วิกฤตต้มยำกุ้ง เป็นต้นเหตุของความเสียหายทางเศรษฐกิจ
ซึ่งเป็นผลจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ในสมัย นายกพล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ
ประเทศไทยมีการพัฒนาการผลิตเพื่อส่งออก ที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเกิดการขาดดุลอย่างต่อเนื่อง เพราะการส่งออกที่หดตัว
มีการลงทุนที่เกินตัว โดยช่วง พ.ศ. 2530 ถึง พ.ศ. 2539 กิจการอสังหาริมทรัพย์ เช่น สนามกอล์ฟ ที่อยู่ อาคาร สวนเกษตร หรือสำนักงานต่าง ๆ เกิดขึ้น และเติบโตมาก แต่มีการกู้ยืมเงินต่างประเทศ และการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อมาลงทุน ต่อมาราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการจึงเข้ามาลงทุนกันจำนวนมากเพื่อเก็งกำไร ก่อให้เกิด “ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่” ( Economic Bubble / Bubble Economy ) เป็นภาวะที่ราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มสูงกว่าความเป็นจริง และเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการลงทุนเพิ่มขึ้น มีการขยายตัวเหมือนฟองสบู่ เราอาจเคยเจอคำว่า “ภาวะฟองสบู่แตก” นั่นคือ ภาวะฟองสบู่ราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อราคาเริ่มลดลง ผู้ประกอบการจะเลิกลงทุน เกิดการหดตัวเหมือนฟองสบู่ที่หดตัวอย่างรวดเร็ว และเกิดปัญหาหนี้เสียขึ้นตามมา เหมือนฟองสบู่ที่แตก
พ.ศ. 2539 ถึง พ.ศ. 2540 รัฐบาลไม่เชื่อมั่นสถาบันการเงินในประเทศ และสั่งปิดสถาบันการเงินไปถึง 58 สถาบัน โดยรัฐบาลต้องใช้เงินสนับสนุนสถาบันการเงินเหล่านั้นถึง 6 แสนล้านบาท จาก “กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน” ซึ่งเป็นหน่วยงานของธนาคารแห่งประเทศไทย
มีนักลงทุนต่างชาติ มีการจัดตั้งกองทุน “Hedge Funds” เพื่อโจมตีค่าเงินบาทไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงนำเงินทุนสำรองถึง 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐมาปกป้องค่าเงินบาท เมื่อเงินสำรองมีน้อยลง นายเริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจึงประกาศ “ลอยตัวค่าเงินบาท” เมื่อ 2 ก.ค. 2540 เป็นการเริ่มต้นวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง
พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ จุดแตกหักของวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้เกิดขึ้นตอนเช้าตรู่วันที่ 2 กรกฎาคม 2540 เมื่อรัฐบาลประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวอย่างทันทีทันใด จากเดิมประมาณ 25.60 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐ เป็น 28.75 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง และค่าเงินบาทอ่อนลงตามลำดับ ในช่วงต่ำสุดเคยตกลงถึง 55 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐ
วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ นอกจากทำให้ธุรกิจเอกชน เช่น บริษัทบ้านจัดสรร อุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมผลิตวัสดุก่อสร้าง สถาบันการเงิน ธนาคาร ธุรกิจการพิมพ์การโฆษณา ถูกกระทบอย่างรุนแรง หลายแห่งต้องปิดกิจการ หลายแห่งมีหนี้ท่วมตัว พนักงานจำนวนมากถูกปลดออกจากงาน และรัฐบาลถูกกดดันให้ลาออกแล้ว วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ยังส่งผลให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศมาเลย์เซีย อินโดนีเซีย เกาหลี ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ รัสเซีย และประเทศอื่นๆ มากบ้างน้อยบ้าง
ความพยายามของธนาคารแห่งประเทศไทยในการพยุงค่าเงินบาท ทำให้เงินสำรองเงินตราต่างประเทศหมดคลังจนต้องขอกู้จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศจำนวน 17,200 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อพยุงฐานะทางการเงินของประเทศ และรัฐบาลไทยจำต้องยอมรับเงื่อนไขต่าง ๆ ที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศกำหนดขึ้น เช่น งบประมาณแผ่นดินจะต้องตั้งเกินดุล 1 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ภาษี มูลค่าเพิ่มจะต้องเพิ่มจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 10 ต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
สาเหตุของวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ เข้าใจกันว่าเกิดจากการดำเนินนโยบายผิดพลาดที่สำคัญ 2 ประการของธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แก่
1) การใช้เงินกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินไปช่วยเหลือสถาบันการเงินจนเกิดความเสียหายเกินที่จะเยียวยา และจำต้องปิดบริษัทไฟแนนซ์ 56 แห่ง
2) การสูญเสียเงินสำรองระหว่างประเทศในการปกป้องการโจมตีค่าเงินบาท จนนำไปสู่วิกฤตเงินทุนสำรอง ทำให้เงินบาทขาดเสถียรภาพนับตั้งแต่การตัดสินใจเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนจากระบบตะกร้าเงินมาเป็นระบบลอยตัว
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 สาเหตุ 2 ประการข้างต้นมีที่มาจากการเร่งรัดเปิดระบบวิเทศธนกิจ หรือ BIBF (Bangkok International Banking Facility) เมื่อปี 2536-2537 ทำให้เกิดการก่อหนี้ต่างประเทศของภาคเอกชนจำนวนมหาศาลถึง 70,000 ล้านบาท ในขณะที่ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐถูกตรึงค่าอยู่ที่ 25.60 บาท ต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐ แต่เมื่อปล่อยค่าเงินบาทลอยตัว ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐสูงถึง 45-50 บาท ต่อดอลล่าร์สหรัฐในช่วงหลังวิกฤตได้ไม่นาน ทำให้หนี้เงินกู้ของบริษัทเอกชนเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว และพากันล้มละลายหรือมีหนี้ท่วมตัว
วันที่ 6 พฤศจิกายน 2540 พลเอกชวลิตก็ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง
นายชวน หลีกภัย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในอีก 3 วันต่อมา ด้วยฝีมือการจัดตั้งรัฐบาลชั้นเซียนของพลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ โดยเอาชนะอีกฟากหนึ่งที่พยายามชูพลเอกชาติชายเป็นนายกฯ
ชัยชนะครั้งนี้มีเหล่าพลพรรค “งูเห่า” ทั้ง 12 คน แห่งพรรคประชากรไทย และนายมนตรี พงษ์พานิช แห่งพรรคกิจสังคม เป็นตัวแปรสำคัญ (การเป็นรัฐบาล ไม่ต่างอะไรกับนายอภิสิทธิ์)
นี่คือจุดเริ่มต้นของรัฐบาล นายชวน หลีกภัย
วันที่ 20 พ.ย. 2540 ซึ่งเป็นวันที่รัฐบาลชวน 2 ได้แถลงนโยบายอย่างสวยหรู โดยการกำหนดแผนดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน และวางแผนไปถึงระยะยาว ขณะนั้น นโยบายเร่งด่วนที่ประกาศคือ การเสริมสร้างเสถียรภาพและความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจ การแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินและการเสริมสภาพคล่องทางธุรกิจ และได้ออกมาตรการคือ ต้องแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการชั่วคราวทันที โดยให้องค์การเพื่อการปฏิรูปสถาบันการเงิน (ปรส.) ดำเนินการ 3 แนวทางคือ
- กลุ่มบริษัทที่สามารถเพิ่มทุนให้เปิดดำเนินการได้ทันที
- กลุ่มที่จำเป็นต้องควบรวมให้จัดการให้มีการควบรวมกิจการทันที
- กลุ่มบริษัทที่มีปัญหาและต้องปิดกิจการให้จัดการแบ่งแยกสินทรัพย์ที่มี คุณภาพดี และเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินภายในหรือต่างประเทศรับไปบริหารส่วนสินทรัพย์ ดี
ผลที่ตามมาจากมาตรการข้างต้นคือ
- มีการปิดสถาบันการเงิน 56 แห่งและอนุมัติให้ 2 แห่งเปิดดำเนินการต่อไปได้
- หลัง การปิดสถาบันการเงินไม่ได้แยกสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดีให้สถาบันการเงินอื่นไป บริหาร เพราะผู้บริหารปรส. อธิบายว่า ปรส.ไม่ได้มีหน้าที่ไปแยกหนี้ดี-หนี้เสีย ไม่มีหน้าที่ประนอมหนี้ ไม่มีหน้าที่รักษาค่าของสินทรัพย์ให้คงอยู่หรือดีขึ้น ปรส.มีหน้าที่เพียงเลหลังขายสินทรัพย์ราคาถูกๆ เท่านั้น
- วัน ที่รัฐบาลชวน หลีกภัยรับงานไปจากรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ทรัพย์สินของบริษัทเงินทุนมีอยู่ประมาณ 984,000 ล้านบาท กองทุนฟื้นฟูในวันนั้นถือหลักประกันของบริษัทเงินทุนเหล่านี้ในมูลค่า 984,000 ล้านบาท ถ้าหากมีการควบรวมแยกหนี้ดี-เสีย จริงๆ ตามแผนที่ทำไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว (เพราะทุกบริษัทได้มีการ Due Diligence และมีแผนควบรวมไว้เรียบร้อยแล้ว) ปัญหาก็คงไม่เกิดขึ้น
ทำให้เกิดความเสียหายสูงถึง 7 แสนล้านเป็นเพราะความบกพร่องผิดพลาดและการปฏิบัติที่ไม่โปร่งใส ของ ปรส.ที่นำสินทรัพย์ดีๆ ไปขายแบบเลหลัง
นโยบายดอกเบี้ย - สถาบันการเงิน 3 ปีเสียหาย
2.7 ล้านล้าน
รัฐบาลชวน หลีกภัย
เข้ามาบริหารประเทศตั้งแต่วันที่ 17 พ.ย. 40 นับเป็นเวลาเกือบ 3 ปี
รัฐบาลมีนโยบายและมาตรการออกมาแก้ไขวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ ภายใต้การควบคุมของหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ
นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รมว.กค. และ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล
เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
แนวทางดำเนินมาตรการทางการเงินการคลังเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลตาม
รายงานของกระทรวงการคลังมี 6 ครั้ง (ไม่นับมาตรการฉบับ ครม.31 ตุลาคม 2543) และเริ่มในหนังสือแสดงเจตจำนงที่ทำไว้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ตั้งแต่ฉบับที่ 2 เป็นต้นมา
จากผลการสำรวจคนในวงการ
เศรษฐกิจการเงินการธนาคารทั้งนายแบงก์ ผู้ประกอบการ นักวิชาการ
และเจ้าหน้าที่สำนักวิจัยเพื่อการวิเคราะห์และประเมินผลนโยบายมาตรการสถาบัน
การเงิน สรุปผลได้ว่า ล้มเหลวและน่าผิดหวังกับรัฐบาลชุดนี้
สามารถพิสูจน์ความเสียหายในแต่ละกรณีทั้งการแก้ปัญหาสถาบันการเงินและนโยบาย
อัตราดอกเบี้ย ถมสถาบันการเงินสูญเสีย 1.3 ล้านล้าน
การแก้ปัญหาสถาบันการเงิน
ประกอบด้วย
1) การประมูลขายสินทรัพย์ของสถาบันการเงิน
56 แห่ง
องค์การปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.)
ได้จัดตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ ถูกปิด 56 บริษัท
ปรส.ทำหน้าที่จัดการสินทรัพย์และนำออกขายเพื่อนำรายได้ส่งคือแก่เจ้าหนี้ของ
บริษัทและกองทุนฟื้นฟู
ในวันที่ 23 มิถุนายน 2541 รัฐบาลได้ออกพระราชกำหนด
(พ.ร.ก.) ปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2541 เพื่อให้ผู้ซื้อทรัพย์สินจาก
ปรส.ได้กรรมสิทธิ์สมบูรณ์ จากนั้นได้เริ่มประมูลสินทรัพย์หลักครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2541
จากตัวเลขสรุปผลการ
จำหน่ายสินทรัพย์ ณ วันที่ 13 สิงหาคม 2542 ปรากฏว่าจำหน่ายสินทรัพย์
ปรส.ได้ทั้งสิ้น 327,714 ล้านบาท ในขณะที่ราคาประเมินสินทรัพย์เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2540 เท่ากับ 851,000
ล้านบาท
การบริหารจัดการอย่างไม่มีประสิทธิภาพทำให้เกิดการขาดทุนถึง 523,286
ล้านบาท
ผลกระทบที่ตามมาทำให้กองทุนฟื้นฟูต้องประสบปัญหา ซึ่งชดเชยด้วยภาษีอากรจากประชาชน
2) มาตรการ
4 สิงหาคม 2541 ได้แก่
โครงการช่วยเพิ่มเงินกองทุนชั้นที่ 1 และ 2 วงเงิน 300,000
ล้านบาท
การแทรกแซงสถาบันการเงิน 2 ธนาคารและบริษัทเงินทุน 12 แห่ง ที่ขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรงและการกำหนดควบรวมกิจการขาย
และกิจการธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ มหานคร นครหลวงไทย และธนาคารศรีนคร
มีสถาบันการเงินขอรับ
ความช่วยเหลือ รวมคิดเป็นมูลค่า 72,000 ล้านบาทจากวงเงิน 3 แสนล้านบาท หรือร้อยละ 24 ขอวงเงิน "มาตรการ 14 สิงหาคมจึงยังไม่สามารถช่วยให้ธนาคารเพิ่มทุนได้อย่างเพียงพอกับความเสีย
หาย" ในขณะที่ออกมาตรการหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เท่ากับ 36.20%
เมื่อประเมินช่วงเวลา 1 ปีหลังจากมาตรการจะพบว่า
หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้สูงขึ้นเป็น 47%
"มาตรการ
14 สิงหาคม นี้เป็นนโยบายที่สถาบันการเงินไม่ตอบรับเนื่องจากเกรงว่าจะถูกรัฐแทรกแซง
เห็นได้จากการที่ทางธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย และธนาคารกรุงศรีอยุธยา
ได้ออกตราสารประเภท CAPS หรือ SLIPS เองเพื่อทดแทนเงินกองทุนที่ลดลงด้วยปริมาณที่มากถึง
1.08 แสนล้านบาท
โดยจำเป็นต้องให้ผลตอบแทนที่สูงเพื่อจูงใจนักลงทุน
ทำให้อัตราดอกเบี้ยจ่ายสูงประมาณ 11% สูงกว่าดอกเบี้ยตลาดประมาณ 4% คิดเป็นความเสียหายจากต้นทุนที่เพิ่มกว่ากู้ปกติ
4,321.2
ล้านบาท
และเมื่อประมาณความเสียหายจากการขายธนาคารที่รัฐเข้าไปแทรกแซงตามมาตรการ 14 ส.ค.
ทำให้รัฐบาลต้องขาดทุนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเอ็นพีแอลของธนาคารที่รัฐยึดมาสูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท
จากการประเมินการขาย
ธนาคารรัฐต้องรับผิดชอบความสูญเสีย (loss sharing) 85% ของเอ็นพีแอล และ Yield
maintenance เท่ากับ 1% ของสินเชื่อที่ไม่ได้รายได้
"คำนวณได้ว่าจะเกิดความ
สูญเสียที่แน่ชัดแล้ว 40,000 ล้านบาทต่อแห่ง
และหากการดำเนินงานของธนาคารต่อไปประสบกับภาวะดังเช่นที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน นี้
คาดว่า ความเสียหายจะเพิ่มขึ้นถึง 136,000 ล้านบาทต่อแห่ง"
เมื่อรวมทั้ง 3 ธนาคารคือ ธนาคารศรีนคร นครธน
และธนาคารรัตนสิน รวมเป็นมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นแน่นอนแล้วรวมเท่ากับ 120,000
ล้านบาท
และสามารถมีความเสียหายในอนาคตได้รวมมากถึง 408,000 ล้านบาท
3) มาตรการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์
(AMC) ของธนาคารกรุงไทย
เพื่อโอนหนี้เสียออกจากธนาคารกรุงไทย 537,000 ล้านบาท เป็นการโอนหนี้เสียจำนวนดังกล่าวออกจากระบบบัญชีของธนาคารกรุงไทย
ซึ่งบริษัทบริหารสินทรัพย์จะให้กองทุนฟื้นฟูอาวัลตั๋วเงินเพื่อใช้ในการซื้อ
หนี้ดังกล่าว แต่ปรากฏว่า
แทนที่จะซื้อหนี้ในราคาตลาดปัจจุบันกลับจะซื้อในราคาเต็มตามมูลค่าทางบัญชี
(สังเกตได้จากผลรวมของเงินที่อุดหนุนให้แก่ธนาคารและบริษัทบริหารสินทรัพย์
ทั้งหมด) เป็นราคาที่สูงกว่าราคาตลาดประมาณ 2 เท่า
ทำให้เกิดความเสียหายโดยจะตกเป็นหนี้ของกองทุนฟื้นฟูและรัฐบาลในที่สุด ประมาณ 268,500
ล้านบาท
4) การออกพันธบัตรเพื่อชดเชยความเสียหายของกองทุนฟื้นฟู
ระหว่าง พ.ค. - ต.ค. 2541 ได้แก่ งวดวันที่ 10 พ.ค. 2541 งวดแรกและงวดสองรวม 150,000
ล้านบาท มีอายุ 1 ปี ดอกเบี้ย 12.75%
วันที่ 31ส.ค. 2541 งวดสาม 50,000
ล้านบาท แบ่งเป็น 50,000
ล้านบาทระยะเวลา 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 8.25% และอีก 50,000
ล้านบาท ระยะเวลา 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 8.5% ยังมีการออกพันธบัตรในหลาย ๆ
คราวอีกประมาณ 90,000 ล้านบาท และต้องมีการออกเพิ่มเติมจนกระทั่งครบ 500,000
ล้านบาท
เพื่อชดเชยความเสียหายเต็มจำนวนให้กับกองทุนฟื้นฟู
รวมออกพันธบัตรทั้งสิ้นที่ออกไปแล้เท่ากับ 390,000 ล้านบาท แต่ต้องครบจำนวนที่ 500,000
ล้านบาท
ส่วนนี้เป็นส่วนที่ช่วย
เหลือกองทุนฟื้นฟูที่ได้รับความเสียหายจากการประมูล
ปรส.โดยเป็นการออกพันธบัตรเป็นงวด ๆ ขณะนี้ออกไปแล้วประมาณ 390,000
ล้านบาท
แต่ต้องมีการออกพันธบัตรให้ครบตามจำนวนทั้งสิ้น 500,000 ล้านบาท
เมื่อประเมินภาระดอกบี้ยของพันธบัตรเฉพาะส่วนที่ออกไปแล้วประมาณ 390,000
ล้านบาท
ภาระที่ต้องจ่ายรวมทั้งหมดประมาณ 114,830 ล้านบาท
(คิดรวมจนเสร็จสิ้นระยะเวลาแล้ว)
ยังมีความเสียหายจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่รัฐต้องจ่ายแพงในช่วงภาวะอัตรา
ดอกเบี้ยสูงในการออกพันธบัตรเพื่อชดเชยความเสียหายของกองทุนฟื้นฟู 4 งวด รวมมูลค่า 3 แสนล้านบาท
ต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินกว่าอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในต่างประเทศ 6%
(U.S. Government securities ระยะ 7 ปี)
คำนวณเป็นความเสียหายที่ต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยสูงเกินจริงรวมเท่ากับ 14,625
ล้านบาทต่อปี
รวมเป็นความเสียหายทั้งหมดจากช่วงออกพันธบัตรจนถึงปัจจุบัน (ตุลาคม 2543) เท่ากับ 29,250
ล้านบาท
สรุปผลความเสียหาย
จากการดำเนินนโยบายการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน กรณี
ปรส.กรณีกองทุนฟื้นฟูและมาตรการ 14 สิงหาคม รวมทั้งสิ้น 1,348,188
ล้านบาท
นโยบายดอกเบี้ยผิดพลาดเสียหาย 1.3 ล้านล้านบาท
นโยบายอัตราดอกเบี้ยของ
รัฐบาลชวน แบ่งเป็น ช่วงครึ่งหลังของปี 2540 ถึงไตรมาส 2 ปี 2541 ใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยสูง
เนื่องจากรัฐบาลต้องการสร้างเสถียรภาพของค่าเงินบาทด้วยการตรึงอัตรา
ดอกเบี้ยสูงเกินกว่าค่ามาตรฐานตามภาวะทางการเงินในขณะนั้น ในหนังสือแสดงเจตจำนงฉบับที่
2 (พ.ย. 2540) กำหนดให้อัตราดอกเบี้ย
อินเตอร์แบงก์อยู่ระหว่าง 15 - 20% และต่อมาอยู่ในระดับสูงกว่า 20% จนถึงไตรมาส 2 ปี 2541
"แต่เนื่องจากรัฐบาลตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงนานเกินไปจนทำให้อัตรา
ดอกเบี้ยระยะยาวคืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงตามไปด้วยในขณะที่การแก้ไขปัญหา
สถาบันการเงินยังไม่คืบหน้า
การใช้อัตรดอกเบี้ยสูงยิ่งก่อให้เกิดปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ใน
สถาบันการเงินและทำให้ต้นทุนในการกู้ยืมของภาคการผลิตสูงขึ้น
เกิดปัญหาสภาพคล่องตึงตัวอย่างยาวนาน
ธุรกิจล้มละลายส่งผลกลับเป็นวงจรสู่สถาบันการเงิน" ช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำที่สุดคือช่วงไตรมาส
3 ปี 2541 ซึ่งเศรษฐกิจไทยหดตัวร้อยละ 10.4 มีคนว่างงานประมาณ 1.423 ล้านคน
(ถ้าประเมินขั้นสูงเท่ากับ 2.1 ล้านคน) และ NPL ระบบเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 42.32 จากช่วงต้นปีร้อยละ 20.92
ไตรมาส 3 ปี 2541 ถึงปัจจุบัน ใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำ
"ภายหลังไตรมาส 2 ปี 2541 การใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำจึงไม่ได้กระตุ้นระบบเศรษฐกิจ
เพราะปัญหาในภาคการเงินได้ลุกลามไปมากกว่าระดับที่จะสามารถใช้การจัดการโดย
นโยบายการเงินให้ลุล่วงได้ด้วยศักยภาพของระบบ ภาคธุรกิจล้มละลายไปมาก"
หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อง ๆ
จนเดือนพฤษภาคม 2542 มีปริมาณ สูงสุดถึง 2,730,266 ล้านบาท หรือ 47.72%
เมื่อประเมินความเสียหายจากนโยบายอัตราดอกเบี้ยและสภาพการตอบรับทางภาค
เศรษฐกิจจริงพบว่า
1) ความเสียหายที่เกิดกับระบบสถาบันการเงิน
ในช่วงที่รัฐบาลชวนเข้ามาบริหารงานนั้น ในเดือนธันวาคมปี 2540 หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้มีมูลค่าเท่ากับ
1.37 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 19.78 ต่อสินเชื่อรวมเมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคมปี
2543 ที่ NPL เท่ากับ 1.59 ล้านบาท
สามารถประเมินความสูญเสียจากนโยบายดอกเบี้ยที่ผิดพลาดของรัฐบาลที่มีผลทำให้ NPL สูงขึ้นเท่ากับ 2.2 แสนล้านบาท
2) ความเสียหายจากการว่างงานที่สูงขึ้น
หากประเมินจากรายได้ที่สูญเสียจากผู้ว่างงานรวมปี 2541-2542 โดยคำนวณจากฐานค่าจ้างขั้นต่ำ
(เช่นปี 2542 ประมาณ 5,292บาทต่อเดือน
จากสำนักงานสถิติแห่งชาติ) และหักผู้รองานตามฤดูกาลออกไป
รวมทั้งหักแรงงานที่ว่างงานตามธรรมชาติ
(ซึ่งในที่นี้สมมติให้เท่ากับอัตราการว่างงาน ณ ปี 2540 เท่ากับร้อยละ 1.9 ซึ่งเป็นการผ่อนปรนเป็นอย่างยิ่ง
เนื่องจากอัตราการว่างงานตามธรรมชาติโดยแท้จริงควรจะต่ำกว่าปีที่เกิด วิกฤตการณ์ปี
2540) สามารถคำนวณความสูญเสียขั้นต่ำได้เท่ากับ
210,145
ล้านบาท
3) ประเมินความเสียหายจากภาคการผลิตจริง
หากประเมินจากตัวเลขคาดคะเนอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ
จากหนังสือแสดงเจตจำนงฉบับที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงแรกที่รัฐบาลชวนได้เข้ามาบริหารประเทศ
ได้คาดคะเนอัตราการเติบโตปี 2541 เท่ากับร้อยละ 0 ถึง 1 ซึ่งหลังจากนั้นมีการปรับลงในหลายฉบับต่อมาคือ
LOI3 เป็นลบ 3 ถึงลบ 3.5
LOI4 เป็นลบ
4 ถึงลบ 5.5
LOI5 เป็นลบ
7 ดังนั้นประเมินได้ว่ารัฐบาลคาดการณ์สูงกว่าความเป็นจริงเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ
6.575 หรือประเมินเป็นตัวเลขผิดเท่ากับ
2.513 แสนล้านบาท แสดงถึงความล้มเหลว ในการดำเนินมาตรการทั้งปวงที่ต้องการส่งผลต่อภาคเศรษฐกิจจริง
ทำให้การเพิ่มศักยภาพในส่วนการก่อให้เกิดรายได้ในภาคเศรษฐกิจจริงต่ำกว่าที่
ควรเป็นตัวเลขประเมินดังกล่าวถือเกณฑ์ว่าหากประเมินภาพรวมที่แม่นยำ ย่อมทำให้นโยบายการเงินการคลังสอดคล้องกับสถานะการณ์ทั่วไป
4) ประเมินความเสียหายที่เกิดจากตลาดหลักทรัพย์
มีหลักการประเมินอยู่ว่าถ้าในกรณีที่ตลาดหลักทรัพย์ไทยอยู่ในสถานการณ์ที่
เลวร้ายที่สุดให้เท่ากับตลาดหลักทรัพย์ของประเทศอินโดนีเซีย
ซึ่งเป็นประเทศที่เกิดความเสียหายมากที่สุดในวิกฤตการณ์เอเซีย
เมื่อประเมินในกรณีเลวร้ายที่สุดอย่างเช่นประเทศอินโดนีเซีย
ดัชนีหลักทรัพย์ไทยยังน้อยกว่าประเทศอินโดนีเซียเท่ากับ 154 จุด
ซึ่งสามารถคำนวณออกมาเป็นมูลค่าตลาดได้เท่ากับ 6.895 แสนล้านบาท
หรือถือได้ว่าประเมินความสูญเสียเท่ากับ 6.895 แสนล้านบาท
สรุปความเสียหาย
จากการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยทั้งสองช่วงที่มีผลให้ธุรกิจเกิดการล้ม ละลาย
หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้สูงขึ้น และคนงานว่างงานมากขึ้นรวมความสูญเสียเท่ากับ 1,370,945
ล้านบาท
ที่มา :วิกฤตต้มยำกุ้ง สถาบันพระปกเกล้า
มาหาอะไร
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
www. nidambe11.net
สำนักข่าวอิศรา
[Continue reading...]