Sunday, August 11, 2013

2 ปี..รัฐนาวายิ่งลักษณ์ ฝ่าพายุการเมือง...คืบก็ทะเล...ศอกก็ทะเล

- 0 comments
คืบก็ทะเล...ศอกก็ทะเล รัฐนาวาจมไป 3 ลำแล้ว

รัฐนาวายิ่งลักษณ์จะฝ่ามรสุมฤดูนี้ได้หรือไม่ ?
สิงหาคม-กันยายน ทุกปีมีมรสุม มีพายุ พายุการเมือง ก็คล้ายพายุในทะเล ซึ่งมีผลต่อเรือทุกลำ ทุกฝ่าย ใครรู้จักปรับใบเรือ ปรับหางเสือรับคลื่นได้ก็รอดได้

เดือนกันยายน 2549 รัฐนาวานายกฯ ทักษิณ 2 ซึ่งท่องทะเลมาได้ 1 ปี 6 เดือน พยายามฝ่าพายุการเมืองแต่ถูกโจรสลัดเข้ายึดเรือ 2551 พายุการเมืองพัดรัฐนาวานายกฯ สมัคร สุนทรเวช และรัฐนาวานายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ชนหินโสโครกตุลาการภิวัฒน์ จมลงทั้งสองลำ รัฐบาลสมัครตั้งมาได้ 8 เดือน รัฐบาลสมชายเพิ่งตั้งได้ไม่ถึง 3 เดือนก็จมลง

สิงหาคม 2554 นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตั้งรัฐบาลยังไม่ทันเสร็จดี มวลน้ำขนาดยักษ์ก็ออกจากเขื่อนไหลบ่าลงมาท่วมภาคกลางจนถึงกรุงเทพฯ เป็นอุทกภัยใหญ่ในรอบ 100 ปี แต่รัฐนาวาที่สร้างด้วยเสียงประชาชนลำนี้ยังไม่ถูกกระแสน้ำพัดจม จากนั้นเรือก็ออกจากแม่น้ำมุ่งสู่ทะเลใหญ่ ต้องฝ่าคลื่นลมการเมือง และอุปสรรคมากมาย นโยบายและเป้าหมายที่วางไว้จะไปถึงหรือไม่ ตอนนั้นทุกคนที่เห็นคลื่นลมการเมืองคิดว่าคงลำบาก

นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีกัปตันหญิงเข้ามาควบคุมขบวนเรือขนาดใหญ่แม้มีทีมงานที่มีประสบการณ์มาช่วยก็ยังลำบาก ในขณะที่มีคนเอาใจช่วย ก็มีคนแช่ง

หลายคนคิดว่าขบวนเรือนี้ไม่น่าจะรอดไปได้ถึง 6 เดือน เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านไม่นาน มิใช่มีเพียงคลื่นลมการเมืองธรรมดายังมีเรือที่ถูกโจรสลัดยึดไปทั้งเรือและสินค้า ลูกเรือถูกจับไปขังถึงห้าปี มีเรือถูกคลื่นซัดไปชนหินโสโครก

แต่เมื่อกัปตันหญิง ยิ่งลักษณ์ นำขบวนเรือออกทะเลใหญ่อีกครั้ง จากหกเดือนเป็นหนึ่งปียังสามารถฝ่ามรสุม หินโสโครกและโจรสลัดไปได้

ถึงวันนี้เธอนำขบวนเรือสินค้าท่องทะเลอยู่ได้สองปีแล้ว นำกองเรือแวะเยี่ยมเยือนค้าขายกับทั่วโลก เป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งแดนใกล้แดนไกล

คำวิจารณ์ของผู้สันทัดการเมือง คือ วันนี้กองเรือออกจากฝั่งมาไกลมากแล้ว ต่อให้มีพายุอยู่ข้างหน้า ก็ต้องเดินหน้าตามแผนที่เดินทางต่อไป

แต่ถ้ารอดจากฤดูมรสุมนี้ได้ถึงต้นปี 2557 ประสบการณ์ในทะเลการเมืองจะทำให้รัฐนาวายิ่งลักษณ์แกร่งขึ้น เก่งขึ้น ก้าวข้ามชั้นมือใหม่หัดขับ สามารถนำขบวนเรือกลับเข้าฝั่งครบรอบ ตามกำหนดการ 4 ปี เป็นไปตามความคาดหวังของพ่อค้าประชาชนทั่วไป

มือใหม่ที่จำเป็นต้องมาขับ

จากวันที่ย่างเข้ามาบนเวทีการเมือง เพียง 50 วันก็เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนถึงวันนี้กินเวลาเข้าไปสองปีแล้ว และตลอดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งก็มีเสียงวิจารณ์ว่าเป็นนายกฯ ที่ไม่เก่ง พูดไม่เก่ง ภาษาไทยไม่คล่อง ภาษาอังกฤษไม่แข็ง ไม่ฉลาด ฯลฯ

ทีมวิเคราะห์มองนายกฯ ยิ่งลักษณ์ตลอดสองปีที่ผ่านมา แต่มิได้รู้จัก มิได้พูดคุยโดยตรง การวิเคราะห์จึงเป็นการมองจากการปฏิบัติในสถานการณ์ต่างๆ ฟังจากผู้อื่น และการดูผลงาน พอสรุปได้ดังนี้

นายกฯ ยิ่งลักษณ์มองว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา ไม่ได้เก่งกาจอะไรเป็นพิเศษ ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะไปเป็นนายกรัฐมนตรี จึงไม่มีการวางฐาน ปั้นแบบเอาไว้ล่วงหน้า และมารู้สึกว่าจำเป็นต้องรับตำแหน่งนี้จริงๆ

หลังเหตุการณ์ประท้วงให้ยุบสภาเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 เพราะชาวบ้านออกมาสู้จนตัวตาย เหตุการณ์นั้นเป็นตัวกำหนดชะตากรรม เหมือนบังคับให้คุณยิ่งลักษณ์ซึ่งเป็นผู้หญิงธรรมดาต้องเข้าสู่สนามการเมืองซึ่งเวลานั้นคล้ายสนามรบ ทั้งที่อยู่ในสภาพของแม่ลูกหนึ่ง

จากนั้นคุณยิ่งลักษณ์ซึ่งน่าจะเป็นหมากตัวสุดท้าย ก็ถูกส่งลงสนาม โดยหวังจะยันแนวรบหลังเดือนพฤษภาคม 2553 ไว้และพลิกสถานการณ์ในช่วงเลือกตั้ง ซึ่งก็คือการเปิดช่องให้ประชาชนลงไปเล่นเกมการเมืองอย่างถูกกฎหมาย เปิดช่องให้เสื้อแดงมีสิทธิลงสนาม เกมจึงเปลี่ยนไปตามที่คนส่วนใหญ่คาดหวัง เพื่อไทยชนะการเลือกตั้งเกินครึ่ง ยิ่งลักษณ์กลายเป็นนายกรัฐมนตรี พลิกเกมกลับมาตั้งรัฐบาล

ส่วนการทำงานในตำแหน่ง และการเป็นกัปตันขบวนเรือจะทำได้ดีแค่ไหน เป็นเรื่องที่ทุกคนในช่วงเวลานั้นกังวล แม้แต่ตัวนายกฯ เอง

มีคำวิจารณ์และคำเหน็บแนม ตามมามากมาย ตั้งแต่ปลายผมจนถึงนโยบายมูลค่าล้านล้านโดยเฉพาะจากคนที่ไม่ชอบ ซึ่งคงต้องเทียบกับการทำงานจริงตลอดสองปี นายกฯ บรรหาร ศิลปอาชา เล่นการเมืองมาเกือบ 40 ปี นายกฯ ชวน หลีกภัย ก็เล่นการเมืองมาถึง 44 ปี นายกฯ อภิสิทธ์ เวชชาชีวะ เล่นการเมืองมานาน 20 กว่าปี แต่นายกฯ ยิ่งลักษณ์เล่นการเมืองมาสองปีกว่าเท่านั้น ลองเทียบผลงานของทุกคนดู

ถึงวันนี้ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่คิดว่าสู้อยู่กับผู้หญิงโง่ๆ คนหนึ่ง...สบายมาก แล้วเป็นไง? คิดผิดคิดใหม่ได้ คิดดูว่าแม้แต่ตัวเราเองมีความสามารถทำได้ขนาดนั้นหรือไม่? และอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าความสามารถ?



ความสามารถของนายกฯ ยิ่งลักษณ์

ไม่ง่ายนักที่จะทำงานในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีท่ามกลางเสียงเชียร์ และเสียงแช่ง ในขณะที่ตกอยู่ในวงล้อมของปืนและกฎหมาย คนที่ขวัญอ่อนยืนตรงนี้ได้ เดือนเดียวก็เก่งแล้ว แต่เมื่อรู้ศักยภาพตนเอง และมีการเสริมกำลังมาช่วย ก็เท่ากับไม่ประมาทและเตรียมพร้อม นับเป็นการเริ่มต้นที่ดี และเมื่อดูจากวิธีการปฏิบัติตัว ในทุกด้านและผลงานตลอดสองปี ต้องยอมรับว่าเป็นนายกฯ มือใหม่ที่ทำงานได้ดีมีความสามารถพอควร เพราะ...

1. เมื่อลงสนามจริงนายกฯ ยิ่งลักษณ์เป็นกัปตันทีมที่เล่นเป็นทีมเล่น เล่นตามแผนที่วางไว้ เชื่อฟังโค้ชอย่างดี

2. อดทน... ขยัน... ใจเย็น... คุณสมบัติสามอย่างนี้ไม่ต้องอธิบายเพิ่ม ที่จริงแล้วนายกฯ หญิงคงเป็นเหมือนผู้หญิงทั่วไปคนหนึ่ง ที่เป็นห่วงครอบครัว รักสวยรักงาม ดีใจ เสียใจก็อยากแสดงออก แต่ตลอด 2 ปี คงต้องแอบหัวเราะ แอบร้องไห้ มาหลายรอบ ถ้าจะบอกว่ายอมเสียสละมาเป็นนายกฯ จึงต้องอดทนทำทุกอย่างก็คงพูดได้ คุณสมบัติสามอย่างนั้นคือความจำเป็นของคนที่ต้องทำงานในบทผู้นำภายใต้แรงกดดัน ทั้งของศัตรูและมิตร

3. มีจุดยืนเพื่อประชาชน เข้าใจความทุกข์ชาวบ้าน จึงมุ่งทำงานตามนโยบายที่ให้สัญญาไว้ ซึ่งสามารถทำให้ปรากฏเป็นผลงานได้ เช่น การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท ฯลฯ

4. มีความตั้งใจ ความจริงใจ แม้เล่ห์เหลี่ยมอาจจะยังไม่ทันฝ่ายตรงข้าม และคนที่อยู่รอบข้าง แต่ความตั้งใจ ความจริงใจ กลับกลายเป็นโล่ป้องกันตัวและเป็นอาวุธอีกชนิดหนึ่ง แต่นายกยิ่งลักษณ์จะสะสมประสบการณ์เติมเขี้ยวเล็บมากขึ้นทุกวัน เช่นเดียวกับนักการเมืองคนอื่น

นายกฯ บรรหารเล่นการเมืองมาเกือบ 40 ปี นายกฯ ชวนก็เล่นการเมืองมาถึง 44 ปี นายกฯ อภิสิทธิ์เล่นการเมืองมานาน 20 กว่าปี แต่นายกฯ ยิ่งลักษณ์เล่นการเมืองมาสองปีกว่าเท่านั้น ถ้าให้เวลาผู้หญิงคนนี้อีก 4 ปีก็ต้องประเมินกันใหม่ทั้งหมด

แต่ไม่ว่าจะสะสมเขี้ยวเล็บอย่างไร ความจริงใจกับประชาชนยังเป็นเรื่องหลัก ถ้าขาดสิ่งนี้ ในยุคนี้ ไม่ว่ารัฐบาลไหน ประเทศไหน ก็จบ

5. รู้จักใช้ที่ปรึกษา สิ่งที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ต้องการที่สุดในวันนี้คือประสบการณ์และความคิดของที่ปรึกษาที่อยู่รอบข้าง และมือปฏิบัติดีๆ ที่อยู่รอบข้าง ต้องเป็นมือดีไม่ใช่มือเน่า ซึ่งทั้งหมดจะถ่ายทอดบทเรียนผ่านการต่อสู้จริง ปฏิบัติจริง ฝ่าฟันอุปสรรค และความเป็นความตายจริงๆ ไม่ต้องท่องก็จะจดจำไปชั่วชีวิต

วันนี้นายกฯ หญิง ใช้ที่ปรึกษามากพอควร เช่นเดียวกับ เล่าปี่ โจโฉ โอบามา ซึ่งมีภาระทางการเมืองและการบริหาร เข้ามาให้ขบคิดตัดสินใจตลอดเวลา

ปัจจุบันผู้นำการบริหารประเทศที่พัฒนาแล้วก็ใช้ความเก่งเฉพาะด้านของทีมงานจำนวนมากเพื่อพัฒนาประเทศให้ก้าวไกลทั้งสิ้น ปัญหาและเป้าหมายการพัฒนาประเทศไทยมีมากมายหลายเรื่อง แต่วันนี้แม้โอกาสเข้าไปทำยังไม่ใช่เรื่องง่าย

6. ความซื่อสัตย์ แม้ตัวนายกฯ มุ่งมั่น อุทิศตัวทำหน้าที่กัปตันอย่างเต็มที่ แต่ในขณะที่เรือยังแล่นอยู่ในท้องทะเล จำเป็นต้องสำรวจรูรั่วหรือข้อบกพร่องของรัฐนาวาลำนี้ และต้องอุดรูรั่วและซ่อมแซมให้ทัน เพราะการปฏิบัติงานใช้คนจำนวนมาก โอกาสของการทุจริตรั่วไหลก็มีมาก นั่นคือรอยรั่วที่เป็นจุดอ่อนของเรือ

ทั้ง 6 ข้อเป็นความสามารถพื้นฐาน ที่ไม่ใช่ความเก่งพิเศษ แต่ถ้าทำได้ทั้ง 6 ข้อ ตลอดไป จะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ เหนือกว่าความเก่งของหลายคน
ประเมินพายุการเมืองช่วงนี้

ขณะที่เขียนทีมวิเคราะห์ไม่รู้ว่าการชุมนุมคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม วันที่ 7 สิงหาคม เป็นอย่างไร แต่เกมบนถนน ดำเนินคู่ไปกับเกมสภา จึงยังไม่จบแบบง่ายๆ เพราะยังมีอีกหลาย พ.ร.บ. ที่จะเข้าสภา ซึ่งพอจะคาดการณ์ล่วงหน้าในระยะเวลา 1-2 เดือนดังนี้

1. ฝ่ายต้องการล้มรัฐบาล เดินเกมต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้มีภาพที่น่ากลัวเพื่อหวังผลสามชั้น

ชั้นแรก เพื่อให้รัฐบาลถอย แต่ก็ยอมได้ ถ้ารัฐบาลไม่ยอมถอยและดันจนผ่านวาระแรก

ชั้นที่สอง เพื่อหวังผลให้มีระยะเวลาในการแปรญัตติ วาระที่สองนานเกินกว่า 30 วัน เพื่อจะใช้ในการเคลื่อนไหว ต่อต้านนอกสภา และโยงไปยังประเด็นอื่นๆ

ชั้นที่สาม เพิ่มแรงกดดันในการประท้วงให้ดูรุนแรงมากขึ้น เพื่อเป็นการข่มขู่การเดินเกมของรัฐบาลในเรื่องอื่น และยืดเวลาการแก้รัฐธรรมนูญให้เนิ่นนานที่สุด

2. ฝ่ายรัฐบาลจะเดินหน้าผ่านวาระแรกของ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม แต่จะยอมให้การแปรญัตติวาระสองยืดไปพอสมควร จากนั้นจะนำเสนอวาระเกี่ยวกับการเงินเข้าสภาเพื่อปิดเกม คืองบประมาณ 2557 คงใช้เวลาไม่เกิน 3-4 วัน และ พ.ร.บ. โครงสร้างพื้นฐาน 2.2 ล้านล้าน ที่ยังไม่มีกำหนดแน่ชัด ซึ่งอาจกินเวลาเป็นเดือน

3. อาจมีการพิจารณาคดี หรือการร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับศาลและองค์กรอิสระแทรกเข้ามาหลายคดี ในช่วงนี้ ซึ่งจะมีผลกับทั้งสองฝ่าย

4. การประท้วงที่เห็นในช่วงนี้ จะมีรูปแบบที่ยุติและเริ่มใหม่ได้หลายครั้ง แล้วแต่ประเด็น และการตัดสินใจของผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับซึ่งจะต้องมีค่าใช้จ่าย แต่กลุ่มนักแสดงและตัวประกอบจะมีงานทำตลอดช่วงเวลาสองเดือน ดังนั้น ถ้ารัฐบาลทยอยเดินเกม และกลุ่มผู้ประท้วงไม่เล่นเกมแรงเกินไป การประท้วงก็จะมีให้ดูอีกหลายฉาก แต่ถ้าผู้ชุมนุมไม่สามารถทำให้คนทั่วไป ยอมรับในเหตุผลได้ และสร้างความเดือดร้อนให้คนทั่วไป ความเสียหายทางการเมืองก็จะตกมาใส่แกนนำและผู้อำนวยการสร้าง

สรุปว่า 2 ปีที่ผ่านมาของรัฐนาวายิ่งลักษณ์ มิใช่ผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปได้เพราะโชคช่วย แต่เป็นเพราะแรงหนุนจากประชาชน ทั้งเสื้อแดงและไม่แดง ทีมที่ปรึกษา มือไม้รอบข้าง ความขยันทุ่มเท ความอดทนของตัวนายกฯ เอง และความช่วยเหลือจากผู้ไม่ประสงค์จะออกนามจำนวนไม่น้อย

จากวันนี้ถ้าไม่แตกสามัคคีกันเอง ทำได้เหมือน 2 ปีที่ผ่านมา ก็คงผ่านมรสุมสองเดือนนี้ไปได้เช่นกัน ช่วงนี้แม้ไม่มีโจรสลัด แต่ไม่ควรประมาท คลื่นลมแรงอาจจะพัดรัฐนาวาไปปะทะกับหินโสโครกทำให้ท้องเรือทะลุได้


ที่มา: มติชน
[Continue reading...]

“เสรี”ซัดรัฐบาลชงปฏิรูปประเทศเรื่องเหลวไหล !

- 0 comments
"เสรี”ซัดรัฐบาลชงปฏิรูปประเทศเป็นเรื่องเหลวไหล แก้ไม่ตรงจุด ชี้ปัญหาเกิดจากนักการเมืองทั้งนั้น ไม่เชื่อนำข้อเสนอกก.ไปปฏิบัติจริง

เมื่อวันที่ 11 ส.ค. นายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีตรองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) ได้เผยแพร่บทความเรื่องการปฏิรูปประเทศว่า สิ่งที่รัฐบาลเริ่มทำโดยการไปเชิญบุคคลต่างๆเข้ามาเป็นกรรมการปฏิรูปประเทศ เป็นเรื่องเหลวไหลแก้ปัญหาไม่ตรงจุด เพราะทุกคนทราบดีว่าปัญหาประเทศเกิดจากนักการเมืองที่ขาดความรับผิดชอบทั้งสิ้น ทั้งแสวงประโยชน์ทุจริตคอรับชัน ใช้งบประมาณสุรุ่ยสุร่าย ลุแก่อำนาจเอาแต่พวกพ้อง บริหารประเทศไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ประชาชนแตกแยก หรือปัญหาอีกร้อยแปด ล้วนเกิดจากนักการเมืองที่แย่งชิงอำนาจ ถามว่าประเทศไทยมีปัญหาอะไรจึงต้องปฏิรูปประเทศ ประชาชนเป็นแค่เหยื่อของการเล่นการเมืองเท่านั้น การปฏิรูปการเมืองเกิดมาตั้งแต่การมีรัฐธรรมนูญปี 2540 แล้ว เพราะมีการใช้อำนาจทางการเมืองที่เข้มแข็งเข้ายึดองค์กรอิสระทั้งหลาย แสวงหาประโยชน์ และล่วงละเมิดสถาบัน ทั้งหมดเป็นปัญหาของนักการเมืองที่ทำให้ประเทศเกิดวิกฤติ

นายเสรีกล่าวอีกว่า ที่รัฐบาลพยายามเชิญบุคคลสำคัญๆ เข้ามาทำอะไร จะเชื่อถือและนำข้อเสนอของกรรมการฯมาปฏิบัติหรือไม่ หากเสนอให้นักการเมืองไม่นำพาประชาชนออกมาแบ่งสีแบ่งข้าง ไม่อยู่เบื้องหลังนำชาวบ้านออกมาเผชิญหน้ากัน ให้รัฐบาลบริหารประเทศโดยอิสระ ไม่อยู่ภายใต้อาณัติหรือการสั่งการของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ หรือเสนอให้พ.ต.ท.ทักษิณ เลิกเกี่ยวข้องกับการเมือง หรือห้ามข้าราชการไปขอตำแหน่งจากพ.ต.ท.ทักษิณ รัฐบาลจะทำตามหรือไม่ หรือเสนอว่าการตั้งงบประมาณ 2 ล้านล้านบาท มีช่องว่างให้เกิดการทุจริตคอรับชันง่าย หรืองบฯแก้ปัญหาน้ำท่วม 3.5 แสนล้านบาท เป็นการกำหนดเงินเกินกว่าความจำเป็น หรือให้ถอนญัตติกฎหมายนิรโทษกรรม เพราะจะสร้างความแตกแยกมากขึ้น รัฐบาล ส.ส. และส.ว. จะเชื่อหรือไม่ หากปฏิรูปนักการเมืองก่อนเป็นอันดับแรก นั่นคือการปฏิรูปประเทศแล้ว ไม่ต้องไปเชิญใครต่อใครมาเป็นกรรมการฯให้เสียเวลา.
[Continue reading...]

พนง.สอบสวนคดีการตาย 10 เม.ย. 53 "จรูญ-สยาม" เบิกคลิป,พยาน,วิถี-ขนาดกระสุนชี้ถูกยิงมาจากทหาร

- 0 comments
พนักงานสอบสวนคดี ‘จรูญ-สยาม’ เหยื่อกระสุนขอคืนพื้นที่ 10 เมษา ชี้ที่เกิดเหตุพบรอยกระสุน 108 รอย มาจากสะพานวันชาติไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แต่ไม่พบว่ามีวิถีตรงกันข้าม ระบุผู้ตายถูกกระสุนขนาด .223 ที่ยิงมาจากฝั่งของทหารทางสะพานวันชาติ

8 ส.ค. 56 เวลา 10.00 น. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลนัดไต่สวนชันสูตรพลิกศพ คดีหมายเลขดำที่ ช.13/2555 ที่พนักงานอัยการ สำนักอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนชันสูตรพลิกศพนายจรูญ ฉายแม้น ผู้ตายที่ 1 และนายสยาม วัฒนนุกูล ผู้ตายที่ 2 ถูกยิงเสียชีวิตหน้า ร.ร.สตรีวิทยา ถนนดินสอ ในเหตุการณ์ขอคืนพื้นที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 53 โดยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ภายใต้รัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ ขณะนั้น

โดยในวันนี้พนักงานอัยการนำพยานเข้าเบิกความ 3 ปาก ประกอบด้วย พ.ต.ต.นิติ อินทุลักษณ์ นักวิทยาศาสตร์(สบ2) กลุ่มงานตรวจพิสูจน์อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ผู้ตรวจวีดีโอคลิปที่เกี่ยวข้องกับเหตุกีร ร.ต.อ.อรีย์ธัช อธิสุรีย์มาศ พงส.สน.พลับพลาไชย 1 และ พ.ต.ท.สมชาย สินธนเจริญวงศ์ พงส.ผู้ชำนาญการพิเศษ สน.พลับพลาไชย 1 พนักงานสอบสวนในคดีนี้

พ.ต.ต.นิติ เบิกความโดยสรุปว่า เมื่อวันที่ 14 ก.ย. 55 บก.น.6 ส่งแผ่นวีซีดีจำนวน 3 แผ่น มาให้ตรวจพิสูจน์ว่ามีร่องรอยการตัดต่อหรือไม่ จากผลการตรวจ ซีดีแผ่นที่ 1 มีข้อมูลแบ่งเป็น 2 แฟ้ม ไม่พบร่องรอยการตัดต่อเนื้อหาทั้งภาพและเสียง ส่วนซีดีแผ่นที่ 2 มีข้อมูลแบ่งเป็น 2 แฟ้ม แฟ้มที่ 1 เป็นคลิปขณะเกิดเหตุมี 3 แฟ้ม เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ต่อเนื่องกัน มีการเพิ่มเติมตัวเลขเปรียบเทียบลงในคลิป แต่ไม่พบร่องรอยการตัดต่อเนื้อหาของแฟ้มข้อมูลทั้งหมด

พ.ต.ต.นิติ เบิกความต่อว่า ส่วนแฟ้มที่ 2 มี 1 แฟ้ม เป็นคลิปเหตุการณ์ที่โรงพยาบาล มีการเพิ่มเติมตัวอักษรและเพิ่มเสียงเพลงในบางช่วงของเหตุการณ์ แต่ไม่พบร่องการตัดต่อเนื้อหาของคลิป สำหรับซีดีแผ่นที่  3 มี 1 แฟ้ม ปรากฏเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ มีการเพิ่มตัวอักษร เสียงบรรยาย และเสียงเพลง แต่ไม่พบร่องรอยการตัดต่อเนื้อหาของคลิป หลังการตรวจได้จัดทำรายงานการตรวจพิสูจน์ส่งให้ บก.น.6
ขณะที่ ร.ต.อ.อรีย์ธัช เบิกความโดยสรุปว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย.53 เวลา 21.30 น. ได้รับแจ้งจาก รพ.กลาง ว่า มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง บริเวณแยกคอกวัวต่อเนื่องถึงถนนดินสอให้ไปตรวจสอบ พยานจึงเดินทางไปพร้อมกับ พ.ต.ท.ปกรณ์ วะศินรัตน์ นายแพทย์ (สบ2) สถาบันนิติเวชวิทยา รพ.ตำรวจ พบศพชาย 2 คน มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืน จากการสอบสวนเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทราบว่า เป็นนายจรูญ ฉายแม้น และนายสยาม วัฒนนุกูล ถูกนำส่งมาจากบริเวณถนนดินสอ

ร.ต.อ.อรีย์ธัช เบิกความต่อว่า จากนั้นพยานจึงเคลื่อนย้ายศพไปยังสถาบันนิติเวชวิทยา รพ.ตำรวจ ในวันที่ 11 เม.ย. 53 เพื่อให้แพทย์ชันสูตรพลิกศพ เบื้องต้นยังไม่มีพยานหลักฐานที่เชื่อว่าการตายของทั้งสองเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ ต่อมาประมาณปลายปี 53 กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) มีมติให้คดีที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมเป็นคดีพิเศษ จึงส่งสำนวนการสอบสวนไปรวมกับคดีหลักที่ดีเอสไอ
พยานเบิกความอีกว่า กระทั่งวันที่ื 15 พ.ย. 54 ดีเอสไอส่งสำนวนกลับที่ สน.พลับพลาไชย 1 เนื่องจากมีทนายความญาติผู้ตายร้องขอให้ดำเนินการสอบสวนหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม เพราะเชื่อว่าการตายของทั้งสองเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 55 บก.น.6 จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนคดีดังกล่าว โดยพยานเป็นพนักงานสอบสวนร่วมในคดีนี้ด้วย จากการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดสรุปความเห็นว่า การตายของทั้งสองเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ

จากนั้นทนายความญาติผู้ตายถามพยานว่า จากการตรวจสถานที่เกิดเหตุพบรอยกระสุนบริเวณใดบ้าง พยานเบิกความว่า มีร่องรอยหลงเหลืออยู่ตามป้ายรถเมล์ เสาไฟฟ้า ตู้โทรศัพท์ มีทิศทางมุ่งหน้าไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

พ.ต.ท.สมชาย เบิกความโดยสรุปว่า เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 55 ได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นพนักงานสอบสวนในคดีนี้ จากการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งประจักษ์พยาน พยานแวดล้อม พยานวัตถุ และเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ รวมถึงคลิปวิดีโอที่ปรากฏภาพนายสยามเดินอยู่ในเหตุการณ์เดียวกับที่นายวสันต์ ภู่ทอง ถูกยิง และคลิปวิดีโอในวันเกิดเหตุที่ปรากฏภาพการยิงมาจากฝั่งทหารที่อยู่ทางสะพานวันชาติ

พ.ต.ท.สมชาย เบิกความต่อว่า มีพยานบุคคล 5 ปาก ยืนยันว่าขณะนั้นมีการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุม นปช. และเจ้าหน้าที่ทหาร ระหว่างนั้นพยานเห็นเจ้าหน้าที่ถอยร่นเข้าไปทางสะพานวันชาติ พร้อมกับได้ยินเสียงปืนดังขึ้น และเห็นแสงไฟจากปลายกระบอกปืนของทหาร ก่อนมีคนล้มลง ซึ่งมีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าวรวม 5 ศพ ประกอบด้วย นายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ ชาวญี่ปุ่น นายวสันต์ ภู่ทอง นายทศชัย เมฆงามฟ้า นายจรูญ ฉายแม้น และนายสยาม วัฒนนุกูล โดยพยานทั้งหมดยืนยันว่าผู้ชุมนุมไม่มีอาวุธ

พ.ต.ท.สมชาย เบิกความอีกว่า ผู้ตายทั้งหมดเสียชีวิตจากการถูกยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูงขนาด .223 หรือ 5.56 มม. ซึ่งในศพของนายจรูญมีการตรวจพบเศษโลหะเป็นลูกตะกั่ว จากการตรวจพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่า เป็นกระสุนขนาด .223 หรือ 5.56 มม. ที่ใช้กับปืนเอชเค 33 ทาโวร์ และเอ็ม 16 ซึ่งเป็นอาวุธที่เจ้าหน้าที่ทหารใช้ปฏิบัติการในวันเกิดเหตุ จากการตรวจสถานที่เกิดเหตุพบรอยกระสุนที่ยืนยันได้จำนวน 108 รอย มีทิศทางจากสะพานวันชาติไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แต่ไม่พบว่ามีวิถีกระสุนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปยังสะพานวันชาติ

พยานเบิกความต่อว่า จากการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด จึงสรุปความเห็นว่า ผู้ตายทั้งสองเสียชีวิตด้วยกระสุนปืนความเร็วสูงขนาด .223 หรือ 5.56 มม. ที่ยิงมาจากฝั่งของทหารทางสะพานวันชาติ ก่อนนำสำนวนส่งให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องขอให้ศาลทำการไต่สวนชันสูตรพลิกศพ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการไต่สวนเสร็จสิ้น ศาลนัดไต่สวนครั้งต่อไป วันที่ 15 ส.ค. เวลา 09.00 น.

ที่มา:ประชาไท
[Continue reading...]

โค่นทำไมระบอบทักษิณ! "สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ"

- 0 comments
โดย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
สถานการณ์ทางการเมืองต้นเดือนสิงหาคมนี้ ดูเหมือนว่าจะร้อนแรงมากขึ้น เมื่อฝ่ายต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลุ่มเก่าๆ ได้นำเอาเรื่องการเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมในสภามาเป็นข้ออ้าง แล้วสร้างการเคลื่อนไหวทางการเมืองเต็มรูปแบบ โดยกลุ่มที่เคลื่อนไหวที่เปิดตัวชัดมี 2 กลุ่มคือ พรรคประชาธิปัตย์ที่นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ประกาศจะต่อสู้ทั้งในและนอกสภา และอีกกลุ่มหนึ่งคือ พลังมวลชนฝ่ายขวาที่ตั้งเป็น กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ การเคลื่อนไหวครั้งนี้ มีผู้สนับสนุนคือ สื่อมวลชนกระแสหลักจำนวนหนึ่ง และกลุ่มพลังอื่นในรัฐสภา เช่น กลุ่ม 40 สว. ที่เป็นแนวร่วมโดยอ้อมกับฝ่ายประชาธิปัตย์มาช้านาน กลุ่มต่อต้านรัฐบาลเหล่านี้ เห็นว่า สถานการณ์ในขณะนี้สุกงอมพอที่จะนำไปสู่การ”โค่นระบอบทักษิณ”ได้ ถึงขนาด พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ผู้นำฝ่ายกองทัพประชาชนได้ประกาศว่า จะล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ภายใน 7 วัน โดย พล.ร.อ.บรรณวิทย์วิเคราะว่า รัฐบาลจะล้มด้วยวิธีการ 2 อย่าง คือ การยุบสภา กับการรัฐประหาร แต่น่าจะลงท้ายด้วยการรัฐประหารมากกว่า ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการล้มล้างระบอบทักษิณให้หมดไป
อะไรคือ ระบอบทักษิณที่ต้องการที่จะโค่น ในแถลงการณ์ของกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ อธิบายว่า ระบอบทักษิณ คือ ระบอบการปกครองที่ได้อำนาจรัฐจากการใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้งแล้วอ้าง ประชาธิปไตย มอมเมาให้ประชาชนเสพติดนโยบายประชานิยม เอาภาษีของคนทั้งประเทศไปผลาญสร้างความนิยม แล้วใช้อำนาจไปทุจริตคอรัปชั่น โกงกิน ทุกรูปแบบอย่างไม่เกรงกลัว ทำลาย แทรกแซงกลไกตรวจสอบถ่วงดุล ทำลายและลดความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญ มุ่งทำลายและจ้องล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อการสืบทอดอำนาจในตระกูล นักการเมือง สมุนและพวกพ้อง ใช้รัฐตำรวจข่มขู่ คุกคาม ปราบปรามประชาชนจนถึงอุ้มฆ่า รวมทั้งใช้มวลชนในสังกัดข่มขู่ คุกคามผู้มีความเห็นต่าง
นอกจากนี้ แถลงการณ์ยังได้อธิบายถึงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรว่า  ถือว่าเป็นรัฐบาล “ของเน่าทั้งแผ่นดิน”เนื่องจากการบริหารประเทศที่ไร้ทิศทาง และล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงกับการจัดการปัญหา นำมาสู่การปล่อยน้ำเข้าท่วมกรุงเทพและจังหวัดที่เป็นที่ตั้งทางธุรกิจขนาดใหญ่ นานกว่า 1 เดือน และยังล้มเหลวในการจัดการปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรจนเกิด “หอมแดงเน่าจากการรับจำนำ” ตลอดจนการทุจริตขนาดใหญ่ สร้างประวัติการณ์ “ข้าวเน่าทั้งแผ่นดิน” ยังไม่รวมถึงการบริหารประเทศที่ส่อไปทางทุจริต คอรัปชั่น จากโครงการเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท
การบริหารประเทศโดยเอาประชาชนเป็นตัวประกันความ “โง่” ของตนเองดังกล่าว  ก็เพราะมุ่งแต่การ คอรัปชั่นและคิดแต่จะดำเนินการเพื่อช่วย”นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร” ให้รอดพ้นคดีโดยไม่คำนึงถึงความชอบธรรมและถูกต้องตามหลักของบ้านเมือง
อยากจะขอเริ่มต้นตรงนี้ก่อนว่า คำอธิบายทั้งเรื่องระบอบทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนั้น ไม่มีอะไรถูกต้องเลย เป็นวาทกรรมที่วางอยู่บนความเชื่ออันขาดหลักฐาน และขาดหลักเหตุผลหลายเรื่อง คำอธิบายเช่นนี้จึงใช้ได้เพียงการปลุกปลอบกลุ่มของตนเองที่เชื่อในแบบเดียวกัน ไม่มีทางที่จะสร้างประชามติให้ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยได้ ดังนั้น การเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ของพวกเขา จึงล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า และขนาดของประชาชนที่เข้าร่วมก็น้อยลงทุกที ในครั้งนี้ พวกเขานัดชุมนุมกันที่สวนลุมพินี ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม ที่ผ่านมา และประกาศที่จะชุมนุมยืดเยื้อ แต่ข้อมูลจากสำนักข่าวทั้งหลายตรงกันว่า ในช่วงที่มีประชาชนเข้าร่วมมากที่สุด ไม่มากเกิน 2 พันคน ด้วยพลังประชาชนจำนวนขนาดนี้ คงยากที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่เป็นจริงได้
มีผู้ถามมาจำนวนมากว่า สถานการณ์เผชิญหน้าเช่นนี้จะรุนแรงมากขึ้นไหม คงต้องตอบว่าโอกาสน้อยมาก เพราะกลุ่มต้านระบอบทักษิณไม่มีกำลังเพียงพอที่จะเผชิญกับฝ่ายรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ได้ประกาศใช้กฎหมายความมั่นคง และติดตั้งตำรวจหลายพันคนบริเวณรอบรัฐสภาและทำเนียบรัฐบาล ทั้งยังมีฝ่ายคนเสื้อแดงที่มีกำลังมากกว่าหลายเท่าคอยสนับสนุน ฝ่ายที่มีกำลังสนับสนุนมากกว่ากองทัพประชาชน คือ พรรคประชาธิปัตย์ แต่ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาบอกให้ทราบว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยต่อสู้อะไรจริงจัง ละทิ้งมวลชนเสมอ และคอยฉวยโอกาสจากการสนับสนุนของกลุ่มชนชั้นนำ ซึ่งในครั้งนี้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็รู้ทัน โดย การที่นายกรัฐมนตรีเสนอเมื่อวันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม ให้มีการจัดตั้งสภาปฏิรูปการเมือง โดยเชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทุกกลุ่มทุกสี มาพูดคุยเพื่อหาทางออกทางการเมืองร่วมกัน ข้อเสนอนี้คงไม่ได้มุ่งหวังที่จะให้เกิดการเสวนาในลักษณะเชนนี้จริง เพราะประเมินล่วงหน้าได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มเสื้อเหลืองจะไม่มีทางร่วมด้วย แต่เป็นการสื่อสารไปยังกลุ่มชนชั้นนำกลุ่มอื่นว่า รัฐบาลพร้อมที่จะปรองดองและพูดคุย เพื่อลดอุณหภูมิความร้อนแรงทางการเมือง
ความจริงแล้ว เหตุผลแห่งการสร้างกระแสการต่อต้านรัฐบาลที่เกิดขึ้นก็มาจากการบิดเบือน เพราะเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนายวรชัย เหมะ ที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ก็ได้เสนอหลักการชัดเจนมาตั้งแต่ต้นว่า ต้องการที่จะนิรโทษกรรมประชาชนคนเสื้อแดงที่ถูกดำเนินคดีและติดคุก ไม่มีข้อใดที่เกี่ยวข้องกับการนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีการละเมิดอำนาจศาล และไม่มีเรื่องที่จะกระทบกระเทือนสถาบันพระมหากษัตริย์ เอาเข้าจริงไม่มีความจำเป็นใด ที่จะต้องต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรมถึงขนาดนี้ การสร้างกระแสต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรมจึงเป็นเรื่องอันไร้เหตุผล
ความล้มเหลวอย่างแน่นอนของกลุ่มโค่นระบอบทักษิณขณะนี้ ยังไม่ใช่เรื่องของมวลชน แต่เป็นเรื่อง ความไม่สามารถในการสร้างความเห็นพ้อง และทำให้ชนชั้นนำส่วนใหญ่ในสังคมสนับสนุน เพราะแม้ว่ากลุ่มนายทุน ศักดินา และหลายฝ่ายในระบบการเมือง จะไม่ได้นิยมชมชื่นกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่เห็นได้ว่า การโค่นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ลงในขณะนี้ จะสร้างความเสียหายมากกว่า เพราะกลุ่มต่อต้านระบอบทักษิณ ก็ไม่ได้มีจินตภาพชัดเจนว่า ถ้าโค่นระบอบทักษิณลงได้ แล้วจะเอาอะไรมาแทน ถ้าเลิกโครงการทั้งหมดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะยิ่งสร้างความเสียหายมากกว่าหลายเท่าสำหรับประเทศชาติ ดังนั้น ในระยะเฉพาะหน้า การคงรักษารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยังเป็นประโยชน์แก่ชนชั้นนำกลุ่มต่างๆ มากกว่า พรรคประชาธิปัตย์คงจะฝันหวานเกินไป ที่จะคิดว่ากลุ่มชนชั้นนำจะช่วยกันโค่นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แล้วอุ้มนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
จึงสามารถอธิบายต่อไปได้ว่า แนวโน้มที่จะเกิดรัฐประหารโค่นรัฐบาล แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะไม่มีสถานการณ์ความขัดแย้งที่รุนแรงเพียงพอ ไม่มีนายทหารกลุ่มไหนพร้อมที่จะดำเนินการ เหตุผลและความชอบธรรมที่จะอ้างทำเรื่องรัฐประหารก็ไม่มี
นี่คือสถานการณ์ที่เป็นจริง!
ที่มา: โลกวันนี้วันสุข  10 สิงหาคม 2556
[Continue reading...]

สจ.กุยบุรี โวย มัลลิกา โพสต์รูปนายกฯ บิดเบือน ขณะเยือนป่ากุยบุรี เรียกร้อง ปชป.รับผิดชอบ

- 0 comments
เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม นายสมหมาย แดงโชติ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) ประจวบคีรีขันธ์ เขต อ.กุยบุรี เปิดเผย กรณี น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โพสต์รูป น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขณะเดินทางไปอุทยานแห่งชาติกุยบุรี เมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นภาพถ่ายบริเวณป้ายจุดชมวิวแล้วมีการตกแต่งคำขึ้นใหม่ที่ป้ายของอุทยานฯ มีการเปลี่ยนเป็นคำว่า "จุดชม เสือ สิงห์ กระทิง" และนายกรัฐมนตรียืนข้างป้าย จากเดิมที่เขียนว่า "จุดชม ช้างป่า กระทิง" เท่านั้น

"ชาวบ้าน อ.กุยบุรี จำนวนมากที่เดินทางไปต้อนรับนายกฯไม่พอใจ ผู้บริหารของ ปชป.ควรออกมาแสดงความรับผิดชอบ หาก ปชป.ไม่เคยสนับสนุนแนวทางการพัฒนาพื้นที่ป่ากุยบุรีหรือไม่ได้สนับสนุนงบประมาณ ขอร้องว่าอย่าทำลายภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวให้เกิดความเสียหายและนำภาพของนายกรัฐมนตรีไปบิดเบือน" นายสมหมายกล่าว

นายพงษ์พันธ์ วิเชียรสมุทร นายอำเภอกุยบุรี กล่าวว่า ส่วนตัวรู้สึกเสียใจที่มีการนำภาพนายกรัฐมนตรีไปบิดเบือน ความรู้สึกของชาวบ้านแสดงความไม่พอใจเป็นอย่างมาก ผู้เกี่ยวข้องไม่ควรนำภาพของผู้นำประเทศไปทำให้เป็นเกมการเมือง เพื่อผลประโยชน์ของพรรคการเมือง ควรให้เกียรตินายกฯที่เดินทางมาปฏิบัติภารกิจในพื้นที่มากกว่า
ที่มา :มติชน
[Continue reading...]

เอ๋อ..มึน..ไม่เข้าใจ..แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ..องอาจ คล้ามไพบูลย์

- 0 comments
ทางผู้เสนอกฏหมาย และฝ่ายรัฐบาล ก็บอกอย่างชัดเจน บอกก่อนหน้า บอกในสภาขณะที่พิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ บอกหลังการพิจารณา
อยากรู้จริง ๆ ว่า สส.ประชาธิปัตย์ เอ๋อ มึน ไม่เข้าใจ หรือทำเป็นไม่เข้าใจ เขาก็บอกแล้วบอกอีกเป็น ภาษาไทย ก็ยังไม่เข้าใจ เวลา เขาพูดเขาบอก ไปอยู่ที่ไหนมา ?
เนื้อข่าว จากเดลินิวส์
เมื่อวันที่ 11 ส.ค.ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ว่า กรรมาธิการเสียงข้างมากที่เป็นส.ส.ของรัฐบาลควรรับฟังเสียงข้างน้อยของกมธ.เสียงข้างน้อยเพื่อให้การประชุมเป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งถ้ารัฐบาลจริงใจว่ากฎหมายนิรโทษกรรมไม่ได้ล้างผิดให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯและแกนนำ เสียงข้างมากของกมธ.ก็ควรทำให้กฎหมายฉบับนี้ไม่มีความคลุมเครือว่าใครจะได้ประโยชน์
นายองอาจ กล่าวอีกว่า กฎหมายนิรโทษกรรมเป็นกฎหมายที่ส่อขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 30 อาจเกิดผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะส.ส.ที่เสนอกฎหมายฉบับดังกล่าวอาจได้ประโยชน์จากกฎหมายนิรโทษกรรมเสียเอง นอกจากนี้ กฎหมายดังกล่าวอาจเป็นกฎหมายการเงินที่ต้องได้รับการรับรองจากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯและรมว.กลาโหม เพราะหากมีการนิรโทษกรรมให้คนที่เผาศาลากลางจังหวัดอุดรธานีศาลวินิจฉัยให้ต้องชดใช้เงินประมาณ 200 ล้านบาท หากมีการล้างผิดเกิดขึ้นรัฐบาลจะต้องสูญเสียประโยชน์ และสุดท้ายกฎหมายนิรโทษกรรมยังทำร้ายหลักนิติรัฐ นิติธรรมอีกด้วย.
[Continue reading...]

กรรมการสิทธิฯ ยันรายงานสลายชุมนุมแดงไร้ใบสั่ง แต่มีธง ?

- 0 comments
เมื่อวันที่ 11ส.ค. นางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวถึงการเผยแพร่รายงานผลการตรวจสอบเพื่อมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายกรณีเหตุการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ระหว่างวันที่ 12 มี.ค. -19 พ.ค.53 ว่า การตรวจสอบและทำรายงานเรื่องนี้เป็นการทำตามอำนาจหน้าที่ กสม. ที่ได้รับคำร้องเรียนให้ตรวจสอบการชุมนุมมาทั้งหมด 32 คำร้อง ไม่ใช่ทำตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี หรือของใคร ยืนยันทำตามหน้าที่ของเราอย่างอิสระ ซึ่งรายงานดังกล่าวมีการดำเนินการมายาวนาน ตรวจสอบจากปากพยานเกือบ 200 ปาก ดูคลิป เอกสาร ศอฉ. ข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริงต่าง ๆ รวมทั้งดูพื้นที่จริง ทำให้ล่าช้า แต่ผลที่ออกมาเป็นข้อเสนอแนะที่ กสม.สรุปเป็นบทเรียนให้ภาครัฐ และผู้ชุมนุมบทเรียนสำหรับผู้ชุมนุม ซึ่งต่างจากรายงานของ คอป.ที่มีเรื่องของปรองดองด้วย แต่ของ กสม.มีแต่เรื่องการละเมิดสิทธิ

นางอมรา กล่าวว่า สำหรับบทเรียนสำหรับผู้ชุมนุม เราก็เน้นว่าผู้ชุมนุมหรือผู้จัดการชุมนุม ต้องรับผิดชอบเต็มที่ในการควบคุมฝูงชน ควบคุมความคิด และหากมีความคิดแตกแยก ควบคุมไม่ได้ก็ต้องเป็นความรับผิดชอบของผู้จัดการชุมนุม และยังต้องควบคุมไม่ให้มีการใช้อาวุธ และดูแลว่าหากสถานการณ์บานปลายมันจะมีผลกระทบอย่างไรด้วย ส่วนบทเรียนสำหรับภาครัฐ คือต้องพยายามใช้กฎหมายปกติให้มากที่สุด หลีกเลี่ยงการใช้กฎหมายพิเศษ หากจะใช้กฎหมายพิเศษต้องใช้ด้วยเหตุผล เหมาะสมกับสถานการณ์ และรัฐมีหน้าที่ต้องดูแลความสงบ และอีกบทเรียนหนึ่งคือ เนื่องจากทหารไม่ได้มีทักษะความชำนาญในการควบคุมฝูงชน ก็จำเป็นจะต้องมีคนที่มีความชำนาญทักษะทางด้านนี้ อาจจะเป็นองค์กรหรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งที่ทำหน้าที่ได้ นอกจากนี้ก็ไม่ควรจะมีการปิดกั้นสื่อหรือเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นด้วย

“ ในช่วงปีแรกของการทำการตรวจสอบนั้น ข้อจำกัดมีสูงมาก ได้ข้อมูลน้อยมาก ไม่ได้รับความร่วมมือ เพราะต่างคนต่างไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เกิดอะไรขึ้น ดังนั้นพยานจึงลังเล ไม่กล้าเล่า หรือให้ข้อมูลไม่ครบ หรือหน่วยงานรัฐเมื่อเราขอข้อมูลไปก็ไม่ได้ ล่าช้า เพราะไม่รู้ว่านายจะว่าอย่างไร แต่ในปีต่อมา กสม.ก็ได้สัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องที่เป็นเจ้าหน้าที่ แกนนำ ซึ่งก็ดีขึ้น เพราะสถานการณ์เริ่มเปลี่ยนเพราะเป็นปีที่ 2 แล้ว เห็นแล้วว่าอะไรเป็นอะไร เขาก็ตัดสินใจกันได้ว่าจะให้ข้อมูลได้มากน้อยแค่ไหน เหล่านี้คือข้อจำกัดที่ชัดเจนมาก”นางอมรา กล่าว.
ที่มา : เดลินิวส์
[Continue reading...]
 
Copyright © . Yak Ratchaprasong - Posts · Comments
Theme Template by BTDesigner · Powered by Blogger