Thursday, June 27, 2013

กรณีข่าวว่า อย.สหรัฐอเมริกากักข้าวจากประเทศไทยไม่ให้เข้าประเทศ ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง

- 0 comments

 

วันนี้ติดภารกิจที่ศาลอาญาไม่สะดวกแถลงข่าว ขอชี้แจงข้อเท็จจริงผ่านช่องทางนี้ก่อนครับ


กรณีข่าวว่าอย.สหรัฐอเมริกากักข้าวจากประเทศไทยไม่ให้เข้าประเทศผมให้กระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบแล้วโดยรองปลัดกระทรวงสอบถามไปที่ฑูตพานิชย์ทั้งที่ชิคาโกและLAยืนยันว่าไม่เป็นความจริง สอบถามฑูตเกษตรที่วอชิงตันดีซี ประสานงานสมาคมผู้ส่งออกข้าวในเมืองไทยปรากฏว่าได้คำตอบเดียวกันคือไม่มีสถานการณ์นี้ เป็นข่าวลือข่าวลวงที่สร้างความเสียหายให้ประเทศ

ผมสั่งการให้ฑูตพาณิชย์ทางโน้นทำรายงานสรุปมาโดยเร่งด่วนแล้ว คืบหน้าจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

การวิพากษ์วิจารณ์โจมตีรัฐบาลโดยมีเป้าหมายทางการเมืองแบบที่ฝ่ายค้านใช้มาตลอดทำได้ แต่ถ้าไร้ความรับผิดชอบจนเกิดข้อมูลเท็จแล้วบ้านเมืองเสียหายอย่าทำเลยครับ

[Continue reading...]

หนุ่มบ้านดอน จตุพร พรหมพันธุ์

- 0 comments

จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.


จตุพร พรหมพันธุ์


จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำเสื้อแดง


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ, politicalbase.in.th, th.wikipedia.org


          นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก จตุพร พรหมพันธุ์ หนึ่งในแกนนำคนสำคัญของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. จตุพร พรหมพันธุ์ คือบุคคลที่เคยมีบทบาทในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 2535 และล่าสุดในเหตุการณ์การชุมนุมมวลชนเสื้อแดงที่กล่าวอ้างว่าเพื่อล้างระบบอำมาตยาธิปไตย ขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์  อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจจะยังไม่รู้จักนักการเมืองคนนี้ดี ว่าแล้ววันนี้กระปุกดอทคอม ก็ไม่พลาดขอพาไปรู้จักตัวตนเขากันเลย
          จตุพร พรหมพันธุ์ มีชื่อเล่นว่า  "ตู่"  ปัจจุบันเป็น ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย อายุ 43 ปี เกิดเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2508 เป็นชาวจังหวัดสุราษฎร์ธานี จบการศึกษาสาขาการเมืองการปกครอง จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เขาแจ้งเกิดทางการเมืองจากการเป็นผู้นำนักศึกษา ช่วงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 เมื่อเกิดการปราบปรามผู้ชุมนุมที่ ถ.ราชดำเนิน และผู้ชุมนุมย้ายไปปักหลักที่รามคำแหง โดยมี จตุพร พรหมพันธุ์ ขึ้นเวทีผู้ชุมนุมอย่างโดดเด่น

          หลังจากนั้น จตุพร พรหมพันธุ์ ก็ก้าวเข้าสู่วงการเมืองอย่างเต็มตัว ด้วยการสังกัดพรรคพลังธรรม ซึ่งนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เป็นหัวหน้าพรรคในขณะนั้น ทั้งนี้ จตุพร พรหมพันธุ์ ทำงานการเมืองโดยมีกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง พรรคศรัทธาธรรม พรรคกำลังหลักของมหาวิทยาลัยรามคำแหง ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 2535 ที่เขาเป็นผู้ก่อตั้ง จึงมีชื่อที่รู้จักกันดีในสมัยเรียนว่า "ตู่ ศรัทธาธรรม" เป็นฐานกำลังคอยเคลื่อนไหว ซึ่งต่อมาทำให้ได้มีส่วนร่วมในการก่อตั้งพรรคไทยรักไทย
          อย่างไรก็ตาม เมื่อหมดยุคพรรคพลังธรรม จตุพร พรหมพันธุ์ ได้โดดเข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย ด้วยความเป็นนักพูดฝีปากดีจึงได้รับมอบหมายจากหัวหน้าพรรค  ให้เป็นคณะทำงานชุดปราศรัยหาเสียงเลือกตั้ง ออกปราศรัยช่วยผู้สมัครพรรคไทยรักไทยทั่วประเทศ โดยในระหว่างที่เริ่มรุ่งเรืองในพรรคไทยรักไทย จตุพร พรหมพันธุ์ ได้รับการติดต่อจาก "ผดุงศักดิ์ ฟื้นแสน" เลขาธิการกองทุนฟื้นฟูชีวิตเกษตรกร คนเดือนตุลา ซึ่งเป็นเพื่อนกับ นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ฝากฝังให้เป็นที่ปรึกษาด้านการเมือง ตั้งแต่ครั้งนายประพัฒน์เป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ จนมาเป็น รมว.ทรัพยากรธรรมและสิ่งแวดล้อม  กระทั่งได้รับตำแหน่งรองโฆษกพรรคในที่สุด

      



          ต่อมา จตุพร พรหมพันธุ์ เข้าร่วมเป็น 1 ใน 8 แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ที่เคลื่อนไหวต่อต้าน คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) และได้เข้าสังกัดกับพรรคพลังประชาชน  พร้อมกับลงรับสมัคร ส.ส. ในระบบสัดส่วน พื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี และสมุทรปราการ ซึ่งเขาได้รับเลือก และเมื่อพรรคพลังประชาชนถูกยุบ มีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล นายจตุพรได้ทำหน้าที่ฝ่ายค้านในสภา และเป็นหนึ่งในผู้นำอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล และเมื่อ นปช. ชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาล จตุพร พรหมพันธุ์ ได้ร่วมขึ้นปราศรัยในฐานะหนึ่งใน 3 แกนนำคนสำคัญของ นปช.
          ...แม้ว่าการเพรียกหาประชาธิปไตยในแบบของคนเสื้อแดงจะล้มเหลวลง แต่ที่แน่ๆ เหตุการณ์ในครั้งนี้คงทำให้คนไทยจดจำหนึ่งในแกนนำอย่างนาย จตุพร พรหมพันธุ์ ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย


 
ประวัติ จตุพร พรหมพันธุ์ 


ชื่อ : นายจตุพร พรหมพันธ์
ตำแหน่ง : ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย
เกิด : วันที่ 5 ตุลาคม 2508
สถานที่เกิด : จังหวัดสุราษฎร์ธานี


การศึกษา 
          - ชั้นประถมศึกษา โรงเรียนบ้านน้ำพุ, โรงเรียนบ้านบางฉาง จ.นครศรีธรรมราช และโรงเรียนวัดปทุมยการาม อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช
          - เข้ากรุงเทพฯ ต่อชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนวัดธาตุทอง, โรงเรียนวัดบวรนิเวศ
          - เรียนต่อช่างก่อสร้างที่วิทยาลัยเทคนิคดุสิต และ จบ ปวช.ที่โรงเรียนอินทรอาชีวศึกษา
          - ปริญญาตรีรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง


การทำงาน
          - เลขานุการของนายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สมัยรัฐบาลทักษิณ 1
          - อดีตรองโฆษกพรรคไทยรักไทย และอดีต ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อของพรรค
          - อดีต ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ถูกตัดสิทธิ์ เพราะ "ศาล" ระบุว่าไม่ได้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- politicalbase.in.th
- th.wikipedia.org
-www.kapook.com
[Continue reading...]

ทำความรู้จัก ว่าที่รัฐมนตรี "ครม.ปู 5" ก่อนคลอด "รัฐมนตรี" ตัวจริง

- 0 comments

เปิดปูมว่าที่รัฐมนตรี'ครม.ปู5'ก่อนคลอด'รัฐมนตรี'ตัวจริง         


               นายจาตุรนต์ ฉายแสง ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จาตุรนต์ถือเป็นคนที่ทำงานกับพรรคมาตั้งแต่สมัยเป็นพรรคไทยรักไทย จนกระทั่งวันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกรัฐประหารต้องไปอยู่ต่างประเทศ เขาก็ทำหน้าที่รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย จนกระทั่งพรรคถูกยุบและเป็นหนึ่งใน 111 กรรมการบริหารพรรคที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี อย่างไรก็ตาม ตลอดเวลาที่ถูกตัดสิทธินั้นเขาก็ไม่ได้หายไปไหนแต่ยังคงช่วยงานพรรคอยู่เรื่อยไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชาชน หรือพรรคเพื่อไทย นอกจากนี้ ยังช่วยงานคนเสื้อแดงในฝ่ายวิชาการ และขึ้นเวทีคนเสื้อแดงในการต่อสู้ทางการเมืองแทบทุกครั้ง
               นายจาตุรนต์นั้นถูกมองว่า เป็นรัฐมนตรีน้ำดีคนหนึ่ง และเคยมีประสบการณ์มาแล้วหลายตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็น รองนายกฯ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รมว.ยุติธรรมรัฐมนตรี รมว.ศึกษาธิการ และรมช.กระทรวงการคลัง ซึ่งในครั้งนี้เขาได้กลับเข้ามาทำงานที่ถนัดและเคยได้รับคำชมเชย เนื่องจากที่ผ่านมานั้น นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา ไม่ค่อยได้ทำหน้าที่ในตำแหน่ง รมว.ยุติธรรม ซ้ำยังทำให้ถูกโจมตีโดยแนวคิดยุบโรงเรียนขนาดเล็ก
               วิเชษฐ์ เกษมทองศรี ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เขาถูกมองว่า เป็นตัวจริงอีกหนึ่งคน โดยทำงานร่วมกันมาตั้งแต่สมัยเป็นพรรคไทยรักไทย และเป็นนายทุนพรรค โดยนายวิเชษฐ์เป็นคนที่ได้รับความไว้วางใจไม่ว่าจะเป็นจากการการทำงานหรือการเก็บความลับ
               นายวิเชษฐ์ถูกมองว่า เป็นตัวจริงคนหนึ่งและจ่อคิวรับตำแหน่งรัฐมนตรีตั้งแต่การปรับ ครม.เมื่อครั้งที่ผ่านมา แต่ก็พลาดไปจนได้กลับมาเป็นในครั้งนี้
            


                 นางปวีณา หงสกุล เป็นนักการเมืองมานานโดยเริ่มต้นสังกัดพรรคประชากรไทยของ นายสมัคร สุนทรเวช ต่อมาย้ายมาอยู่พรรคชาติพัฒนา จนกระทั่งมาควบรวมกับพรรคไทยรักไทย โดยเธอเคยลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการ กทม. ถึงสองครั้ง ในปี 2543 ซึ่งครั้งนั้น นายสมัคร สุนทรเวช จากพรรคประชากรไทย ได้รับเลือกตั้ง และในปี 2547 ก็พ่ายให้กับนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน จากพรรคประชาธิปัตย์ ไปอีกครั้ง อย่างไรก็ตามเมื่อศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคไทยรักไทยทำให้นางปวีณาต้องถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี

นางปวีณาเป็นที่รู้จักของสังคมในฐานะนักสังคมสงเคราะห์ และทำงานที่มูลนิธิมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี (องค์กาสาธารณประโยชน์) คอยช่วยเหลือเด็กและสตรีผู้ด้อยโอกาส และมักจะปรากฏเป็นข่าวตามหน้าสื่อ ทำให้ครั้งนี้เธอกำลังจะได้รับตำแหน่ง รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
               
              นายพงษ์เทพ เทพกาญจณา รองนายกรัฐมนตรี ร่วมทำงานมาตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย และเป็นมือกฎหมายให้พรรคมาตลอดเวลา เนื่องจากเขาเคยเป็นผู้พิพากษา แต่ได้ลาออกมาในช่วงวิกฤตตุลาการ ทั้งนี้ในสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยขาเคยดำรงตำแหน่ง รมว.ยุติธรรม มาแล้ว และเมื่อพรรคถึงขาลงโดยการถูกรัฐประหารหรือถูกยุบพรรคถึงสองครั้ง เขาก็ยังคงช่วยงานพรรคอยู่และเป็นหนึ่งในทีมยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย
              รวมถึงขึ้นเวทีคนเสื้อแดงในลักษณะให้ความรู้ทางกฎหมาย รวมถึงงานสัมมนาทั่วไป ทำให้ถูกมองว่าเป็นรัฐมนตรีตัวจริงคนหนึ่ง จนได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีศึกษาธิการเมื่อครั้งที่ผ่านมา
 อย่างไรก็ตาม เมื่อมาเป็น รมว.ศึกษาธิการ กลับมีบทบาทที่ไม่เด่นชัดนัก งานที่มีอยู่มักมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยทำเสียมากกว่า เพราะมีภาระกิจอื่น นอกจากนี้ยังเป็นสายล่อฟ้าเมื่อนำเสนอนโยบายยุบโรงเรียนขนาดเล็กและจัดซื้อรถตู้รับส่ง 1,000 คันแทนจนถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
              
                นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ว่าที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
               นายวิสาร เคยเป็น สส.เชียงราย พรรคไทยรักไทย โดยอยู่ในกลุ่มของ นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานรัฐสภา ทั้งนี้ เมื่อนายวิสารถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจากการยุบพรรคไทยรักไทย จากนั้นนายวิสารก็ไม่ค่อยมีบทบาททางการเมืองและส่ง น.ส.วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ ลงแทน 
             ทั้งนี้ก่อนหน้านี้นายวิสาร ถูกคาดการณ์ว่าจะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่ทั้งนี้นายใหญ่กังวลว่า นายวิสารจะเข้ามารื้อระบบในกระทรวงทรัพยฯ เช่นเดียวกับสมัยนายยงยุทธ และเป็นที่มาของการรื้อรีสอร์ทตามอุทยานแห่งชาติต่างๆ
              
                นายพีรพันธ์ พาลุสุข ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปัจจุบันเป็น สส.ยโสธร และทำหน้าที่เป็นทีมกฎหมายของพรรคเพื่อไทย เขาเคยเป็นอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง ต่อมาได้ลงเล่นการเมืองและสังกัดมาหลายพรรค ไม่ว่าจะเป็นพรรคชาติไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคประชาชน พรรคความหวังใหม่ ขณะที่ในนามพรรคไทยรักไทยเขายังไม่เคยลงรับสมัครเลือกตั้งแต่ก็เป็นที่ปรึกษาและผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ และต่อมาก็ลงสมัคร สส.ในนามพรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทย
               นายพีรพันธ์ มีความสัมพันธ์อันดีกับ สส.ในพรรคหลายคนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายจาตุรนต์ ฉายแสง อีกทั้งทำงานให้พรรคมานานจึงถึงลำดับที่ควรจะขึ้นชั้นเป็นรัฐมนตรี โดยครั้งนี้จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์แทน นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ซึ่งมีปัญหาภายในกระทรวงจนถูกประท้วงและถูกปรับออกในที่สุด
           
               นายชัยเกษม นิติศิริ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อดีตอัยการสูงสุด ระหว่างปี 2550 - 2552 ปัจจุบันดำรงตำแหน่งอัยการอาวุโส (ที่ปรึกษาอัยการสูงสุด) สำนักงานอัยการสูงสุด เขาได้รับตำแหน่งในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลายตำแหน่ง เช่น ประธานสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คณะกรรมการคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรรมการตรวจสอบ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม

               อย่างไรก็ตาม นายชัยเกษม ถูกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ฟ้องร้องคดีจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด CTX 9000 ในฐานะอดีตกรรมการบริหารการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.)ต่อมาเมื่อ คตส. หมดวาระได้มีการโอนคดีนี้มายังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ปปช. )และ ปปช. ได้มีมติตั้งอนุกรรมการไต่สวนเขาอยู่ในขณะนี้
              
           นายสรวงศ์ เทียนทอง ว่าที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
            นายสรวงศ์เป็นบุตรชายนายเสนาะ เทียนทอง นักการเมืองรุ่นเก๋า โดยครั้งนี้เขาจะเข้ามาแทนในโควตาของกลุ่มนายเสนาะ ทำให้นายฐานิสร์ เทียนทอง หลานนายเสนาะต้องพ้นจากตำแหน่ง รมช.อุตสาหกรรม
             






                นางเบญจา หลุยเจริญ ว่าที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ถือเป็นการได้รับการโปรโมทตำแหน่งระดับสูงในฝั่งของข้าราชการเมืองจากพรรคเพื่อไทย หลังจากที่ได้รับการโปรโมทตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงจากฝ่ายข้าราชการประจำมาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก มีสายสัมพันธ์อันดีตลอดมากับครอบครัวอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สะท้อนจากการออกมาปกป้องกรณีการซื้อขายหุ้นในบริษัทแอมเพิลริชของพ.ต.ท.ทักษิณว่า เป็นการซื้อขายนอกตลาด ทำให้ไม่มีภาระภาษี ซึ่งระหว่างนั้น นางเบญจามีตำแหน่งเป็นหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของกรมสรรพากร
                อย่างไรก็ตามในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ นางเบญจา ได้ถูกโยกย้ายเข้ามานั่งในตำแหน่งผู้ตรวจการกระทรวงการคลัง จากนั้น พรรคเพื่อไทยได้กลับเข้ามาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง นางเบญจา ได้ขยับตำแหน่งเป็นรองปลัดกระทรวงการคลัง อธิบดีกรมสรรพสามิต และอธิบดีกรมศุลกากร พร้อมกับตำแหน่งประธานบอร์ดรัฐวิสาหกิจที่สำคัญ เช่น สลากกินแบ่งรัฐบาล หรือธนาคารกรุงไทย ก่อนที่จะลาออกจากราชการก่อนเกษียณอายุไม่ถึง 4 เดือน ขณะที่ อดีตข้าราชการระดับสูงบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องกับคดีซุกหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น ได้ถูกออกจากราชการไปหมดแล้ว อย่างไรก็ดี ด้วยความสามารถในการบริหารงานองค์กรและความเชี่ยวชาญทางด้านภาษี โดยเฉพาะภาษีกรมสรรพากร ทำให้นางเบญจาเป็นที่ยอมรับจากหลายฝ่าย และทำให้การโปรโมทในตำแหน่งสำคัญๆ ไม่ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากนัก
               
             นายยรรยง พวงราช ว่าที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์  
เติบโตมาจากข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ และไต่เต้ามาตามลำดับ จนได้เป็นอธิบดีกรมการค้าภายใน ช่วงปี 2550-2552 และ เป็นปลัดกระทรวงพาณิชย์ ช่วงปี 2552 - 2555  อย่างไรก็ตามในช่วงรัฐบาลพรรคเพื่อไทย นายยรรยงได้ ออกมาตอบโต้และปะทะคารมกับพรรคประชาธิปัตย์หลายครั้ง ทั้งเรื่องสินค้าราคาแพง และเรื่องจำนำข้าว โดยนายยรรยง เรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ปลดนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ออกจากตำแหน่ง เพราะทำหน้าที่ไม่เป็นธรรม มีบุคลิกภาพไม่เหมาะสมเป็นโฆษกพรรค เพราะหน้าตาเหมือนปลาบู่ชนเขื่อน  

ที่มา คมชัดลึกออนไลน์ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556
[Continue reading...]

21 เรื่องที่คนไม่ (ค่อย) รู้เกี่ยวกับ "ยรรยง พวงราช" ว่าที่ รมช. พาณิชย์

- 0 comments
จริงๆ แล้ว ความเป็นคนตรงไปตรงมา สไตล์ ยรรยง พวงราช  ยังมีอีกหลายเรื่องที่คนทั่วไป ไม่ค่อยรู้   "มติชนออนไลน์" สืบค้นเรื่องราว ลึกแต่ไม่ลับของ ยรรยง   พวงราช  มานำเสนอท่านผู้อ่าน  21 เรื่องใน เวอร์ชั่นพิเศษ ดังนี้  


1.    ยรรยง พวงราช มีลูกศิษย์ลูกหาเป็นตุลาการ อัยการ และทนายความนับหมื่นคน เพราะเป็นอาจารย์สอนกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาที่ เนติบัณฑิต และระดับปริญญาตรี และปริญญาโท หลายสถาบัน มานับสิบปี ฉะนั้น ใครมีปัญหา ฟ้องร้องกับอาจารย์ยรรยง ต้องใคร่ครวญให้จงดี

2.    ครั้งหนึ่ง ป๋าเปรม พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี และประธานองคมนตรี เคยทักอธิบดียรรยงว่า " คุณเป็นข่าว ทุกวัน  บ่อยกว่าผมเสียอีก"

3.    สมัยเด็ก ๆ  เพื่อนเรียก อธิบดี ยรรยง ว่า "ไอ้ด้วง" เพราะตอนเป็นเด็กตัวขาว อ้วน น่ารัก เหมือนตัวด้วง

4.     ย้อนไป 4 ทศวรรษที่แล้ว เด็กหัวดี เรียนเก่งใน จ.ศรีสะเกษ มีชื่อ  ปิยะณัฐ วัชราภรณ์   ถัดมาอีก 2 ปี มีชื่อ ยรรยง พวงราช ติดบอร์ดเรียนดี ศรีษะเกษ

5.    ยรรยง  เลือก คาลวิน ไคล์น Calvin Klein  เป็นชุดชั้นในตัวเก่ง  ขนาดโฆษณาให้ฟรีว่า ใส่สบายที่สุด

6.    ยรรยง สมัยเป็นหนุ่ม เคยเป็นอาจารย์สอนกฎหมายที่คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ เพราะอาจารย์ผู้ใหญ่เห็นแววนักวิชาการ เปล่งประกาย

7.    ครั้งหนึ่ง  ในการประชุมกรรมาธิการงบประมาณ ยรรยง พวงราช เปรียบ จำนำ กับ ประกัน  ว่า เหมือน เมียหลวงกับเมียน้อย สร้างความไม่พอใจให้กับ ผุสดี ตามไท แบบสุด ๆ ถึงขั้นตำหนิอธิบดีว่า เหยียดเพศแม่   อธิบดียรรยง ชี้แจงว่า มิได้มีเจตนา เพียงแต่บอกว่า ทั้งเมียหลวงและเมียน้อย ต่างก็มีส่วนดี เหมือนๆ กัน 

8.  ในห้องเลกเชอร์วิชาทรัพย์สินทางปัญญา อาจารย์ยรรยง  เขียนหัวข้อบรรยายเป็น ภาษาอังกฤษ ทุกคำ ทุกประโยค  ไม่เคยเขียนเป็นภาษาไทย สักคำเดียว

9.  ยรรยง กับ เอ็นจีโอ. เป็นเสมือนเหรียญคนละด้าน  ถึงขนาดเปรยว่า พวกนี้ ไม่เคยมองอะไรเป็นบวก (สักอย่าง)
 
10. ในช่วงรณรงค์ให้คนไทย บริโภค ผลไม้ไทย  อธิบดียรรยง คิดแคมเปญขายมังคุด หรือ นางสาวสยาม ในคีย์เวิร์ดว่า "ขาวอวบๆ" แต่ถูก กบว. เบรก

 11.  ช่วงที่เพลง  "มันต้องถอน "  ของนักร้อง "ปอยฝ้าย มาลัยพร " กำลังฮิต  อธิบดียรรยง  ฮัมออกมาเป็นเพลงว่า   งึกๆงักๆมันเป็นงึกๆงักๆ  งึกๆงักๆมันเป็นงึกๆงักๆมันเป็นกะอึ่กกะอั่ก มันเป็นจึ๊กๆจั๊กๆมันเป็นอยากได้จั๊กกั๊ก มันเป็นบ่คึกบ่คัก ตึ่ง....ต๊อก.....จั่งซี้มันต้องถอน.... จั่งซี้มันต้องถอน.... จั่งซี้มันต้องถอน....

12.  ยรรยง ไม่ชอบ ให้ที่ประชุมเสิร์ฟ ขนมประเภทเบเกอร์รี่  ถึงกับสั่งลูกน้องว่า ในช่วงพักคอฟฟี่เบรก ให้เสิร์ฟ เป็น ขนมไทยๆ  เพราะเชื่อว่า เบเกอร์รี่ทำจากแป้งชั้นเลวของฝรั่ง

13.  ครั้งหนึ่ง อธิบดียรรยง กำลังปัสสาวะ แล้วถูกทักทายจากผู้มาใช้บริการช่องถัดไปว่า ... รู้สึกเป็นเกียรติ อย่างยิ่ง ที่ได้ยืนฉี่  กับท่านอธิบดี  (ฮา)

14.   ยรรยง  คุยกับ เนวิน ชิดชอบ บิ๊กภูมิใจไทย  เป็นภาษาเขมร

15.   ยรรยง ไม่เห็นด้วยกับการลงโทษ ผู้ซื้อสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ เครื่องหมายการค้า  และไม่เห็นด้วยกับปฎิบัติกวาดล้างที่พัฒน์พงศ์ เพราะมันไม่ เมกเซ้นท์

16.  ยรรยง ลบบันทึกสายโทรเข้าบนมือถือทุกวัน 
      17.  หนุ่มใหญ่อย่างคุณยรรยง เชื่อว่า ผู้หญิงทุกคนในโลกนี้   ไม่ว่าจะสวยหรือไม่สวย  ไม่ว่าจะเป็นอาภัสรา หรือ อีแจ๋ว จะงอมเท่ากันหมดในวัย 80 ปี

18    ยรรยง มีรสนิยมในการเลือกแว่นตาให้เข้ากับใบหน้า และทำให้ใบหน้าดูสว่างและ ไบร์ท และมักเปรียบสไตล์การเลือกแว่นตัวเองกับ  ท่านกล้านรงค์ จันทิก กรรมการป.ป.ช.ที่ใช้แว่นกรอบใหญ่ สีเข้ม

19.  ยรรยง กับ นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี คุ้นเคยกันดีมาก  อาจเป็นเพราะนายชวน รู้ว่า อธิบดียรรยง เป็นคนเก่งและฉลาด

20.  สมัยเป็น นิติกรหนุ่ม กระทรวงพาณิชย์  ยรรยง นั่งรถเมล์ ปอ. 44 ลงท่าเตียน ไปทำงานทุกวัน
     
21 .  เชื่อหรือไม่ ครั้งหนึ่ง ปลัดยรรยง เคยโต้คารม กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะมาแล้ว    เอาเข้าจริงแล้ว    ในช่วงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีข่าวว่า นายกฯ ไม่ค่อยปลื้ม อธิบดีกรมการค้าภายในที่ชื่อ ยรรยง พวงราช เท่าใดนัก      จนทำให้ ยรรยง เกือบไม่ได้นั่งเก้าอี้ ปลัดกระทรวงพาณิชย์

ทั้งที่ ครั้งนั้น  ยรรยง พวงราช แทบไม่มีคู่แข่ง เพราะนายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก ก็ติดบ่วงคดีทุจริตกล้ายาง.. หมดสิทธิลุ้น ขณะที่ นายคณิสสร นาวานุเคราะห์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ก็อาวุโสน้อยกว่า นายยรรยง

อุปสรรคมีเพียง  นายกฯอภิสิทธิ์ จะค้านการแต่งตั้ง ยรรยง  พวงราช หรือไม่   เพราะนายกฯกับ อธิบดี เคยขบเหลี่ยมกันมาแล้ว ?   จากเหตุในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี วันพุธที่ 13 พฤษภาคม  2552  ในวาระพิจารณา เรื่องการประมูลขายข้าวโพดลอตแรก 4.5 แสนตัน

ครั้งนั้น นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ อ้างว่าทำตามวิธีการของ "รัฐบาลเก่า" ขณะที่นายกฯอภิสิทธิ์เบรกกลางที่ประชุม ครม. มอบให้รองนายกฯกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ในฐานะคณะกรรมการนโยบายไปกำหนดหลักเกณฑ์การขายใหม่ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส มีระบบ ไม่ใช่ ขายตามความเห็นของรัฐมนตรี

รัฐมนตรีพรทิวาเชิญอธิบดียรรยง ประธานคณะกรรมการระบายข้าวโพด เลี้ยงสัตว์ มาชี้แจงในห้องประชุม ครม.
อธิบดียรรยง ยืนยันกลางที่ประชุม ครม.ว่าเป็นความรับผิดชอบของกระทรวงพาณิชย์ เพราะเป็นนิติบุคคล !!!
นายกฯโต้แย้งว่า ถ้ากรมการค้าภายในคิดว่ามีอำนาจทำได้ จะรับไปทำก็ได้ หากขาดทุนขึ้นมา กรมพร้อมที่จะรับผิดชอบหรือไม่

อธิบดียรรยง   ตอบนายกฯว่า แล้วสถานะของ ครม. ถือเป็นนิติบุคคลหรือไม่ !!!    โดนเข้าดอกนี้  นายกฯอภิสิทธิ์ ในฐานะประธานในที่ประชุม จึงตัดบทว่า ...ถ้าไม่มีอะไรชี้แจงเพิ่มเติมก็เชิญออกได้   หลังเหตุการณ์ผ่านไป อธิบดียรรยง บอกว่า นายกฯกับผมไม่มีอะไรกัน  สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียง การตีวัวกระทบคราด เท่านั้น
 
 
นี่คือ ลีลา นิติฯจุฬาฯ ที่มีชั้นเชิงทางกฎหมาย ขนาดสอนมวยนายกฯมาแล้ว  
    
ทั้งหมดคือ  21  เรื่องราวลึกแต่ไม่ลับ  เกี่ยวกับ ยรรยง พวงราช

ที่มา มติชนออนไลน์ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556
[Continue reading...]

ศาลสั่งทำประชาพิจารณ์โครงการน้ำ 3.5 แสนลบ.ก่อนลงนามเอกชน

- 0 comments
วันที่ (25 มิ.ย.)  ที่ห้องพิจารณาคดี 8 ศาลปกครองกลางนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก  ในคดีที่นายศรีสุวรรณ  จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ผู้ฟ้องที่ 1 และชาวบ้านร่วมฟ้องคดีอีกจำนวน 45 คน ยื่นฟ้อง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับพวก
คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ คณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย ในคดีโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท  ซึ่งผู้ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนแผนแม่บทการบริหารการจัดการทรัพยากรน้ำ   โดยในวันนี้ทั้งผู้ฟ้องและผู้ถูกฟ้องในวันนี้ ไม่มีใครยื่นคำแถลงเป็นหนังสือ และแถลงเพิ่มเติมต่อศาล

ตุลาการผู้แถลงคดีจึงอ่านแถลงการณ์สรุปว่า ผู้ฟ้องมีสิทธิฟ้อง เพราะเป็นผู้ได้รับความเสียหายตามมาตรา 42 วรรค 1 ในส่วนของการจัดทำแผนแม่บทนั้น เห็นว่าเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะได้ใช้อำนาจหน้าที่ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว ขณะที่ในประเด็นการละเลยปฏิบัติหน้าที่  ตุลาการผู้แถลงคดีเห็นว่า โครงการส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำที่มีผู้อยู่อาศัยและป่าไม้ ซึ่งจะต้องมีการส่งผลให้ประชาชนต้องอพยพ มีการทำลายป่า และส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างรุนแรง จึงต้องจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน

ดังนั้นจึงมีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องทั้ง 4 ร่วมกันจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และผู้มีส่วนได้เสียตามรัฐธรรมนูญมาตรา 67 วรรค 2 ก่อนเข้าทำสัญญากับผู้รับจ้างทั้ง 9 โมดูล คำร้องจากนี้ให้ยก

ความเห็นของตุลาการผู้แถลงคดี เป็นไปตามขั้นตอนที่กฏหมายกำหนด ซึ่งจะไม่ผูกพันกับคำพิพากษาขององค์คณะ ซึ่งได้นัดพิพากษาในวันที่ 27 มิถุนายนนี้  เวลา 13.00 น.
  
นายศรีสุวรรณ กลาวว่า คำแถลงคดีของตุลาการวันนี้เป็นไปตามความคาดหวัง คาดว่าจะมีน้ำหนักเพียงพอให้องค์คณะผู้พิพากษารับฟัง และมีคำพิพากษาในทิศทางเดียวกันนี้และจะทำให้รัฐบาลต้องยุติการดำเนินการ  โดยกลับไปเริ่มต้นใหม่รับฟังความคิดเห็นของประชาชน
[Continue reading...]

มาร์ค ให้สัมภาษณ์ การปรับคณะรัฐมนตรี “ย้ำ” สำนึกว่าที่รมต. กล้าแข็งข้อ ไม่ทำตามคำบงการนายใหญ่

- 0 comments
วันนี้ (27 มิ.ย.) เวลา 11.30 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงการที่รัฐบาลเตรียมปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า การปรับครม.ครั้งนี้มาจากที่รัฐบาลถูกกระแสกดดันหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องข้าว และปัญหาเศรษฐกิจ รัฐบาลไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า รายชื่อรัฐมนตรีใหม่ ที่ปรากฏออกมาเป็นคนใกล้ชิดนายใหญ่ และเป็นสมาชิกบ้านเลขที่ 111 โดยรอโอกาสเข้ามามีตำแหน่งทางการเมืองอีกครั้ง ต้องคอยดูว่า คนที่มาเป็นรัฐมนตรีคนใหม่จะกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง กล้าเปิดเผยข้อมูลให้โปร่งใส สะสางการทุจริตให้โปร่งใสได้หรือไม่ จุดนี้สำคัญกว่าการที่จะทราบว่า รัฐมนตรีคนไหนชื่ออะไร เช่นเดียวกับปัญหาความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จุดสำคัญคือ รัฐมนตรีที่จะมาดูแล จะสะสางเรื่องการพูดคุยกับกลุ่มบีอาร์เอ็นอย่างไร ไม่ให้เกิดความรุนแรงในพื้นที่เพิ่มขึ้น
“ความสำคัญอยู่ที่คนที่เข้ามาใหม่ จะมาเปลี่ยนแปลงการทำงานได้หรือไม่ ถ้าทำไม่ได้ ไม่ว่า จะปรับครม.กี่รอบ ก็ถือว่า ไม่มีประโยชน์อะไร ทุกคนที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ มีความรับผิดชอบทางรัฐธรรมนูญ จะต้องสำนึกว่า ตำแหน่งที่ได้มา มีความรับผิดชอบอะไร และไม่ควรให้ใครมาบงการ ที่ผ่านมาการทำงานของรัฐมนตรีคนเก่ายังไม่มีอะไร ไม่แก้ปัญหาให้ประชาชน จ้องแต่จะผลักดันวาระที่เป็นประโยชน์ส่วนตัวของพรรคพวก ความจริงรัฐบาลสามารถอยู่ได้ครบเทอม ถ้าตั้งใจทำงานและรักษาประโยชน์ส่วนรวม แต่ถ้าไปทำเรื่องยุ่งๆ ไม่ว่า จะปรับครม.อย่างไรก็จะอยู่ยาก จะมีปัญหา และลำบาก การบริหารไม่เดินหน้า การเมืองก็จะตึงเครียดตลอด ผมคิดว่า จุดนี้ต้องเริ่มจากนายกฯ ต้องทำให้เป็นนายกฯ ตัวจริงก่อน”นายอภิสิทธิ์ กล่าว.
[Continue reading...]

"ณัฐวุฒฺ" ระดมกำลังตำรวจ 1.89 หมื่น ลงพื้นที่ตรวจโรงสี-โกดังข้าว ทั่วประทศยังไม่พบความผิดปกติ

- 0 comments
วันนี้ เวลา 10.30 น. (27 มิถุนายน 2556)  ที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์  พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. ร่วมประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ กับ ศปก.น ศปก.ภ.1-9 ศปก.ตชด. ศปก.สตม. ศปก.ทล.เพื่อติดตามผลการปฏิบัติของชุดปฏิบัติการตำรวจ ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงมหาดไทย ในการตรวจสอบปริมาณข้าวคงเหลือขององค์การคลังสินค้าและองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ตามโครงการรับจำนำข้าวจากทั่วเทศ


นายณัฐวุฒิกล่าวว่า วันนี้ชุดปฏิบัติการของตำรวจ ลงพื้นที่ 2,100 จุด ซึ่งเดิมที่กำหนดเป้า 1,651 แต่เนื่องจากคลังกลางบางแห่งมีโกดังหลายหลัง จึงรวมเป็น 2,100 แห่ง โดยช่วงเช้ายังไม่พบสิ่งผิดปกติ หรือพบการทุจริตแต่อย่างใด แต่พบว่าในบางพื้นที่มีข้อมูลจำนวนโรงสีและโกดังกลาง ซ้ำซ้อนกัน ส่วนในพื้นที่อำเภอบางไผ่ จังหวัดขอนแก่น มีคลังกลาง 1 แห่ง ที่อยู่ระหว่างการรมยาข้าว จึงไม่สามารถเข้าตรวจนับได้ ตำรวจจึงได้บันทึกภาพไว้เป็นหลักฐาน และเตรียมตรวจสอบช่วงเวลารมยา จำนวนโกดัง รวมทั้ง ตัวเลขทางบัญชี ก่อนจะจัดเจ้าหน้าที่ตรวจนับอีกครั้ง ขณะที่ โกดังในจังหวัดน่าน 2 แห่ง และลำปาง 5 แห่ง ไม่พบข้าวเก็บไว้ เพราะเป็นการรับจำนำข้าวนอกเขตพื้นที่ อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบยังไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากเจ้าหน้าที่มีจำนวนจำกัด ซึ่งจะมีการติดตามความคืบหน้าอีกครั้งในเวลา 14.00 น.

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ขณะนี้ตรวจสอบโรงสีและโกดังคลังกลางทั่วประเทศไปแล้วกว่าร้อยละ 30 เท่าที่ตรวจสอบยังไม่พบสิ่งผิดปกติส่อไปในทางทุจริตหรือยักยอกฉ้อโกง ซึ่งคาดว่าการตรวจสอบเชิงปริมาณ จะทราบผลในช่วงเย็นหรือค่ำวันนี้ ส่วนผลเชิงคุณภาพ จะสุ่มตรวจข้าวนำไปเข้าห้องแล็บของกรมการข้าว ต้องใช้เวลาอีกสักระยะและรายงานผลในภายหลัง ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะมีการเคลื่อนย้ายข้าวระหว่างโรงสีนั้นยืนยันเจ้าหน้าที่ตำรวจได้วางกำลังทุกเส้นทาง และตามแนวชายแดนยังไม่พบกรณีดังกล่าวให้ประชาชนสบายใจได้เราจะทำการตรวจสอบอย่างโปร่งใสตอนนี้ยังไม่พบการเคลื่อนย้ายถ่ายเทข้าวข้ามเขตแต่อย่างใด

ด้าน พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า กำลังตำรวจ 18,930 นาย ได้ลงพื้นที่ตรวจจุดรับจำนำข้าว และโกดังคลังกลาง 2,100 จุด แบ่งเป็นโรงสี 814 จุด คลังกลาง 1,286 จุด ตั้งแต่เวลา 09.00 น. ยังไม่พบความผิดปกติ แต่อย่างใดตอนนี้เจ้าหน้าที่ทุกนายที่ทำหน้าที่ได้ประจำจุดและจะรายงานมายัง ศปก.ตร.เป็นระยะ
[Continue reading...]
 
Copyright © . Yak Ratchaprasong - Posts · Comments
Theme Template by BTDesigner · Powered by Blogger