โดย...ธนพล บางยี่ขัน คมชัดลึก
หลายคนที่ติดตามสถานการณ์การเมืองช่วงนี้คงอดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์ก้นกุฏิประชาธิปัตย์อย่าง
“อลงกรณ์ พลบุตร”
รองหัวหน้าพรรคดูแลรับผิดชอบภาคกลาง
ซึ่งระยะหลังการออกมาขยับตัวแต่ละครั้งดูจะหลุดกรอบ
แหกธรรมเนียมปฏิบัติของพรรคเก่าแก่ จนสร้างแรงกระเพื่อมสั่นสะเทือนไปทั้งพรรค
ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องการออกมาเป็นตัวตั้งตัวตีเรียกร้องให้เกิดการยกเครื่องประชาธิปัตย์
เพื่อหนีจากวงจรความพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้ง ซึ่งยังตีโจทย์ไม่แตกมาถึง 21 ปี
และล่าสุดกับการแหกกรอบพรรคออกมาเตรียมเสนอแนวคิดเสนอ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
ที่สุดท้ายต้องยอมจำนนกับมติพรรค ม้วนเสื่อเก็บร่างกฎหมายนิรโทษกรรม
“อลงกรณ์” ในวันนี้ซึ่งสวมเสื้อประชาธิปัตย์ลุยถนนการเมืองมา 22 ปี
และมีแผนในใจแล้วว่าอีกกี่ปีจะเกษียณอายุตัวเอง เปิดใจถึงภารกิจ “ปฏิรูปพรรค”
ที่ตั้งใจว่าจะต้องทำให้ประชาธิปัตย์กลับมาเป็นทางเลือกให้ประชาชนก่อนวางมือทางการเมืองให้ได้
แม้รู้ทั้งรู้ว่าเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยความยากลำบากและไม่เป็นผลดีต่อตัวเอง
“ความจริงผมอยู่เฉยๆ ก็ได้ ทำงานอย่างที่เป็นอยู่ เป็นรองหัวหน้าพรรคภาคกลาง
เป็นปาร์ตี้ลิสต์ลำดับสูง รอการเปลี่ยนแปลงกลับมาเป็นรัฐบาล
ก็มีตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี อยู่แบบขอนลอยน้ำ หรือแม้จะเป็นฝ่ายค้านอีก 10-20
ปีก็ยังเป็น สส.อีกต่อไป
แต่ผมเห็นว่าวันเวลามีค่าสำหรับประเทศและสำหรับคนที่รักประชาธิปัตย์
เราอาจจะเสี่ยงตัวเองในการนำเสนอความแตกต่าง แต่ถ้าเราไม่เสนอใครจะเสนอ
...แต่พรรคให้ผมมามากกว่าที่ผมให้พรรค
สิ่งที่ผมจะทำให้ช่วงท้ายของชีวิตทางการเมืองของผมคือการปฏิรูปพรรค
สร้างการเปลี่ยนแปลงให้ประชาธิปัตย์กลับมายิ่งใหญ่เป็นหลักของบ้านเมือง
เป็นพรรคจรรโลงระบอบประชาธิปไตยได้อย่างแท้จริง”
อลงกรณ์ ชี้แจงว่า แนวคิดปฏิรูปพรรคเกิดขึ้นทุกครั้งหลังการเลือกตั้ง
และเหมือนไฟไหม้ฟาง ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
โดยช่วงปีกว่าที่ผ่านมาพรรคได้พูดเรื่องนี้หลายครั้ง มีการประชุมเป็นการเฉพาะที่
จ.พิษณุโลก มีการจ้างมืออาชีพทำการวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อน จะต้องปฏิรูปอะไรบ้าง
หลังจากนั้นเราก็ปฏิรูปไปบ้าง แต่ไม่เพียงพอ จนได้ข้อสรุปว่าต้องปฏิรูปใหญ่
แบบองค์รวมที่ทุกฝ่ายเห็นด้วยและทุกคนต้องช่วยกันผลักดันปฏิรูป 3 ด้าน
โครงสร้าง การบริหารจัดการ
วัฒนธรรมองค์กรและบุคลากร
อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนขณะนี้คือ
การนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาเพื่อหาข้อสรุปร่วมกับข้อเสนอจากสมาชิกคนอื่นๆ
และคาดว่าอีกประมาณไม่เกิน 2 สัปดาห์ น่าจะได้ข้อยุติ
หากยังไม่สมบูรณ์ก็ปรับปรุงให้เป็นไปตามกรอบแนวทางที่วางไว้
หากสมบูรณ์ก็เสนอเข้าที่ประชุมตามลำดับ
คือนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุม สส.พรรค
โจทย์สำคัญคือ ทำอย่างไรถึงจะกลับมาเอาชนะการเลือกตั้ง ซึ่งตลอด 21
ปีที่ผ่านมาไม่ประสบความสำเร็จ เราจะอยู่แบบเดิมๆ ต่อไปไม่ได้
เพราะจะทำให้ประเทศเสียโอกาส ระบอบประชาธิปไตยจำเป็นต้องรักษาระบบถ่วงดุล ตรวจสอบ
เพื่อไม่ให้เสียงข้างมากใช้อำนาจเกินขอบเขต หรือใช้อำนาจอย่างฉ้อฉล
แต่ถ้าหากเราไม่เข้มแข็งเพียงพอ ระบบเช็กแอนด์บาลานซ์
ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่สุดก็จะเสียดุล
หมายถึงการเสียประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน
“ผมมีแนวคิดข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปพรรค ซึ่งความจริงก็ช้าไปด้วยซ้ำ
เราปล่อยเวลาผ่านมา 21 ปี เราก็อยู่กันอย่างนี้ คิดกันเองแก้กันเอง
พยายามแล้วพยายามอีกก็ยังไม่สำเร็จ
จนบางครั้งเราก็ออกนอกแนวที่เราเคยเชื่อมั่นในระบบรัฐสภา
บางครั้งเราก็ต้องยอมด้วยสถานการณ์บ้านเมืองที่บังคับไม่สามารถให้เรายืนอยู่บนหลักการที่เราเชื่อมั่นได้
100%
...บทเรียนหลังสุดที่เกิดขึ้นในปี 2551 ที่ส่งผลให้เราได้เป็นรัฐบาล
ผมถือว่าเป็นการจ่ายราคาแพงมากในเวลาต่อมา ไม่ว่าเราจะถูกกล่าวหาว่าอิงแอบเผด็จการ
หรือปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริต ในยามที่เราเป็นรัฐบาล
สิ่งเหล่านี้ถือเป็นการสั่นคลอนเกียรติภูมิของพรรค ในขณะที่ผมเป็นรองหัวหน้าพรรค
ผมต้องทำอะไรบางอย่าง
เพราะมันเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบที่เราจะต้องต่อสู้และฟื้นฟูพรรค
และต้องเสนอแนวทางฟื้นฟูพรรค ซึ่งผมได้เสนอแนวทางปฏิรูปพรรค
ซึ่งแตกต่างจากวิถีทางเดิมๆ แต่ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงเราจะกลับมาเข้มแข็งได้อย่างไร
สิ่งที่หัวหน้าพรรคในอดีตเคยพูดไว้ว่าเราเชื่อมั่นในระบบรัฐสภา
เราต้องดำเนินวิถีทางดังกล่าวอย่างเคร่งครัด”
อลงกรณ์ อธิบายว่า
สิ่งที่จำเป็นต้องปรับปรุงในพรรคคือการปฏิรูปวัฒนธรรมสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีวัฒนธรรมเดิมฝังรากลึกเอาไว้
ทำให้พฤติกรรมของคนในองค์กรเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แม้จะมีความหลากหลายแตกต่าง
แต่ไม่ง่ายต่อการพลิกตัว
มีแต่แนวทางปฏิรูปเท่านั้นที่จะทำให้เกิดการยกเครื่องทั้งวิธีคิดวิธีทำงาน
รวมถึงบริหารจัดการ และโครงสร้างต่างๆ
ประเด็นเรื่องการตอบโต้รายวัน อลงกรณ์ เห็นว่า
หากเป็นรูปแบบการทำงานการเมืองเมื่อ 20 ปีก่อนอาจจะประสบความสำเร็จ
เพราะประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารไม่มาก ส่วนใหญ่ฟัง สส.พูดจาปราศรัย
แต่ทุกวันนี้มีสื่อมวลชน มีอินเทอร์เน็ต
สิ่งที่เราพูดคิดดำเนินการในอดีตอาจไม่มีประสิทธิภาพอย่างทุกวันนี้
เราก็ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานในเชิงคุณภาพมากขึ้น และเปิดพรรคกว้างมากขึ้น
สร้างแนวร่วมมากขึ้น ลดการตอบโต้รายวันลง
วันนี้สังคมต้องการคุณภาพของความเห็นมากกว่าการตอบโต้ไปมา
เพราะประชาชนมีข้อมูลเปรียบเทียบในการใช้ดุลยพินิจมากกว่า
ประชาธิปัตย์ต้องทำงานที่เป็นรูปธรรมให้เห็นเป็นตัวอย่างมากขึ้น เช่น
วันนี้รัฐบาลมีปัญหาจำนำข้าว คำถามคือหากประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลจะทำอย่างไร
ใช้นโยบายประกันเพียงอย่างเดียวเหมือนเดิม
หรือจะพัฒนานโยบายดังกล่าวให้เป็นทางเลือกที่ดีกว่า เราก็ยังตอบไม่ได้
ผ่านมาสองปีของรัฐบาลชุดนี้ไม่รู้ว่าวันใดวันหนึ่งจะมีการยุบสภา
เพราะการบริหารจัดการยังไม่มีการปรับปรุงองค์กรให้สนับสนุนงานดังกล่าวได้
ทั้งนี้ สิ่งที่จะเห็นหลังจากการปฏิรูป คือ การพิจารณาจุดยืน
และแนวทางของพรรค จะมีความรอบคอบ มีการรับฟังความเห็นจากหลายฝ่ายมากขึ้น
การบริหารจัดการแบบใหม่เปิดกว้าง มีข้อมูลครบถ้วน มีระบบการสนับสนุน การตัดสินใจ
ซึ่งในปัจจุบันยังเป็นแค่ตัวบุคคล คณะบุคคล ที่ยังขาดความรอบด้าน
กระบวนการดำเนินการทางการเมือง
เมื่อมีระบบสนับสนุนเชิงข้อมูลและการวิจัยจะทำให้การกำหนดท่าทีและการกำหนดนโยบายในการขับเคลื่อนทางการเมือง
ไปจนถึงการกำหนดนโยบายสำคัญของประเทศมีความเป็นระบบมากขึ้น
มีประสิทธิภาพในเชิงการเป็นนโยบายที่จะพัฒนาประเทศที่ดีขึ้น
โดยหัวใจความสำเร็จจะอยู่ที่หัวหน้าพรรค ที่จะเป็นผู้นำทางการเปลี่ยนแปลง
ผู้นำการปฏิรูป นำพรรคไปสู่ยุคใหม่
ส่วนเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนในพรรคที่ห่วงว่าการปฏิรูปครั้งนี้อาจทำให้ประชาธิปัตย์ต้องเสียจุดยืนไปเดินตามคู่แข่ง
เสนอนโยบายประชานิยมเพื่อหวังชนะเลือกตั้งนั้น
ถือเป็นความคิดที่ตรงกันข้ามกับข้อเท็จจริง
เพราะการปฏิรูปพรรคจะทำให้พรรคสร้างนโยบายบนความยั่งยืนเพื่อแข่งขันกับนโยบายประชานิยมแบบสุดกู่ของพรรคเพื่อไทย
โดยจะจัดตั้ง
"สำนักวิจัยพัฒนานโยบายและยุทธศาสตร์"ซึ่งพรรคไม่มีในปัจจุบัน
“ผมคิดว่าเราต้องมองไกลใจกว้างต่อการเปลี่ยนแปลง
อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง อย่ามองแค่รั้วบ้านตัวเอง
ต้องมองไปถึงการปฏิรูปประเทศว่าในระบบสองพรรค สองขั้วการเมืองใหญ่
ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็เป็นรัฐบาลที่จะต้องบริหารประเทศ ดังนั้น
การปฏิรูปประชาธิปัตย์จะนำไปสู่การกลับมาชนะใจประชาชนอีกครั้งด้วยคุณภาพของนโยบายที่ดี
การบริหารจัดการที่ดี
...เราต้องคิดเก่งทำเก่งกว่าพรรคเพื่อไทย ประชาธิปัตย์จึงจะชนะการเลือกตั้ง
อย่าไปคิดส้มหล่น อย่าไปคิดหวังอำนาจอย่างอื่น
ไม่เช่นนั้นถึงแม้เราจะชนะได้เป็นรัฐบาลประเทศก็ไม่มีสันติสุข ในมุมกลับกัน
เช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทย ก็จะต้องไม่ใช้อำนาจในการบริหารอย่างฉ้อฉล
เพราะในที่สุดประชาชนก็จะไม่ให้การสนับสนุน
ควรใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและมาแข่งขันเชิงคุณภาพ ประเทศนี้ก็จะเกิดคุณภาพ
ก็จะกลับมาสู่ความสามารถในการแข่งขันอีกครั้ง”
ผมเป็นอิสระ ตามอุดมการณ์พรรค
การออกมาปลุกกระแส “ปฏิรูป”
ของอลงกรณ์เที่ยวนี้ดูจะสร้างแรงเสียดทานให้กับตัวเขาอยู่ไม่น้อย
โดยเฉพาะจากคนในพรรค จนหลายคนวิตกว่าจะนำไปสู่ความแตกแยก
แต่เจ้าตัวยืนยันว่าไม่มีความแตกแยกในความแตกต่าง
ตัวเขาต่อสู้เคียงคู่กับพรรคไม่ว่ายามรุ่งเรืองหรือตกต่ำ
ไม่ว่ายามเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล
“ผมเป็นคนของพรรค ไม่ใช่คนของใคร ไม่ใช่เด็กของใคร
ผมมีความเป็นอิสระ ตามอุดมการณ์ของพรรค ในการเสนอความแตกต่างทางความคิด
ผมเคารพมติพรรค รักษาวินัยพรรคมาโดยตลอด”
...ผมเป็นคนที่จงรักภักดีต่อพรรค
เป็นคนที่ยึดมั่นกับพรรคมาโดยตลอดไม่เปลี่ยนแปลง
ตั้งแต่เริ่มชีวิตการเมืองผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก แม้จะมีแรงเสียดทานการตำหนิติเตียน
ความไม่เห็นด้วย หรืออะไรก็ตาม ผมก็เข้าใจได้ในวิถีชีวิตทางการเมือง
แต่เชื่อโดยเจตนาดี และความภักดีที่มีต่อพรรคมายาวนานก็จะเป็นเกราะคุ้มกัน
ผมอยู่กับพรรคนี้มาตั้งแต่เกิด ไม่คิดจะไปไหน และจะอยู่ต่อไปจนกว่าเขาจะไล่”
อลงกรณ์ เปรียบเทียบว่า สิ่งที่เขาพยายามผลักดันให้เกิดการปฏิรูปนั้น
บางทีมันก็เหมือนกับ “ยาขม” แต่ก็เป็นยาที่มีประโยชน์ อาจมีคนที่ไม่ชอบบ้าง
ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่วันหนึ่งข้างหน้าก็จะเห็นผล
อย่างพรรคเลเบอร์ของอังกฤษสมัยก่อนที่พ่ายแพ้พรรคอนุรักษ์นิยมมาอย่างยาวนาน
ก็มีคนอย่างโทนี แบลร์ และคนอื่นๆ ที่คิดนอกกรอบและเปลี่ยนวิถีทางด้วยการปฏิรูปพรรค
ซึ่งประสบความยากลำบากในช่วงต้นๆ แต่ท้ายที่สุด
คนในพรรคเลเบอร์ก็ให้การยอมรับและทำให้พรรคกลับมาสู่ชัยชนะ
"นิรโทษกรรม"ฉบับสร้างศรัทธา
ชัดเจนแล้วว่า “ประชาธิปัตย์” ยังคงยืนยันในจุดยืนเดิม คือ
เรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม หรือปรองดอง ทั้ง 6
ฉบับออกจากการพิจารณาของสภา
เพื่อเปิดโต๊ะแลกเปลี่ยนความเห็นให้ตกผลึกร่วมกันก่อนก่อนเสนอกฎหมาย
รวมทั้งจะไม่เสนอร่างกฎหมายประกบในการพิจารณาวันที่ 7 ส.ค.นี้
อลงกรณ์ ในฐานะผู้ที่ออกมาประกาศตัวเตรียมเสนอ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
จากฝั่งประชาธิปัตย์ จึงมีอันต้องม้วนเสื่อเก็บแผนนี้ไปโดยปริยาย
ด้วยเหตุผลว่านั่นเป็นกติกาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของพรรค
ที่ใช้เสียงข้างมากในการตัดสิน
อย่างไรก็ตาม
จุดยืนประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลเสนอร่างกฎหมายที่ไม่มีความชัดเจน
ซึ่งอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งและวิกฤตการณ์ทางการเมืองครั้งใหม่
แต่เมื่อสถานการณ์การเมืองเปลี่ยน เมื่อญาติวีรชน พฤษภา 53
เสนอร่างนิรโทษกรรมฉบับประชาชน ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าร่างของ
สส.ซีกฟากรัฐบาลไม่ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาประชาชน
“ผมพิจารณาเห็นว่า สภาไม่มีร่างกฎหมายนิรโทษกรรมที่ชัดเจนในตัวบทกฎหมาย
เพียงพอสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้เกิดขึ้น
และทำให้การช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่ายตั้งแต่เกิดการเผชิญหน้าตั้งแต่ 2548
จึงเห็นว่าประชาธิปัตย์ในฐานะพรรคการเมืองหลัก ควรจะเข้ามาแก้ไขปัญหาของประเทศ
ก่อนที่จะเกิดวิกฤตการณ์ของประเทศครั้งใหม่ด้วยการเสนอร่างกฎหมายที่เขียนชัดเจน
...มุ่งนิรโทษกรรมประชาชนทุกกลุ่มโดยไม่เลือกปฏิบัติ
รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งและกฎหมาย โดยไม่กระทำการเกินกว่าเหตุ
ทั้งนี้การนิรโทษกรรมจะต้องไม่เกี่ยวข้องไปถึงคดีทุจริต หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
หรือผู้สั่งการหรือแกนนำ ซึ่งหากเราสามารถมีร่างกฎหมายมีความชัดเจนในตัวบทเช่นนี้
จะขจัดปมขัดแย้งความไม่ไว้วางใจจะช่วยถอดชนวนวิกฤตการณ์ที่จะเกิดขึ้น”
อลงกรณ์ อธิบายว่า ความตั้งใจของการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
เพราะเชื่อมั่นในระบบรัฐสภา ประชาธิปัตย์จะต้องต่อสู้ในระบบรัฐสภา
และเสนอทางออกทางเลือกที่ดีกว่า
การมีร่างกฎหมายนิรโทษกรรมที่เห็นเป็นรูปธรรมและจับต้องได้ ทำให้
สส.และสาธารณชนได้เห็นเป็นข้อเปรียบเทียบ
ว่านี่คือร่างกฎหมายที่จะช่วยเหลือประชาชนอย่างแท้จริง
ส่วนประเด็นที่สังคมเป็นห่วงว่ากฎหมายเชิญแขกนี้จะนำไปสู่ความขัดแย้งนี้ อลงกรณ์
กล่าวว่า ในร่างที่เขาจะเสนอนั้น ได้สกัดปมขัดแย้งออกไป
สอดคล้องกับแนวความคิดและข้อเสนอของหัวหน้าพรรค
โดยมุ่งนิรโทษกรรมเฉพาะกลุ่มผู้ชุมนุมและแสดงออกทางการเมือง
และให้ครอบคลุมไปถึงทุกกลุ่ม
ที่สำคัญ คือ กำหนดกลุ่มที่จะไม่ได้รับการนิรโทษกรรรมซึ่งต้องมีความชัดเจน คือ
ทั้งผู้สั่งการ แกนนำ
หรือผู้ที่กระทำการเป็นภยันตรายต่อชีวิตหรือทรัพย์สินของเอกชนหรือทางราชการ
และไม่นิรโทษกรรมในคดีเกี่ยวข้องกับคดีทุจริตหรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ซึ่งประเด็นเหล่านี้คือปมของความขัดแย้ง
ดังนั้นเมื่อเขียนบทบัญญัติให้ชัดเจนสกัดปมขัดแย้งต่างๆ ก็จะเป็นต้นแบบที่ดี
ส่วนประเด็นความกังวลที่บอกว่า
หากประชาธิปัตย์เสนอร่างจะเป็นข้ออ้างให้รัฐบาลเร่งเดินหน้านั้น อลงกรณ์ อธิบายว่า
ขณะนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า ถึงไม่มีร่างของพรรคหรือของฉบับประชาชน
ก็มีความพยายามเดินหน้าพิจารณา
แต่สิ่งที่หายไปคือการไม่มีร่างต้นแบบที่ดีให้สภาและสาธารณชนได้พิจารณา
“ผมคิดว่าเราควรนำทางให้บ้านเมือง
แทนที่คิดว่าจะไปตามทาง ประชาชนจะได้มีหลักยึด สภาจะได้มีหลักยึด
ไม่งั้นการฟังความเห็นแบบวันต่อวัน สัปดาห์ต่อสัปดาห์ โดยไม่มีรูปธรรมจับต้องได้
เห็นเป็นตัวร่างที่เป็นกิจจะลักษณะ ก็ไม่ก่อให้เกิดองค์ความรู้ในหมู่ประชาชน”
อลงกรณ์ ระบุว่า นี่จะเป็นการสร้างศรัทธาความเชื่อมั่นอีกทางหนึ่ง
แม้จะเป็นธรรมดาของเสียงข้างน้อย ที่คงไม่ได้เป็นร่างหลักในการพิจารณากฎหมาย
แต่นั่นคือวิถีทางในระบบรัฐสภาที่จะทำหน้าที่ให้สมบูรณ์
ต่อสู้ในเวทีของรัฐสภาให้ดีที่สุด ทั้งที่รู้ว่าสู้ไม่ได้ก็ต้องสู้
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมต้องปฏิรูปพรรค เพื่อเปลี่ยนแปลงวิธีคิด วิธีทำงาน
ในการสร้างศรัทธา และนำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้ง ครั้งหน้าให้เราเป็นเสียงข้างมาก
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
อธิบายการเสนอกฎหมายย่อมสร้างศรัทธามากกว่าค้านอย่างเดียว การเสนอทางเลือกแบบนี้
ประชาชนจับต้องได้และจะได้เปรียบเทียบ
ประชาชนส่วนใหญ่จะได้เห็นว่าประชาธิปัตย์มีความบริสุทธิ์ใจจริงในการทำหน้าที่ถูกต้อง
ความศรัทธาก็จะหันมาประชาธิปัตย์
“ไม่ใช่รัฐบาลดำเนินการแล้วจะเกิดวิกฤต
แน่นอนความนิยมรัฐบาลอาจจะลดลง แต่ถามว่าเราจะเป็นทางเลือกให้เขาหรือเปล่า
เพราะเราไม่มีทางเลือกให้เขาเลย นอกจากแนวทางการคัดคาน”
ส่วนมติของพรรคที่เรียกร้องให้แต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องถอนกฎหมายออกจากสภานั้น
ถือเป็นการถอดชนวนความขัดแย้งอันอาจจะเกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลเดินหน้าพิจารณาร่าง
พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งยังมีปมความขัดแย้งฝังอยู่ในร่างดังกล่าว
เหมือนระเบิดเวลาที่ซุกไว้
เพราะฉะนั้นการที่เสนอให้ถอดร่างมาตั้งโต๊ะเจรจาจึงเป็นข้อเสนอที่เป็นการเสนอทางออกที่รัฐบาลควรรับฟัง
ทั้งนี้ ถ้ารัฐบาลตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของทางฝ่ายค้านในการถอนร่าง
ก็จะเป็นการเริ่มต้นที่ดี ให้กลับมาเกิดการพูดคุย
แต่ถ้ารัฐบาลไม่ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของฝ่ายค้าน
การที่เรามีร่างทางเลือกให้ประชาชนได้เห็น ก็ดีกว่าไม่ใช่ไม่มีเลย
“ผมคิดว่ารัฐบาลเขาไม่ตอบสนอง
อย่างไรก็คงต้องมีการพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร ส่วนจะคัดค้านอย่างเดียว
ซึ่งเราต้องทำอยู่แล้ว และสู้ไม่ได้ หรือจะมีการเสนอร่างเข้าไป
ซึ่งรู้อยู่แล้วว่าลงมติก็แพ้อยู่แล้ว แต่นี่คือความแตกต่าง”อลงกรณ์
กล่าวทิ้งท้าย