Tuesday, June 25, 2013

ศาลอาญากรุงเทพฯ ใต้สรุปการไต่สวนสาเหตุการตายฟาบิโอ โปเลนกี ช่างภาพอิตาลีที่ถูกยิงเสียชีวิตระหว่างการสลายชุมนุมเสื้อแดง พ.ค. 53 ว่าทิศทางของกระสุนมาจากฝั่งของทหาร

- 0 comments
29 พ.ค. 56 – ห้องพิจารณาคดี 602 เวลา 9.30 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้ สรุปการไต่สวนคำร้องชันสูตรพลิกศพ การเสียชีวิตของนายฟาบิโอ โปเลนกี ช่างภาพชาวอิตาลี ที่ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) บริเวณแยกศาลาแดงถึงราชประสงค์ โดยสรุปว่านายฟาบิโอเสียชีวิตจากกระสุนที่มาจากฝั่งทหาร อย่างไรก็ตาม ศาลระบุว่า ยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลงมือกระทำ
ด้านทนายความของญาติผู้เสียชีวิต นายคารม พรพลกลาง กล่าวว่ารู้สึกค่อนข้างพอใจกับผลที่ออกมาในวันนี้ เนื่องจากหลักฐานต่างๆ เช่น วิถี หรือลักษณะของกระสุน ก็ชี้ให้เห็นแล้วว่าน่าจะเป็นกระสุนจเจ้าหน้าที่ทหาร และกล่าวว่าจะดำเนินการฟ้องร้องในขั้นต่อไปในอนาคต ในขณะที่เอลิซาเบ็ตต้า โปเลนกี น้องสาวของผู้เสียชีวิต กล่าวว่าค่อนข้างพอใจกับผลที่ออกมา ส่วนขั้นต่อไปจะทำอะไรต่อต้องปรึกษาครอบครัวก่อน
ในวันนี้ เวลา 19.00 ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย ถ.เพลินจิต จะมีการแถลงข่าวโดยเอลิซาเบ็ตต้า โปเลนกี และนายชอวน์ คริสปิน ตัวแทนจากคณะกรรมการเพื่อพิทักษ์นักข่าว (Committee to Protect Journalists) ต่อคำสั่งของศาลในคดีดังกล่าวด้วย
ทั้งนี้ คดีดังกล่าว หรือ คดีหมายเลขดำที่ ช.10/2555 พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 4 ยื่นคำร้องขอให้ชันสูตรการเสียชีวิตของนายฟาบิโอ โปเลนกี ช่างภาพชาวอิตาลี เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 55 เพื่อทำคำสั่งแสดงว่าผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน เมื่อใด และถึงเหตุและพฤติการณ์ที่ตาย ตามประมวลกฎหมายอาญาวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150
คำสั่งชันสูตรพลิกศพ นายฟาบิโอ โปเลงกี
คดีหมายเลขดำที่ ช.10/2555
(เอกสารสรุปโดยศาลอาญากรุงเทพใต้)

วันนี้ เวลา 9 นาฬิกา ศาลอาญากรุงเทพใต้ได้อ่านคำสั่งใต่สวนชันสูตรพลิกศพกรณีการถึงแก่ความตายของนายฟาบิโอ โปเลงกี (Fabio Polenghi) ระหว่างการชุมนุมที่บริเวณถนนราชดำริ
คดีสืบเนื่องจากพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด ยื่นคำร้องขอให้ศาลใต่สวนชันสูตรพลิกศพการตายของนายฟาบิโอ โปเลงกี เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เวลากลางวัน ซึ่งน่าเชื่อว่าเป็นการตายที่เกิดขึ้นโดยการกระทำของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ ขอให้ศาลทำการใต่สวนและมีคำสั่งแสดงว่า ผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน ตายเมื่อใด เหตุและพฤติการณ์ที่ตาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150
 ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของผู้ร้องและมารดาผู้ตายแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าระหว่างวันที่ 12 มีนาคม 2553 ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 มีการชุมนุมทางการเมืองของประชาชนเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งใช้ชื่อว่า กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. เพื่อเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นใหม่ แต่นายกรัฐมนตรีปฏิเสธคำเรียกร้อง กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติจึงมีการชุมนุมทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง โดยมีการขยายพื้นที่การชุมนุมไปยังแยกราชประสงค์ ถนนราชดำริ ถนนเพลินจิต ถนนพระราม 1 ถนนพระราม 4 จนกระทั่งเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553 รัฐบาลพิจารณาเห็นว่าการชุมนุมทางการเมืองดังกล่าวก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยภายในประเทศ จึงได้ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานครและอีกหลายพื้นที่ นายกรัฐมนตรีได้ออกคำสั่งที่พิเศษ 1/2553 จัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อำนวยการ และมีข้าราชการทหาร ตำรวจ และพลเรือน เป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการและคำสั่งที่พิเศษ 2/2553 แต่งตั้งผู้กำกับการปฏิบัติงาน หัวหน้าผู้รับผิดชอบและพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาและมีอำนาจเช่นเดียวกับพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และได้มีการออกข้อกำหนดโดยประกาศของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ห้ามการชุมนุม การยุงยงให้เกิดความไม่สงบ ประกาศการห้ามใช้เส้นทางคมนาคม ห้ามใช้ยานพาหนะ รวมทั้งงดการให้บริการสาธารณูปโภค เช่น การตัดน้ำตัดไฟ ลดการใช้เรือโดยสารสาธารณะ และรถไฟฟ้าใต้ดิน เพื่อให้เจ้าพนักงานสามารถปฏิบัติหน้าที่แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินได้
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เวลา 5.45 น. ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินมีคำสั่งให้ทหารกองพันทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ซึ่งเป็นหจ้าพนักงานเข้าควบคุมพื้นที่บริเวณสวนลุมพินี ตั้งแต่แยกศาลาแดงจนถึงแยกราชดำริ และใช้รถสายพานลำเลียงในการเข้าทำลายแนวกั้นของผู้ชุมนุม เจ้าพนักงานดังกล่าวมีอาวุธปืนประจำกาย ได้แก่ อาวุธปืนเล็กยาวเอ็ม 16 อาวุธปืนเล็กนาวแบบ 11 (HK 33) อาวุธปืนลูกซอง และอาวุธปืนพก โดยได้รัคำสั่งให้ใช้กระสุนปืนจริงและกระสุนปืนซ้อมรบกับอาวุธปืนลูกซอง ส่วนอาวุธปืนเล็กยาวให้ใช้แต่เพียงกระสุนปืนซ้อมรบเพียงอย่างเดียว ระหว่างที่เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่และเคลื่อนเข้ากระชับพื้นที่นั้น ได้มีนักข่าวซึ่งรวมผู้ตาย เข้าไปทำข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อเหตุการณ์มีความรุนแรงมากขึ้น กลุ่มผู้ขุมนุม นักข่าว และผู้ตายได้วิ่งหลบหนีจากแยกราชดำริไปยังแยกราชประสงค์ เมื่อผู้ตายวิ่งมาถึงบริเวณเกาะกลางถนนหน้าบริษัทสายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด ปรากฎว่าผู้ตายถูdยิงล้มลง จากนั้นมีคนนำผู้ตายไปส่งที่โรงพยาบาลตำรวจ และผู้ตายถึงแก่ความตายที่โรงพยาบาล
มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า เหตุและพฤติการณ์แห่งการตายของผู้ตายเป็นอย่างไร เห็นว่า ผู้ร้องมีพยานปากนักข่าวในประเทศและต่างประเทศเป็นประจักษ์พยานยืนยันว่าเห็นผู้ตายถูกยิงล้มลงขณะที่วิ่งหลบหนีไปทางเยกราชประสงค์ระหว่างที่เจ้าหนักงานกำลังเคลื่อนมาจากแยกศาลาแดง พยานทั้งสองปากเป็นคนกลางไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับฝ่ายใด เชื่อว่าพยานเบิกความตามความจริงที่รู้เห็นมา เมื่อรับฟังประกอบความเห็นของพยานผู้เขี่ยวชาญ เชื่อได้ว่าวิถีกระสุนปืนยิงมาจากทางเเยกศาลาแดงซึ่งเป็นทิศทางที่เจ้าพนักงานกำลังเคลื่อนเข้ามาควบคุมพื้นที่จนถึงแยกราชดำริ อีกทั้งแพทย์ผู้ตรวจศพผู้ตายและผู้แปลผลการชันสูตรพลิกศพยังเบิกความสอดคล้องต้องกันโดยสรุปว่าบาดแผลของผู้ตายน่าจะเป็นบาดเเผลที่เกิดจากกระสุนปืนที่ยิงออกมาจากอาวุธปืนที่มีความเร็วสูง เมื่อไม่ปรากฎจากการไต่สวนว่ามีบุคคลอื่นเข้ามาก่อเหตุใดๆ ทั้งกระสุนปืนที่เจ้าพนักงานใช้ประจำการในการเข้าควบคุมพื้นที่บริเวณที่เกิดเหตุเป็นกระสุนปืนขนาด .223 ที่ใช้กับอาวุธปืนเล็กยาวเอ็ม 16 และอาวุธปืนเล็กยาวแบบ 11 (HK 33) ที่มีประสิทธิภาพในการยิงวิถีไกลและมีความเร็วสูง และได้ความจากนักข่าวต่างประเทศ พยานมารดาผู้ตาย ว่าในขณะเกิดเหตุพยานได้วิ่งไปทิศทางเดียวกับผู้ตายและถูกยิงด้วยกระสุนปืนในบริเวณใกล้เคียงกับผู้ตายที่บริเวณด้านหลังข้างขวาและกระสุนปืนฝั่งใน
 ต่อมาแพทย์ได้ผ่าตัดเอาหัวกระสุนปืนออก พบว่าเป็นหัวกระสุนปืนจากอาวุธปืนเล็กยาวเอ็ม 16 ซึ่งสอดคล้องกับอาวุธปืนที่เจ้าพนักงานใช้ประจำกายในวันเกิดเหตุ พฤติการณ์จึงเชื่อได้ว่ากระสุนปืนที่ยิงผู้ตาย ถูกยิงมาจากด้นเจ้าพนักงานที่กำลังเคลื่อนเจ้ามาควบคุมพื้นที่จากทางแยกศาลาแดงมุ่งหน้าไปแยกราชดำริ โดยยังไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้กระทำ
จึงมีคำสั่งว่า ผู้ตายคือนายฟาบิโอ โปเลงกี ถึงแก่ความตายที่โรงพยาบาลตำรวจ แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เวลา 11.30 น. เหตุและพฤติการณ์แห่งการตายสืบเนื่องมาจากการถูกยิงด้วยกระสุนปืน เป็นเหตุให้เกิดบาดแผลกระสุนปืนทะลุหัวใจ ปอด ตับ เสียโลหิตปริมาณมาก โดยมีวิถีกระสุนปืนยิงมาจากด้านเจ้าพนักงานที่กำลังเคลื่อนเข้ามาควบคุมพื้นที่จากทางแยกศาลาแดงมุ่งหน้าไปแยกราชดำริ โดยยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลงมือกระทำ
[Continue reading...]

ไต่สวนการตาย “นายถวิล คำมูล ” ศพแรก 19 พ.ค. 53 นายพันทหาร เบิกยันไม่มีการใช้กระสุนจริง

- 0 comments
24 มิ.ย.56 ที่ห้องพิจารณาคดี 909 ศาลอาญา รัชดา นัดไต่สวนคำร้องชันสูตรพลิกศพเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต คดีหมายเลขดำที่ อช.3/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 ยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนการเสียชีวิตของ นายถวิล คำมูล อายุ 38 ปี อาชีพรับจ้าง แนวร่วมกลุ่มประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ถูกกระสุนปืนลูกโดดที่ศีรษะทะลุเข้ากะโหลกศีรษะทำให้เนื้อสมองฉีกขาดมากชีวิตบริเวณแยกสารสิน ถนนราชดำริ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 ในเหตุการณ์ขอคืนพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ทหาร สมัยรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี
โดยในวันนี้อัยการได้นำพยานจำนวน 3 ปาก ประกอบด้วย พ.อ.โกญจนาท ธูปเทียนรัตน์ เสนาธิการกรมทหารม้าที่ 5 รักษาพระองค์, พ.ท.ณัฐพงศ์ บัวจันทร์ รองเสนาธิการ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์, พ.ท.จิรภัทร เศวตเศรณี หัวหน้าฝ่ายส่งกำลังบำรุง กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ขึ้นเบิกความสรุปว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 53 ขณะนั้นพยานทั้งสามซึ่งเป็นผู้นำหน่วยทหาร ได้นำกำลังทหารขอคือพื้นที่จากกลุ่ม นปช. บริเวณถนนวิทยุและอาคารเคี่ยนหงวน ตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ซึ่งจากการตรวจสอบภายในอาคารเคี่ยนหงวนพบกลุ่มผู้ต้องสงสัยประมาณ 10-20 คน จึงได้ตรวจค้นภายในตัวไม่พบอาวุธ แต่จากการตรวจสอบภายในอาคารพบอาวุธปืนเอ็ม 16 และ HK ประมาณ 3 กระบอก จึงได้นำตัวผู้ต้องสงสัยส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินี จากนั้นเป็นเรื่องของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการ
พยานเบิกความด้วยว่าทราบว่ามีกองกำลังติดอาวุธ แต่ไม่ทราบฝ่ายอยู่ในพื้นที่บริเวณสวนลุมพินีด้วย ทั้งนี้จุดที่พยานได้นำกองกำลังทหารเคลื่อนพลนั้นไม่ได้มีเหตุการณ์ปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมแต่อย่างใด และยืนยันว่าการปฏิบัติการดังกล่าวทหารใช้เพียงอาวุธปืนลูกซองและกระสุนยางโดยการยิงขึ้นฟ้าขู่ผู้ชุมนุมเท่านั้น ไม่มีการใช้กระสุนปืนจริงแต่อย่างใด อีกทั้งการใช้กระสุนจริงจะต้องขออนุญาตจากผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นก่อน ส่วนปฏิบัติการกระชับพื้นที่ 19 พ.ค. นั้น พยานไม่ทราบว่ามีผู้เสียชีวิต แต่ได้รับทราบจากข่าวสารในเวลาต่อมา
ภายหลังพยานเบิกความแล้วเสร็จ ศาลนัดไต่สวนครั้งต่อไปในวันที่ 29 ก.ค. นี้ เวลา 09.00 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศภายในห้องพิจารณาคดี มีเจ้าหน้าที่ทหารกว่า 20 นาย ได้เข้าร่วมรับฟังการไต่สวนและมาให้กำลังใจผู้บังคับบัญชา แต่ไม่มีญาติฝ่ายผู้เสียชีวิตเข้าฟังการไต่สวนแต่อย่างใด
ด้านนายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความญาติผู้เสียชีวิต กล่าวว่า สำหรับการไต่สวนนัดนี้เป็นนัดที่ 2 ซึ่งอัยการได้นำเจ้าหน้าที่ทหารผู้นำหน่วยในการกระชับพื้นที่บริเวณถนนวิทยุและอาคารเคี่ยนหงวน ขึ้นเบิกความ แต่พยานไม่ได้อยู่บนถนนสารสินจึงไม่เห็นผู้ตายและไม่ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงไม่ค่อยมีผลต่อรูปคดีมากเท่าใด
สำหรับถวิล คำมูล เขาถูกยิงเวลาประมาณ 7.30 น. วันที่ 19 พ.ค.53 บริเวณป้ายแท็กซี่อัจฉริยะ ใกล้สี่แยกศาลาแดงถนนราชดำริ ถือเป็นศพแรกของวันที่ 19 พ.ค.53 โดยผู้ที่เข้าไปช่วยเหลือหลายคนถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ไม่มีใครนำร่างถวิลไปส่งโรงพยาบาลได้ จนกระทั่งถูกหน่วยกู้ชีพที่มากับเจ้าหน้าที่ทหารที่เข้ามาทางศาลลาแดงนำร่างไป พร้อมกับร่างของชายไม่ทราบชื่อถอดเสื้อนอนเสียชีวิตจากการถูกยิงที่ศีรษะบริเวณเต๊นท์ผู้ชุมนุมใกล้ร่างของถวิล โดยขณะเกิดเหตุทหารกำลังเข้าพื้นที่ดังกล่าวอย่างน้อย 2 ทาง คือ บริเวณแยกศาลาแดง ซึ่งอยู่ไม่ไกลไปทางด้านหลังป้ายแท็กซี่อัจฉริยะนั้น และทางด้านสวนลุมพินี ซึ่งอยู่ทางซ้ายของภาพ(ด้านบน)
ทั้งนี้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2554 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ขณะนั้น ได้ชี้แจงต่อรัฐสภากรณีการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในวันที่ 19 พ.ค.53 ว่าชายดังกล่าวเสียชีวิตก่อนหน้าการปฏิบัติการของทหารเนื่องจากเลือดได้แห้งหมดแล้ว โดยนายสุเทพ ระบุว่า “ มีคนเสียชีวิตจริง ๆ 6 คน นับรวมคนที่เสียชีวิตมาก่อนตอนที่เราเข้าไปถึงตอน 7-8 โมงเช้า เห็นนอนอยู่แล้ว ที่ข้างเต้นท์ที่สวนลุมพินีเลือดแห้งหมดแล้ว 2 คนด้วย”
ถวิล ถูกยิงก่อนหน้าที่นายฟาบิโอ โปเลนกี ช่างภาพชาวอิตาลี จะถูกยิงเสียชีวิตในบริเวณใกล้เคียงกัน ซึ่งในคดีนายฟาบิโอนั้น เมื่อวันที่ 29 พ.ค.ที่ผ่านมา ศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำสังว่าเขาเสียชีวิตจากกระสุนที่มาจากฝั่งทหาร อย่างไรก็ตาม ศาลระบุว่า ยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลงมือกระทำ
[Continue reading...]

“ชัย ราชวัตร” เข้าพบ ตร. ยัน ตัวเองไม่ผิด

- 0 comments
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 24 มิ.ย. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) นายสมชัย กตัญญุตานันท์ หรือ ชัย ราชวัตร นักเขียนการ์ตูนล้อการเมืองชื่อดัง พร้อมด้วยทีมทนายความ เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบช.น. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ หลังจากแสดงความคิดเห็นทางการเมืองผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว

ทั้งนี้ ทางตำรวจได้สอบปากคำ พร้อมทำประวัติโดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้น ทีมทนายความได้นำใบแถลงการณ์ของนายสมชัยมาแจกจ่ายให้สื่อมวลชน ข้อความระบุว่า   "เรียนสื่อมวลชนที่รักทุกท่าน วันนี้ผมขอขอบพระคุณทุกท่านที่เดินทางมาทำข่าว และขอกราบเรียนพี่น้องประชาชนว่า ที่ผมเขียนข้อความลงในเฟซบุ๊กว่า โปรดเข้าใจ กระหรี่ไม่ใช่หญิงคนชั่ว กระหรี่แค่เร่ขายตัว แต่หญิงคนชั่วเที่ยวเร่ขายชาติ ที่เป็นปัญหาอยู่นั้น ผมไม่มีเจตนาที่จะดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทบุคคลใด โดยเฉพาะเพศสตรี ผมมั่นใจว่า ผมเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ผมพร้อมที่จะพิสูจน์ความจริงต่อศาล แต่รายละเอียดข้อเท็จจริงผมยังไม่สามารถให้การได้ในตอนนี้ และจะขอไปให้การในชั้นศาล สำหรับการต่อสู้คดีนั้น ผมได้จัดให้ทางทนายความและฝ่ายกฎหมายทำหน้าที่ในการต่อสู้คดีให้กับผมอย่างเต็มที่และดีที่สุด แต่ยังไม่สามารถให้สัมภาษณ์ได้ในขณะนี้ เพื่อประโยชน์ต่อรูปคดีครับ ขอบคุณครับ ชัย ราชวัตร"

ต่อมาเวลา 11.40 น. ภายหลังสอบปากคำเสร็จสิ้น นายสมชัย ได้เดินทางออกจาก บช.น. โดยไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ แต่ขณะนั่งรถกลับได้เปิดกระจกรับดอกไม้จากกลุ่มผู้มาให้กำลังใจประมาณ 50 คน ที่อยู่บริเวณหน้า บช.น.

ด้าน พล.ต.ต.อนุชัย กล่าวว่า ทางตำรวจได้เชิญนายสมชัย มารับทราบข้อกล่าวหา กรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความ แจ้งความกับนายสมชัยไว้ที่สน.ดุสิต ในข้อหาข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ หลังจากแสดงความคิดเห็นทางการเมืองผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เบื้องต้นนายสมชัยยอมรับว่าเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าวจริง แต่ขอปฏิเสธให้เหตุผลและจะขอให้การในชั้นศาล หลังจากนี้จะยังไม่เรียกนายสมชัย มาสอบปากคำอีก แต่จะสอบปากคำเพิ่มเติมในส่วนของนักวิชาการ ถามความคิดเห็นว่าเข้าข่ายหมิ่นหรือไม่ ก่อนดำเนินการต่อไป. 
[Continue reading...]

ดาวแดงหลงยุค

- 0 comments
การที่ได้เห็นคนแต่งชุดยูนิฟอร์มคอมมิวนิสต์เดินขบวนกลางเมืองหลวง ทั้งยังปักหลักเป็นเวลานานหน้าพระบรมมหาราชวังอย่างไม่สะทกสะท้าน นับเป็นเรื่องที่แปลกพออยู่แล้ว การที่ได้เห็นคอมมิวนิสต์กลุ่มนี้ประกาศจะปกป้องราชบัลลังก์และเรียกร้องรัฐบาลพระราชทานยิ่งเป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการ ต่อให้เลนิน ประธานเหมา หรือ ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร กลับชาติมาเกิดก็เถอะ แต่นี่คือการปรับตัวรูปแบบหนึ่งของคอมมิวนิสต์และคอมมิวนิสต์แบบไทยๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนที่อื่น

            ลัทธิคอมมิวนิสต์ก็เหมือนสิ่งมีชีวิต มีพัฒนาการเหมือนอย่างอื่น เริ่มจากมาร์กซิสต์ที่มีแค่ตำรา แต่เลนินเอาไปผูกกับชนชั้นกรรมาชีพและพรรคที่เป็นหัวหอก จุดชนวนโค่นล้มรัฐบาลกษัตริย์รัสเซียตั้งเป็นโซเวียตได้สำเร็จเมื่อต้นศตวรรษที่แล้ว แนวคิดสังคมนิยมสุดโต่งไปทางซ้ายและใช้พรรคเป็นตัวบงการวิถียังดำเนินต่อไปอีกร่วมร้อยปี แต่ในบางพื้นที่ มีการปรับนิดหน่อยโดยจีนใช้ชาวไร่ชาวนาเป็นพลังขับเคลื่อนแทนกรรมกร สองคู่หูมหาอำนาจคอมมิวนิสต์แพร่กระจายความคิดและอาวุธ จนเกือบพิชิตโลกได้เมื่อ 40 ปีก่อน มาสะดุดเอาที่ไทย เพราะความสำเร็จของหลายๆ ฝ่ายที่สามัคคีกันต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นสถาบัน ศาสนา กองทัพและประชาชน

            ทุกวันนี้แทบจะกล่าวได้ว่า การยึดแนวทางมาร์กซิสต์หรือเลนินนิสต์ เป็นเรื่องล้าสมัยที่มีแต่ในการศึกษาหรือปฏิบัติโดยคนเฉพาะกลุ่มที่น้อยเต็มทน ไม่เกรียงไกรเหมือนอดีตอีกแล้ว คอมมิวนิสต์ในที่ต่างๆ ปรับตัวแปลกๆ กันออกไป เช่น จีน ลาว เวียดนาม ถึงยังรักษาระบอบพรรคเดี่ยวเอาไว้ แต่ก็กลายเป็นคอมฯ เฉพาะการเมือง ส่วนเศรษฐกิจเปิดท้ายโล่งโจ้ง คิวบาก็เหลือเเต่เปลือกของตำนานเช ทุนนิยมที่กินได้เข้ามาตามถนนแล้ว เกาหลีเหนือนั้นก็เป็นคอมฯ แบบชูผู้นำเป็นหลัก ไม่เน้นตำราอื่นนอกจากตำราของคิม อิล ซุง สำหรับขบวนการคอมฯ ในประเทศอื่นๆ นั้น ก็มีที่เนปาล ขบวนการเหมาอิสต์เก่งกล้าขนาดล้มสถาบันกษัตริย์เข้าปกครองประเทศได้ แต่ก็ไม่ยักประกาศให้ประเทศเป็นคอมมิวนิสต์ เพราะรู้ดีว่าพาประเทศไปไม่ไหวแน่ ที่อินเดียกับบางประเทศในอเมริกาใต้ เช่น เปรู และโคลอมเบีย ก็มีขบวนการเหมาอิสต์ยังรบในป่าแถวตะวันออกของประเทศ พวกนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากพี่ใหญ่คอมมิวนิสต์แต่อย่างใด จึงออกแนวเอาอุดมการณ์มาหากินร่วมกับอาชญากรรมเสียมากกว่า ส่วนที่เวเนซุเอลาและโบลิเวีย ผู้นำเป็นฝ่ายซ้ายแต่ประเทศก็ไม่ได้ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ สำหรับพรรคคอมมิวนิสต์ในยุโรปนั้นก็ยังมีลงแข่งขันชิงชัยในการเลือกตั้งบ้าง แต่ก็มักจะแพ้เขา

            ที่แปลกสุดคือ คอมมิวนิสต์ ไทย เรานี่เอง ที่พัฒนาตนเองแบบฉีกขั้วจากซ้ายสุดไปขวาสุดได้ยังไงหนอ แบ่งอย่างคร่าวๆ ว่าเดิมทีคอมมิวนิสต์ในไทยประกอบด้วยกลุ่มคนสองแบบที่มาจากโลกที่ต่างกัน พวกหนึ่งเป็นคนเมืองผู้มีอุดมการณ์ตามตำรา เห็นความไม่ยุติธรรมจากรัฐในภาพรวม บอบบางกว่าอีกพวก คนเหล่านี้หนีไปสมทบกับพวกที่สองหลัง 6 ตุลาคม 2519 แต่ก็ยังเข้ากับวิถีชีวิตแบบป่าไม่ค่อยได้ จึงทยอยออกมามอบตัวก่อน ส่วนพวกที่สองเป็นชาวไร่ชาวนาถูกกดขี่ตรงจากเจ้าหน้าที่รัฐตามท้องถิ่นต่างๆ พวกนี้รวมตัวเป็น พคท.ที่ต่างๆ ได้รับการฝึกอาวุธจากคอมมิวนิสต์สากล รบกับรัฐบาลอยู่หลายปี แต่ด้วยการที่มหาอำนาจไม่เอาด้วยและวัตรปฏิบัติที่ต่างจากยูโทเปีย จึงพ่ายแพ้เลิกเป็นคอมมิวนิสต์ กลายเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยดีกว่า นึกว่าจมหายไปกับหน้าประวัติศาสตร์แล้ว กลับฟื้นคืนชีพมาได้ไม่ถึงปีมานี้ และมาแนวใหม่ถึงขั้นขอนายกพระราชทานเพื่อล้มรัฐบาลประชาธิปไตยเสียด้วย

            คอมมิวนิสต์ใหม่นี้อาจเป็นลูกหลาน พคท.อีสานใต้ หรือคนที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย แต่รักในตำนานเช กูวาร่า หรือแสร้งเป็นคอมฯ เพื่อสมประโยชน์โดยผู้อยู่เบื้องหลังที่อยู่ตรงกันข้ามกับรัฐบาลก็แล้วแต่ แต่การที่คอมมิวนิสต์ไทยกลายจากซ้ายสุดขั้วไปขวาสุดโต่งจนเหมือนตลกร้ายทางประวัติศาสตร์อย่างนี้ ใครควรได้รับเครดิตในเรื่องนี้ จะเป็นสถาบัน ศาสนา กองทัพและประชาชน ผู้เอาชนะคอมมิวนิสต์เมื่อ 30 ปีก่อน จนต้องยกเลิกแนวคิดเดิมอย่างสิ้นเชิง หรือจะเป็นทักษิณ ผู้ที่คอมมิวนิสต์เกลียดชังอย่างหนักจนต้องยอมรับสถาบันเพื่อโค่นระบอบทักษิณให้ได้ หรือจะเป็นคนซึ่งอยู่เบื้องหลังหน้ากากขาวกับม็อบสารพัดชื่อ
[Continue reading...]
 
Copyright © . Yak Ratchaprasong - Posts · Comments
Theme Template by BTDesigner · Powered by Blogger