามความวุ่นวายขึ้นที่สภา ก็จบในไม่กี่ชั่วโมง ทั้งนี้ตามหลักกฎหมาย การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะให้อำนาจฝ่ายบริหาร และไม่มีการตรวจสอบของฝ่ายตุลาการ การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะต้องมีความจำเป็นและได้สัดส่วนกับสถานการณ์ แต่กรณีที่เกิดขึ้นไม่ได้มีความรุนแรง และรัฐสภาทำงานได้ปกติ แต่หลังจากนั้นรัฐบาลกลับประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นเรื่องเกินกว่าเหตุ

พ.ร.ก.ฉุกเฉิน "เขาเลิกถึงธันวาเชียวหรือ"

ส่วนคำถามของผู้ดำเนินรายการที่ว่า กรณีรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติบอกว่า การชุมนุมใช้เวลานานเกินไป ส่งผลต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนและการใช้ชีวิตปกตินั้น น.ส.ขวัญระวี ตอบว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ต้องกลับไปดูว่ารัฐบาลเอื้ออย่างไรให้ผู้ชุมนุม ชุมนุมโดยสงบ ทั้งนี้ การประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ไม่ควรคงไว้นาน แต่กรณีของไทย มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ 300 กว่าวัน ตั้งแต่ 7 เม.ย. ถึง 22 ธ.ค. ปี 2553

โดยนางอมรา ถามกลับว่า "พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เขายกเลิกถึงธันวาเชียวหรือ ดิฉันไม่แน่ใจ เรื่องนี้ต้องไปถามรัฐบาลว่าทำไม" โดยประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติกล่าวต่อว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เมื่อผ่าน 19-20 พ.ค. ไปแล้ว ก็ไม่ควรคงไว้ ควรยกเลิกเมื่อเหตุการณ์คลี่คลายแล้ว
ทั้งนี้ รัฐบาลก็ระบุว่า หน่วยข่าวกรองได้ข่าวว่าจะมีกิจกรรมอะไรต่อ มีระเบิด มีเอ็ม 79 จึงจำเป็นต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งตรวจสอบแล้ว พบว่าจริง เพราะมีระเบิดประปราย และมีเหตุการณ์ในเดือนพฤษภาคมหลายเหตุการณ์ที่เห็นว่ารุนแรง

ทั้งนี้ รายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติยืนยันว่ามีชายชุดดำ มีอาวุธสงคราม และระเบิดจริง โดยนางอมราระบุว่า มีการเก็บข้อมูลหลายทาง ทั้งพยานเอกสาร พยานบุคคล สัมภาษณ์คนในเหตุการณ์ พยายามเชิญบุคคลมา 1,000 กว่าคน ได้มา 184 คน เป็นคนในพื้นที่ พยานเหล่านี้ยืนยันว่าเห็นชายชุดดำ มีอาวุธ และไม่ใช่พยานคนเดียวด้วย จึงกล้าเขียนว่ามีการใช้อาวุธและมีชายชุดดำ รวมถึงที่ศาลาแดง พยานก็จะบอกว่ามีอาวุธและมีชายชุดดำ

ขณะที่ น.ส.ขวัญระวี ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่รัฐใช้อาวุธกับผู้ชุมนุมก่อน โดยระบุว่าดูลำดับเวลาของการชุมนุม โดยในวันที่ 10 เม.ย. ที่รัฐบาลเคลื่อนกำลังแต่เช้า มีรายงานตั้งแต่ช่วงกลางวันว่ามีผู้ถูกยิงด้วยกระสุนจริงที่บริเวณสะพานมัฆวาน โดยเป็นคนเกาหลีใต้ถูกยิงที่ไหล่ ทั้งนี้ผู้ชุมนุมหลายคนถูกยิง มีกระสุนในตัว รัฐบาลบุกโดยไม่แจ้งล่วงหน้าว่าจะใช้กำลัง เพราะฉะนั้น ผู้ชุมนุม จึงไม่มีอาวุธในมือ

เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า สรุปเร็วไปหรือไม่ น.ส.ขวัญระวี ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะนักวิจัยให้กับศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม หรือ ศปช. กล่าวว่า ที่ผ่านมา ศปช. มีการจัดสัมมนา และทบทวนข้อมูลหลายครั้ง จนถึงปัจจุบัน และยืนยันว่าไม่คลาดเคลื่อน โดยเฉพาะเรื่องชายชุดดำ ซึ่งในรายงานของ ศปช. ก็สรุปว่า มี แต่ก็มีกรณีที่รัฐใช้กำลังกับผู้ชุมนุมก่อน ในวันที่ 10 เม.ย. มีผู้เสียชีวิตตั้งแต่ช่วงกลางวัน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่มีการยิงในระดับที่เหนือกว่าระดับเข่า มีคนถูกยิงด้วยกระสุนยางจนตาบอด มีการโปรยแก๊สน้ำตามาจากเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งทำให้คนไม่เกี่ยวได้รับผลกระทบด้วย ทั้งนี้มีผู้ชุมนุมเสียชีวิตจากแก๊สน้ำตาด้วย และไม่ปรากฏในรายงานของ กสม.

ด้าน นางอมรา กล่าวว่า ไม่ทราบว่าฝ่ายรัฐใช้อาวุธก่อน ที่ผ่านมามีการคุยกับเจ้าหน้าที่ และเจ้าหน้าที่บอกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ และเจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นการป้องกันตัว ก็มีความชอบธรรม

ต่อมาพิธีกรถามว่า ศปช. พบว่า ผู้ชุมนุมใช้อาวุธไหม น.ส.ขวัญระวี ตอบว่า มี แต่ไม่พบกรณีที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

ผู้ดำเนินรายการถามว่าการใช้แก๊สน้ำตา ควรเริ่มใช้อย่างไร นางอมราตอบว่า ตามกฎการใช้กำลังมันก็มีเจ็ดขั้นตอน แต่ขั้นตอนนี้อยู่ขั้นไหนจำไม่ได้ มันน่าจะประมาณกลางๆ หลังจากขั้นตอนหนึ่ง สอง สาม มาแล้ว และจริงๆ มันควรทำอยู่บนพื้นราบ การใช้เฮลิคอปเตอร์ทำให้ผู้ที่อยู่ข้างล่างได้รับผลกระทบมาก ได้ติงไปแล้วว่าไม่เหมาะสม

ส่วน น.ส.ขวัญระวี ตอบว่า ในวันที่ 10 เม.ย. มีการใช้แก๊สน้ำตา 200 ลูก ซึ่งกฎการใช้กำลังของกองทัพบอกว่าไม่ควรใกล้เกิน ต้องเว้นระยะ 2.5 เมตร ไม่กว้างเกินไป แต่นี่กินพื้นที่กว้างมาก และตกใส่ร้านอาหารศรแดงด้วย

ชายชุดดำ 10 เมษา
 
ส่วนเรื่องชายชุดดำนั้น ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า ที่เห็นชัดคือเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. ที่สี่แยกคอกวัว มีรายงานว่ามีคนเห็นชายชุดดำ แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าฝ่ายไหน จากนั้นมีเรื่อยๆ หลายเหตุการณ์ โดยข้อมูลนี้ได้จากผู้ได้รับผลกระทบ แล้วจึงไปสอบถามเจ้าหน้าที่

ส่วน น.ส.ขวัญระวี กล่าวว่า ผู้ชุมนุมให้การว่าเห็นชายชุดดำ ไปไล่ดูคลิปวันที่ 10 เม.ย. พบว่ามีชายชุดดำ ที่ลงจากรถตู้ บริเวณสี่แยกคอกวัว เวลาสองทุ่ม แป๊บเดียว แล้วก็หายตัวไป และไม่พบชายชุดดำอีกหลังจากนั้น ซึ่งเราไม่รู้ว่าใคร เป็นฝ่ายไหน ผู้ชุมนุมบางคนมีความเชื่อว่า ชายชุดดำมาช่วยเขา ส่วนตัวมองว่า การใช้กำลังเป็นสิ่งที่ไม่สมควร เพราะสร้างความสับสน แต่ก็ไม่ใช่เงื่อนไข ให้รัฐใช้กำลังยิงใครก็ได้ อย่างที่เป็นอยู่

ด้านนางอมรากล่าวว่า จากรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติสื่อว่า มีความหลากหลายในการชุมนุม จะมีผู้ชุมนุมและฝ่ายรัฐ หรือใครก็ได้แทรกบริเวณนั้น การปรักปรำใครจึงทำได้ไม่ง่ายนัก ส่วน น.ส.ขวัญระวีตอบว่า การโยนความผิดไปที่ชายชุดดำนั้นไม่ถูกต้อง เพราะมีการยิงก่อนที่ชายชุดดำจะปรากฏ และมีเหตุการณ์อื่นที่ไม่ได้มีชายชุดดำและมีการยิงเจ้าหน้าที่รัฐ
 
กรณีวัดปทุมวนาราม
 
ต่อมาผู้ดำเนินรายการสอบถามเรื่องกรณี 6 ศพวัดปทุมวนารามเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 53 นั้น นางอมรากล่าวว่า ไม่มีชายชุดดำที่วัดปทุม จากรายงานได้คำตอบว่ามีการยิงโต้ตอบกันใต้สะพาน ก็คงเป็นผู้ชุมนุมกับฝ่ายรัฐ นอกจากนี้ มีพยานบอกว่าในวัดปทุมวนารามมีอาวุธ และกรณีหกศพวัดปทุมฯ นั้น ไม่ใช่สภาพที่เกิดขึ้นจริง และได้ข้อมูลว่ามีคนตายข้างนอกแล้วลากเข้าไป ศพมีการเคลื่อนย้ายแล้วนำมาเรียงไว้

ด้าน น.ส.ขวัญระวี กล่าวว่า ถ้าดูสภาพการตาย ผู้เสียชีวิตทั้งหกราย ไม่มีอาวุธในมือ ตรงกับคำสั่งศาลไต่สวนการตาย ที่ว่าผู้เสียชีวิตทั้งหกไม่มีอาวุธในมือ แสดงว่า คนที่ตายไม่ได้ยิงต่อสู้จนทำให้เจ้าหน้าที่ต้องป้องกันตัวหรือยิงกราด ทั้งนี้ศพของกมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสา หนึ่งในผู้เสียชีวิตมีกระสุนในร่างกาย 11 นัด นี่ไม่ใช่การยิงป้องกันตัว แต่เป็นการยิงกราด

โดยพะเยาว์ อัคฮาด แม่ของกมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิต บอกว่า ศอฉ. พูดทุกวันว่าลูกเสียชีวิตนอกวัด ช่วงต้น พญ.พรทิพย์ โรจนสุนันท์ บอกว่ามีกระสุน 2 นัด และเธอยังพบจากคลิปว่าลูกเสียชีวิตในวัด การบิดเบือนข้อเท็จจริงเหล่านี้เป็นสาเหตุให้แม่ของกมนเกดซึ่งไม่ใช่เสื้อแดงเลย ผันตัวเองออกมาต่อสู้ให้ลูก
 
เด็กและสตรีในการชุมนุม
 
ต่อมาผู้ดำเนินรายการถามส่วนที่รายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติระบุถึงการที่ผู้ชุมนุมใช้เด็กและสตรีเป็นโล่มนุษย์นั้น นางอมรา กล่าวว่า ปรากฏในคลิปชัดเจน แต่ดิฉันไม่อยากประณามมาก เพราะคนไทยอาจไม่เข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชน เขามาชุมนุมแล้วเอาเด็กขี่คอยืนดู อาจไม่ได้รู้สึกว่าละเมิดสิทธิเด็ก คือชาวบ้านไม่รู้จักเรื่องสิทธิเด็ก เป็นไปได้ว่าทำไปด้วยความไม่รู้ ทั้งตามอนุสัญญาสิทธิเด็ก เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ไม่ควรอยู่ในพื้นที่นั้น

ส่วน น.ส.ขวัญระวี กล่าวว่า การชุมนุมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ผู้หญิงก็ต้องการออกมาเช่นกัน การมองว่าเอาเขามาเป็นโล่ อาจไม่ใช่ เพราะมีเหตุการณ์ช่วงวันที่ 10 เม.ย.ที่ราชประสงค์ ที่มีการเคลื่อนตำรวจเข้ามา ก็มีผู้ชุมนุมที่เป็นผู้หญิงอาสาเข้าไปเจรจา เป็นยุทธศาสตร์ ทั้งนี้ผู้ชุมนุมเสื้อเหลืองก็มีกรณีแบบนี้ ถือเป็นเจตจำนงของผู้ชุมนุม ส่วนกรณีที่ผู้ชุมนุมมีเด็กมาด้วยนั้น บางครอบครัวก็มาจากต่างจังหวัด หากเขาไม่พามาด้วยแล้วเด็กจะอยู่กับใคร ทั้งนี้ ภาพจากบางจุดนั้น เหมือนว่าเด็กอยู่ในที่ปะทะ แต่เมื่อดูภาพมุมกว้างแล้ว จะเห็นว่า เด็กไม่ได้อยู่ในด่านหน้า

การเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้า

ส่วนการเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรมนั้น นางอมรากล่าวว่า ในวันดังกล่าวมีแสงเลเซอร์นำมาก่อนจะที่ พล.อ.ร่มเกล้าจะถูกยิงตาย สะท้อนว่ามีการวางแผน ซึ่งคงระบุฝ่ายไม่ได้ แต่ทหารคงไม่ได้ยิงกันเอง ด้าน น.ส.ขวัญระวี กล่าวว่า เราไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นแผนฆาตกรรม แต่บอกได้ว่า ผู้ลงมือมีความชำนาญ และยังไม่ตัดสมมติฐานว่าอาจเป็นทหารทำกันเอง เพราะไม่มีข้อมูลส่วนนั้น

กรณีบุกโรงพยาบาลจุฬา

ต่อมาผู้ดำเนินรายงานถามในกรณีที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนมีรายงานว่า นปช. บุกค้นโรงพยาบาลเป็นการใช้สิทธิเกินขอบเขต รบกวน และก่ออันตรายกับผู้ป่วยนั้น นางอมรากล่าวว่า เครื่องหมายกาชาดเป็นสัญลักษณ์ของการแพทย์และความปลอดภัย เพราะฉะนั้น การบุกไม่น่าเกิดขึ้นเลย หน้าตึกสิริกิติ์ และตึก ภปร. มีการเดินเข้าออกกันสะดวกทั้งที่อยู่ในรั้วโรงพยาบาลผู้ชุมนุมก็ชุมนุมไป ไม่ได้มีความเข้าใจเรื่องความแตกต่างว่าโรงพยาบาลควรถูกแยกเด็ดขาดจากสถานที่ชุมนุม ความไม่เข้าใจตรงนี้ทำให้เกิดการกระทำบางอย่างที่ไม่ควรเกิด

หลังจากนั้นผู้ดำเนินรายการถามต่อไปว่า ที่มีข้อมูลว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐซุ่มอยู่ ผู้ชุมนุมเลยเข้าไปตรวจ นางอมรากล่าวว่า ขึ้นกับว่ามีการคุยกับผู้บริหารอย่างไร และนี่เป็นสมมติฐานของผู้ชุมนุม ไม่สามารถบอกได้ แต่ รปภ. ของ โรงพยาบาลจุฬาฯ หลายคน เวลาเลิกงานก็ไปชุมนุมกับเสื้อแดง ก็มีความอะลุ้มอล่วยกันมาก

ด้าน น.ส.ขวัญระวี กล่าวว่า สาเหตุที่มีการบุกโรงพยาบาล เพราะเขาได้ข่าวลือมาแบบนั้น ซึ่งเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง อย่างไรก็ตามมีการขอโทษแล้ว และไม่ควรทำอีก ขณะเดียวกัน ควรต้องดูท่าทีของบุคลากรในโรงพยาบาล ซึ่งมีฐานคิดมาก่อนว่าว่าคนเสื้อแดงน่ากลัว ตั้งใจใช้ความรุนแรง ถ่อยเถื่อนและล้มเจ้า และก่อนหน้านี้ฝ่ายรัฐก็มีการสร้างภาพทางลบ สร้างความตื่นตระหนก ขณะที่โรงพยาบาลตำรวจก็อยู่ได้ไม่มีปัญหาอะไร อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า ไม่ว่ารัฐหรือผู้ชุมนุมก็ไม่ควรเข้าไปในโรงพยาบาล

กรณีเผาห้าง-เผาศาลากลาง

ส่วนกรณีเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์และศาลากลางจังหวัดนั้น ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  กล่าวว่าการเผาเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง อย่างน้อย กรณีเผาศาลากลาง เกิดจากการที่แกนนำพูดยั่วยุบนเวทีให้ประชาชนมาพร้อมน้ำมัน การยั่วยุตรงนั้นทำให้บางคนฮึกเหิมและเผา แม้ นปช. จะอ้างว่าไม่ใช่ ซึ่งไม่มีทางพิสูจน์ได้ว่าใครเป็นใคร

ขณะที่กรณีเซ็นทรัลเวิลด์ พยานแวดล้อมมีไม่มากแล้ว เพราะ 19 พ.ค. รัฐบาลให้เลิกชุมนุม แต่ข้อมูลที่ได้มาคือ มีกลุ่มผู้ชุมนุมหรือกลุ่มคนไปทะเลาะกับ รปภ. ทำให้มีความสับสนและมีการเผา
ขณะที่ น.ส.ขวัญระวี กล่าวว่า ศปช. ได้สัมภาษณ์พยานแวดล้อม ได้ตามคดีที่มีเยาวชนถูกฟ้อง ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมเผาเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งคดีเหล่านั้น ต่อมาได้ยกฟ้องหมด และในชั้นศาลหัวหน้า รปภ. ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ให้การว่า มีคนแต่งกายคล้ายทหารอยู่ข้างใน ขณะที่รายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนบอกว่าแต่งกายคล้ายการ์ด ส่วนรายงานของ คอป. บอกว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเราระบุแบบนั้นไม่ได้ เพราะหลังยุติการชุมนุม ทหารเข้ายึดพื้นที่หมดแล้ว

หลังจากนั้นผู้ดำเนินรายการถามว่า การปราศรัยของแกนนำบนเวทีเป็นปัจจัยไหม น.ส.ขวัญระวีตอบว่า การพูดยั่วยุมีในทุกการชุมนุม แม้แต่ในการชุมนุมของชาวบ้านในประเด็นอื่น ตามหลักสากล การใช้ความรุนแรงทางวาจา ต้องเป็นลักษณะที่จะนำไปสู่ความรุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กรณีที่ คอป. และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติพูดโยงเรื่องคลิปของแกนนำเรื่องการเผา เท่าที่ดูทั้งสามคลิป เป็นการพูดคนละบริบท เพราะคลิปของอริสมันต์ที่บอกว่า ถ้าทหารมาให้เตรียมน้ำมันมา หมายถึงถ้ามีรถถังมาให้ใช้น้ำมัน เพราะน้ำมันจะทำให้รถถังเคลื่อนลำบาก ดังนั้น ต้องดูให้เป็นระบบมากกว่านี้ ไม่ใช่โยงทั้งหมดมา

ส่วนการชุมนุมไม่สงบนั้น ตามหลักสากล ไม่สามารตีความอย่างแคบได้ การชุมนุมไม่ใช่นั่งสวดมนต์ เป็นธรรมชาติที่ต้องปลุกใจ ถ้ามีคำหยาบคาย ในเบื้องต้น อย่างน้อยที่สุดต้องเป็นความรับผิดชอบทางศีลธรรมของแกนนำ

ทิ้งท้าย ประธาน กสม.หวังทุกฝ่ายจะช่วยระวังไม่ให้เกิดขึ้นอีก
ส่วนนักวิจัย ศปช. หวังให้คืนความยุติธรรมแก่ผู้สูญเสีย

ในช่วงท้ายรายการ ผู้ดำเนินรายการถามว่า สามปีผ่านไป สังคมได้อะไร ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกล่าวว่า จากบทเรียนคือทุกฝ่ายเห็นพ้องว่าไม่ควรเกิดอีกอย่างแน่นอน ต้องช่วยกันระมัดระวังไม่ให้เกิดขึ้นอีก คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติสรุปบทเรียนไว้ว่า ผู้จัดการชุมนุมต้องรับผิดชอบมากกว่านี้ รวมคนให้ไม่แตกแยกแล้วคุมไม่ได้ เน้นที่บทบาทผู้จัดการชุมนุม ให้คุมคนได้ ไม่ให้เอาอาวุธเข้ามา ส่วนรัฐบาลก็ต้องดูแลการชุมนุมให้เรียบร้อย หลีกเลี่ยงการใช้กฎหมายพิเศษ และเสนอให้ตั้งหน่วยงานดูแลการชุมนุม เพื่อฝึกคนให้มีทักษะในการดูแลการชุมนุม

 
ส่วน น.ส.ขวัญระวี กล่าวว่าหวังว่าสังคมจะเรียนรู้มากขึ้น โดยเฉพาะคนที่มีอำนาจรัฐ ว่าไม่ใช่คำนึงเฉพาะความมั่นคง สงบเรียบร้อยอย่างเดียว ต้องสร้างสมดุลเรื่องสิทธิเสรีภาพด้วย นอกจากนี้ ยังต้องมีการค้นหาความจริงต่อ เพราะหลายเรื่องยังคลุมเครือ ความจริงคือการคืนความยุติธรรมให้กับผู้ที่สูญเสีย
[Continue reading...]
 
Copyright © . Yak Ratchaprasong - Posts · Comments
Theme Template by BTDesigner · Powered by Blogger