Wednesday, July 31, 2013

เรื่อง "เงิน" ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด (แต่เป็นเรื่อง "เวลา"เพราะที่ผ่านมาเราใช้เวลาคุ้มค่าหรือเปล่า)

- 0 comments
 

ชมคลิปการบรรยายเต็มได้ที่นี่

โครงการของ พ.ร.บ. 2ล้านล้านบาท ผมพูดอย่างไม่อายว่าไม่ใช่ผลงานของรัฐบาลชุดนี้
เพราะเราคิดกันมาเป็น 20 ปี 

ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมอยู่แค่ 8 เดือน 

ผมคิดไม่ได้หรอกครับเพราะโครงการมีเยอะมาก ซึ่งโครงการพวกนี้ถูกคิดกันมาเป็น 10 -20 ปี แต่รัฐบาลชุดนี้นำมาจัดความสำคัญและหาแหล่งเงินให้

รถไฟรางคู่ อนุมัติครั้งแรกปี36 (20 ปีที่แล้ว) อนุมติไป 2,700 กิโลเมตร แต่ทำไปแค่ 300 กิโลเมตร
รถไฟความเร็วสูง คิดตั้งแต่ปี 37 ปัจจุบันยังไม่มีแม้แต่หนึ่งเมตร
ถนน4 เลน อนุมัติปี 38 ระยะทาง 7300 กิโลเมตร แต่เรายังขาดอีก 1,800 กิโลเมตรที่ยังทำไม่เสร็จ ทั้งที่อนุมัติไปเกือบ 20 ปีแล้วเช่นกัน
มอเตอร์เวย์ อนุมัติปี 40 เป็นเวลา 16 ปีมาแล้ว อนุมัติไป 700 กิโลเมตร ทำไป 146 กิโลเมตร
รถไฟในเมือง ปี47 อนุมัติไปเกือบ 300 กิโลเมตร แต่วิ่งได้จริงๆวันนี้แค่ 80 กิโลเมตร

ปัญหาจริงๆแล้วของเรา คือเราไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องเวลา เพราะเราคิดว่าเวลาคือ "ของฟรี" 
แต่ระยะเวลา "ไม่ฟรี" 
เวลาเป็นสิ่งที่แพงที่สุด

รถไฟความเร็วสูงของญี่ปุ่นใช้เวลา 10 ปีเสร็จนับตั้งแต่เริ่มคิด

เราคิดปี 2537 จึงเริ่มศึกษา
จีนเปิด2546
เกาหลีใต้เปิด 2547
ไต้หวันเปิด 2550

แต่เรายังคิดอยู่

อะไรคือมูลค่าของเวลาที่เสียไป 
ในงานเสวนาวันนี้ ผมเห็นคนชูป้ายอยู่ข้างหน้าว่า "สร้างหนี้ 2ล้านล้าน"
จริงครับ เราสร้างหนี้ 2 ล้านล้าน
แต่จะสร้างวันนี้ หรือจะสร้างในอนาคต

ถ้าสร้างในอนาคต
แทนที่จะสร้างด้วยเงิน 2ล้านล้าน
เราจะมีทั้งค่าเสียเวลา ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และน้ำมันที่เสียไปปีละกว่าแสนล้าน

เราเคยคิดหรือเปล่าว่าต้นทุนของการ "ไม่ทำ" คือเท่าไหร่
2 ล้านล้านคือต้นทุนของการทำในวันนี้

รถไฟรางคู่อนุมัติปี36 ด้วยงบประมาณ 80,000 ล้าน
แต่ปีนี้ 400,000 ล้าน
20 ปีผ่านไป ต้นทุนเพิ่มขึ้น 5 เท่า

บางทีต้นทุนของการไม่ทำมันสูงมากจนเราก็ลืมคิดถึงมัน
เพราะฉะนั้น หัวใจของ พ.ร.บ. 2 ล้านล้าน ไม่ใช่เรื่องเงิน
แต่เป็นเรื่องของ "เวลา" ครับ
[Continue reading...]

มาร์ค ซัด ปู ดันนิรโทษผู้สร้างความขัดแย้งตัวจริง

- 0 comments

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซัด นายกรัฐมนตรี เป็นผู้สร้างความขัดแย้งตัวจริง หลังดัน ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมเข้าสภา...
วานนี้ (31 ก.ค. 56) เวลา 19.50 น. ที่สกายวอล์ก สถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ปราศรัยบนเวทีเดินหน้าผ่าความจริงของพรรคประชาธิปัตย์ว่า กฎหมายที่รัฐบาลพยายามผลักดันขณะนี้เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น ไม่ทราบว่าคิดได้อย่างไรที่ใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ตั้งแต่วันที่ 1-10 ส.ค.ในพื้นที่เขตดุสิต เขตพระนคร และเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย มาดูแล ส.ส.ของรัฐบาล โดยทุ่มเทสรรพกำลังมาดูแลรัฐสภา เพื่อให้มีการพิจารณา ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพื่อช่วยคนที่ทำความวุ่นวายให้บ้านเมือง ถ้ากฎหมายนี้ทำให้เกิดความสามัคคีจริง รัฐบาลจะประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ ทำไม การที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ ถึงวันที่ 10 ส.ค.นั้น ก็อย่าหวังว่าวันที่ 10 ส.ค.กฎหมายนิรโทษกรรมจะผ่านสภาฯ รัฐบาลต้องประกาศใช้อีกนาน หากเลิิกใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ ก็ต้องถอนกฎหมายนิรโทษกรรม ออกจากสภาฯ ให้หมด และยืนยันพรรคประชาธิปัตย์ จะต่อสู้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ไม่ต้องมากล่าวหาพวกตนว่า สร้างความขัดแย้งในสังคม เพราะอดทนมา 2 ปี เพื่อให้บ้านเมืองสงบ แต่วันนี้คนที่สร้างความขัดแย้งตัวจริงคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และพรรคเพื่อไทย หากใครอยากได้ความสงบให้ขอที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ขณะที่พรรคเพื่อไทยไม่ต้องสอนพรรคประชาธิปัตย์ว่า ไม่เข้าใจระบบรัฐสภา เพราะที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทย จะเข้าใจระบบรัฐสภาก็เมื่อมีเสียงข้างมาก ส่วนการตั้งเวทีผ่าความจริงของพรรคก็ไม่เคยยุให้ประชาชนทำผิดกฎหมาย แต่บอกให้ประชาชนใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น และพวกตนก็รักษาระบบรัฐสภาที่เป็นส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยที่ผู้แทนไม่ใหญ่กว่าประชาชน

ที่มา:ไทยรัฐ
[Continue reading...]

สุเทพ "ยุ" ให้ประชาชนหยุดงาน "ต้าน" รัฐ "กุข่าว" แอบฝึกกองกำลังชายชุดดำ

- 0 comments
เวลา 18.25 น. วันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวทีผ่าความจริง สกายวอล์ค ช่องนนทรีย์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย จะทำให้พวกเขาได้รับการนิรโทษกรรม และจะไม่มีความผิดอีกต่อไป และที่สำคัญยังระบุให้นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ใช้อำนาจตามกฎหมายนี้ ดังนั้นน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เลิกพูดว่า หนูไม่รู้ ไม่เข้าใจ ได้แล้ว เพราะถือว่าเป็นตัวดี หากนายกฯ ไม่เอาด้วย กฎหมายฉบับนี้ก็ผ่านสภา ไม่ได้ นอกจากนี้ตนยังมีข้อมูลว่า ขณะนี้ยังมีการส่งคนไปฝึกเป็นกองกำลังชุดดำ ที่ประเทศกัมพูชา และทยอยกลับมาประเทศไทย ซึ่งใครจะรับรองได้ว่า วันข้างหน้าหากคนไทยและประเทศไทย ไม่ยอมทำตามที่เขาต้องการ พวกเขาจะไม่ลุกขึ้นมาทำร้ายคนไทยและประเทศไทยอีก เพราะขณะนี้พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. บอกว่าพวกเราเป็นอันธพาล ตนอยากบอกว่า อย่าลุแก่อำนาจ ข่มเหง ดูถูกประชาชน เพราะเขามาต่อสู้ด้วยความอหิงสา ไม่มีอาวุธ ขอประกาศว่า ถ้าประชาชนบาดเจ็บแม้แต่คนเดียว คนพวกนั้นก็ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป และหากมีการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม ก็อย่าอยู่กันอีกเลย

“ในวันที่ 1-7 สิงหาคม ขอให้เป็นหน้าที่ของส.ส.ต่อสู้กับพวกเขาในสภา เราจะแสดงให้เห็นว่า เราจะพูดแทนประชาชนอย่างมีเหตุผล จะชี้แจงให้เหตุอย่างละเอียดว่า กฎหมายนี้เลวอย่างไร เราจะสู้ทั้งวันทั้งคืน สู้ทุกคน แต่เชื่อว่า สู้แล้วแพ้ เพราะเรามีอยู่ร้อยกว่าคน แต่เราจะตามไปสู้ในชั้นกรรมาธิการวาระ 2 โดยเราจะแปรญัตติทุกมาตรา ทุกตัวอักษร และกลับมาสู้ในสภา วาระ 3 ซึ่งก็แพ้อีก ถึงวันนั้นเชิญประชาชนเป่านกหวีดยาวได้ ผมจะไม่รอให้ใครสั่งผม ไม่ขออนุญาตใคร แต่ผมจะมายืนกับประชาชน เป็นอย่างไรก็เป็นกัน เพราะเราให้โอกาสรัฐบาลจนถึงวันที่เขาชนะเราในวาระ 3 แล้ว ถ้ารัฐบาลยอมถอยก็เลิกกัน  แต่หากยังดึงดันกดหัวคนไทย ด้วยกฎหมายอัปยศ ไม่มีสำนึก แสดงว่าสันดานพวกคุณแก้ยากแล้ว ถึงวันนั้นเราก็จะร่วมกันทุกกลุ่มเพื่อล้มรัฐบาล”นายสุเทพ กล่าว

นายสุเทพ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามระหว่างนี้ขอให้ประชาชนมาร่วมกันต่อสู้ทุกวัน เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นแนวร่วมกันทุกกลุ่ม เพื่อให้รัฐบาลเห็นว่าเราสู้กันอย่างเต็มที่ มีคนมาเสนอตนว่า หากแพ้ในสภาวาระ 3 ขอให้ร่วมหยุดงานกันทั้งประเทศ ไม่รับใช้ ไม่ฟังคำสั่งรัฐบาลนี้อีกต่อไป ขณะนี้มีหลายคนน้อยใจทหารว่าทำอะไรอยู่ ตนอยากบอกว่า ในปี 52-53 ถ้าทหารไม่ออกมาช่วย พวกนั้นยึดประเทศไปแล้ว แต่
ตอนนี้ไม่ใช่หน้าที่ทหาร และตนไม่เคยเรียกร้องให้ปฏิวัติ แต่ขอเรียกร้องให้ประชาชนลุกฮือต่อต้านรัฐบาล หากเราแพ้ในสภาวาระ 3 ถึงวันนั้นไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ ต้องมายืนข้างประชาชน

ที่มา : มติชน
[Continue reading...]

ประยุทธ ส่ง "ทหาร 860 นาย" พร้อมเรือ รถยนต์ ช่วย "น้ำท่วม"

- 0 comments

 
ประยุทธ์ ส่ง 860 ทหารพร้อมรถยนต์บรรทุก 37 คัน เรือ 27 ลำ เข้าช่วยเหลือประชาชนในทุกพื้นที่ที่เกิดเหตุ จ.ตาก แม่ฮ่องสอน น่าน, เชียงราย, พะเยา ปราจีนบุรี กาญจนบุรี และ สกลนคร
เมื่อวันที่ 31 ก.ค. ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ.วินธัย  สุวารี รองโฆษกกองทัพบก กล่าวถึงการช่วยเหลือประชาชนในการบรรเทาสถานการณ์อุทกภัยในหลายพื้นที่ว่า กองทัพบกได้ส่งกองร้อยเฉพาะกิจ โดยมีกำลังพลจำนวน 860  นาย รถยนต์บรรทุก 37 คัน เรือ 27 ลำ เข้าช่วยเหลือประชาชนในทุกพื้นที่ที่เกิดเหตุ  โดยเฉพาะ จ.ตาก แม่ฮ่องสอน น่าน, เชียงราย, พะเยา ปราจีนบุรี กาญจนบุรี และ สกลนคร ด้วยการเข้าขนย้ายคนและสิ่งของไปยังพื้นที่ปลอดภัย พร้อมทั้งเปิดเส้นทางการสัญจร  รวมถึงการวางแผนร่วมกับทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และการช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ เน้นการเปิดเส้นทางเพื่อให้ทุกหน่วยงานสามารถเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ถูกตัดขาด ซึ่งขณะนี้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดพล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ส่งผู้บังคับหน่วยทหารในทุกพื้นที่ที่เกิดอุทกภัยเป็นตัวแทนลงพื้นที่เข้ารับทราบความต้องการเร่งด่วนของผู้ประสบภัยและชุมชนที่เกิดเหตุ เพื่อส่งความช่วยเหลือให้ตรงกับความเดือดร้อนโดยเร็วที่สุด

พ.อ.วินธัย กล่าวต่อว่า สถานการณ์อุทกภัยยังเกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนไทย - เมียนมาร์ โดยเฉพาะจ.เมียวดี ตรงข้ามจ.ตาก ซึ่งรัฐบาลเมียนมาร์ได้ประสานขอความช่วยเหลือมายังรัฐบาลไทย  โดยนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม กองทัพบก จัดส่งความช่วยเหลือเป็นการด่วน  ซึ่งในวันนี้กองทัพบกได้จัดเรือยางติดเครื่องยนต์ 2 ลำ เรือท้องแบน 3 ลำพร้อมเจ้าหน้าที่ประจำเรือ 20 นาย ถุงยังชีพ 300 ชุด และถุงยังชีพอีก 500 ชุดจากกาชาดอำเภอ นำไปมอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเมียวดี บริเวณสะพานมิตรภาพไทย - พม่า เพื่อนำไปบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น
ที่มา: gf]bob;lN
[Continue reading...]

เหตุใด "พันธมิตร" จึงไม่ชุมนุม ?

- 0 comments
แน่นอนว่าพันธมิตรฯ ยังคงแถลงต่อต้านการนิรโทษกรรม เพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียม ส่วนนี้ไม่มีอะไรแปลกใหม่
 
แต่ที่ส่วนที่น่าสนใจจนต้อง 'สะดุ้ง' คือคำอธิบายการไม่ออกมาชุมนุมในช่วงเวลานี้ โดยพันธมิตรฯ ได้อธิบายในแถลงการณ์ฉบับที่ 4/2556 ว่า
 
…แต่สถานการณ์ปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงไป เมื่อแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้ปราศรัย พิธีกร ศิลปิน และประชาชน ได้ถูกกลั่นแกล้งโดยยัดเยียดข้อหาร้ายแรงอันเป็นเท็จ...แม้ว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพร้อมที่จะพิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการยุติธรรมเพื่อรักษาหลักนิติรัฐ นิติธรรม แต่ศาลอาญาก็ได้มีคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ อ. 973/2556 ให้ประกันตัวโดยมีเงื่อนไขตั้งแต่เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2566 ว่า
 
“ห้ามมิให้จำเลยกระทำการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง หรืออาจก่อให้เกิดภัยอันตรายต่อความเสียหายหรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทำการใดๆ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน และห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล”
 
และศาลอาญาได้แถลงย้ำคำสั่งดังกล่าวอีกเป็นครั้งที่สองเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ.2556 ย่อมแสดงให้เห็นว่า แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้ปราศรัย พิธีกร ศิลปิน และประชาชนอีกจำนวนมากได้ถูกลิดรอนสิทธิจากคำสั่งดังกล่าว และเป็นข้อจำกัดจนไม่สามารถทำให้การชุมนุมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพหรือประสบผลสำเร็จได้จริงในสถานการณ์ปัจจุบัน และวิธีการชุมนุมภายใต้เงื่อนไขดังกล่าวก็ยังไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ในขณะนี้
 
(ย่อและเน้นคำโดยผู้เขียน คำแถลงฉบับเต็ม ดูที่ http://bit.ly/PAD310713)
 
เมื่อได้อ่านคำแถลงส่วนนี้แล้ว ผู้เขียนต้อง ‘สะดุ้ง’ ถึงสองครั้ง !
 
*** สะดุ้งแรก : พันธมิตรวิจารณ์ศาล ? ***
 
ผู้เขียนสะดุ้งเพราะรู้สึกเป็นบุญตาที่ได้เห็นพันธมิตรฯ ออกมาวิจารณ์ "ศาลไทย" ตรง ๆ ว่าคำสั่งศาลที่กำหนดเงื่อนไขการชุมนุมนั้นเป็นการ  "ริดรอนสิทธิ" ของประชาชน
 
ในขั้นแรก การแสดงจุดยืนเช่นนี้ จะถือว่า ‘ย้อนแย้ง’ ตนเองหรือไม่ ? เพราะในขณะที่พันธมิตรฯ กำลังเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเข้าสู่กระบวนการทางศาล แต่แถลงการณ์ฉบับเดียวกันนี้เองก็กลับเห็นว่าศาลกำลังริดรอนสิทธิของประชาชน แล้วเช่นนี้ ประชาชนจะยังพึ่งศาลได้มากน้อยเพียงใด ?
 
หรือพันธมิตรฯ กำลังส่งสัญญาณเพื่อต่อรองกับ "อำนาจเหนือตุลาการ" ให้ยอมผ่อนปรนเงื่อนไขการประกันตัว แลกกับการออกมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาล ?
 
อย่างไรก็ดี ผู้เขียนขอมองในแง่ดีว่า พันธมิตรฯ กำลังแสดงความเห็นวิจารณ์ศาลอย่างสุจริต และเป็นการวิจารณ์ทำนองเดียวกันจากประชาชนทุกสีเสื้อที่ศาลควรรับฟังอย่างยิ่ง
 
ผู้เขียนทราบดีว่า คำสั่งศาลอาญาไม่ได้ปิดกั้นการชุมนุม หรือการไปแสดงออกทางการเมือง โดยหากจำเลยที่ได้การปล่อยตัวชั่วคราวรายใดจะชุมนุมโดยสงบสันติ และไม่ทำผิดเงื่อนไขที่ห้าม "ยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง..."   ศาลท่านก็ย่อมไม่ได้ห้ามแต่ประการใด
 
แต่ผู้เขียนเห็นด้วยกับพันธมิตรฯ ในแง่ที่ว่า การใช้อำนาจออกคำสั่งของศาลโดยใช้ถ้อยคำที่กินความกว้างเช่นนี้ ย่อมทำให้จำเลยเหล่านี้กลายเป็น ‘ประชาชนที่มีตราบาป’ และไม่กล้าใช้สิทธิเสรีภาพ เพราะการใช้สิทธิเสรีภาพนั้นต้อง “ถูกใจศาล” หากไม่ถูกใจก็จะถูกศาลเรียกมาไต่สวนเพื่อแสดงความสำนึกและก้มกราบขอขมาต่อศาล มิเช่นนั้น ก็อาจถูกส่งกลับเข้าคุกได้โดยไม่ต้องพิจารณาคดีใหม่
 
การออกคำสั่งล่วงหน้าที่พ่วงมาด้วยโอกาสติดคุกโดยไม่ต้องรับการพิจารณาคดีใหม่เช่นนี้ ถือเป็นกรณีที่ศาลสร้างเกณฑ์ขึ้นมาปรับใช้เอง ซึ่งเกินเลยไปกว่ารัฐธรรมนูญหรือกฎหมายที่ให้อำนาจไว้
 
แน่นอน ย่อมมีผู้แย้งว่า รัฐธรรมนูญ มาตรา 28 ได้บัญญัติว่า
 
"บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน"
 
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเป็นมาตรานี้ หรือ มาตรา 108/1 ในกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หรือจะมาตราใดในระบบกฎหมายไทย ก็ไม่ได้ให้อำนาจศาลออกคำสั่งกำหนดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราวเป็นการทั่วไปดังเช่นที่ศาลอาญากระทำตลอดมา
 
หากว่ากันไปตามตัวบทกฎหมายแล้ว ศาลจะต้องกำหนดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราวอย่างแคบ เช่น ห้ามจำเลยไปทำลายพยานหลักฐาน หรือทำผิดซ้ำในประเด็นที่เจาะจงกับคดีเดิม ส่วนหากจำเลยจะไปชุมนุมและละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่นต่างกรรมต่างวาระ ก็ต้องถูกดำเนินคดีใหม่แยกกันต่างหาก มิใช่นำเรื่องการประกันตัวในคดีเดิมมาตีความปะปนกันประหนึ่งเป็นคำขู่ในการควบคุมความประพฤติ (ผู้เขียนเคยอธิบายข้อกฎหมายไว้แล้วที่ http://bit.ly/trabab)
 
การใช้อำนาจของศาลไทยเช่นนี้ เกิดขึ้นกับจำเลยชาวไทยทุกคน ไม่ว่าเสื้อเหลือง เสื้อแดง หรือเสื้ออะไร ส่งผลให้จำเลยที่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวอย่างมีเงื่อนไขกลายเป็นประชาชนที่มีตราบาปอย่างไม่เป็นธรรม และถือเป็นการที่ศาลไทยละเมิดรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะในเรื่องความเสมอภาค และบทสันนิษฐานความบริสุทธิ์อย่างโจ่งแจ้งที่สุด
 
*** สะดุ้งที่สอง : ชุมนุมทั้งที ต้องเอาให้คุ้ม ? ***
 
การสะดุ้งครั้งที่สอง แรงยิ่งกว่าครั้งแรก เมื่อผู้เขียนได้อ่านคำแถลงส่วนท้ายของพันธมิตรฯ ที่ว่า
 
"วิธีการชุมนุมภายใต้เงื่อนไขดังกล่าวก็ยังไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ในขณะนี้"
 
กล่าวคือ พันธมิตรฯ กำลังจะสื่อว่าหากต้องชุมนุมโดยสงบสันติตามเงื่อนไขของศาลอย่างเคร่งครัด จะถือเป็นการชุมนุมที่ไม่คุ้มค่า ?
 
หรือหากจะชุมนุมให้ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า จะต้องสามารถ  "ยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ" ?
 
แม้ผู้เขียนไม่คิดว่า พันธมิตรฯ จะเจตนาสื่อเช่นนั้น แต่ข้อความในคำแถลงอาจทำให้เข้าใจเช่นนั้นได้หรือไม่ ?
 
พันธมิตรฯ ไม่ควรลืมว่า ความสำเร็จและเสียงสนับสนุนใดๆ ที่พันธมิตรฯ เคยได้รับจาก "ประชาชนทั่วไป" ในยุคแรกเริ่ม จนกลายมาเป็น "คนเสื้อเหลือง" ในยุคเฟื่องฟูนั้น เริ่มต้นมาจากสมัยที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล จัดปราศรัยวิจารณ์คุณทักษิณ ชินวัตร อย่างสันติ แต่เด็ดขาด และตรงไปตรงมา เช่น รายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรที่สวนลุมพินี ฯลฯ
 
การปราศรัยดังกล่าวเป็นตัวอย่างของการใช้เสรีภาพที่สันติ และถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ใช้พื้นที่สาธารณะงัดข้อมูลและเหตุผลมาถกเถียงกันโดยไม่ต้องสนใจว่าจะต้องสามารถล้มรัฐบาลได้หรือไม่ ซึ่งพลังที่สันติเช่นนั้น คือ พลังที่ขาดหายไปจากสังคมไทยในวันนี้
 
หากพันธมิตรฯ สามารถจุดพลังสันติที่เคยมีมาในอดีต โดยมีหลักการและเหตุผลเป็น "ต้นทุน" ย่อมไม่ต้องกังวลเลยว่าชุมนุมไปแล้ว "คุ้มค่าหรือไม่"
 
แต่หากพันธมิตรฯ จะคิดแบบนักธุรกิจการเมือง ที่มองผล "ความคุ้มค่า" เป็นสำคัญ หลายคนก็คงอดไม่ได้ ที่จะต้อง "สะดุ้ง" ทั้งด้วยความสงสัย และความเสียดาย
 
และนี่อาจเป็นคำตอบส่วนหนึ่งว่าเหตุใด คนที่เคยใส่เสื้อเหลือง ถึงหันมาสวม ‘หน้ากากขาว’ แทน (http://bit.ly/whiteandyellow)
 
ที่มา : ประชาไท

[Continue reading...]

พท.ขู่ยื่นยุบ ปชป.อ้างเป็นปฏิปักษ์กับประชาธิปไตย

- 0 comments
พท. ขู่ ยื่น กกต.ยุบ ปชป. ฐานเป็นปฏิปักษ์ ต่อระบอบประชาธิปไตย จ้องนำมวลชน ขัดขวางการทำงานฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร ระบุชัด ปชป.เตรียมป่วน นำมวลชนค้านร่างนิรโทษฯ ทั้งในและนอกสภาฯ

วันที่ 31 ก.ค.นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นาย
ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุ การใช้ พ.ร.บ.มั่นคง เป็นการเหิมเกริมของรัฐบาล ที่ลิดรอนสิทธิ์ประชาชนว่า การประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคง เพราะฝ่ายความมั่นคง และพรรคได้รับข้อมูลตรงกันว่า ฝ่ายค้าน และฝ่ายตรงข้าม มีการปลุกระดมมวลชนมาชุมนุม เห็นได้จาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ประกาศนำมวลชนคัดค้าน ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมทั้งในและนอกสภา จึงต้องประกาศ พ.ร.บ.มั่นคง เพื่อป้องกันความเสียหาย และมือที่ 3  เป็นการรักษาภาพลักษณ์ประเทศ และประชาชนผู้บริสุทธิ์ ไม่ใช่การลุแก่อำนาจ หรือ จำกัดสิทธิ์ประชาชน เพราะการประกาศ พ.ร.บ.มั่นคง ไม่ใช่เรื่องใหม่ ซึ่งเคยประกาศใช้ในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มาแล้ว 7 ครั้ง และสมัยรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงและ พ.ร.ก.
ฉุกเฉิน 18 ครั้ง จึงไม่ใช่เรื่องแปลก สถานการณ์วันนี้ รัฐบาล ต้องมีเครื่องมือดูแลประชาชน เพื่อภาพลักษณ์ของประเทศ

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ฝ่าย ก.ม.เพื่อไทย กำลังรวบรวมการให้สัมภาษณ์ และขึ้นเวทีของ แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ที่ปราศรัยเคลื่อนไหว ทั้งในและนอกสภาฯ ซึ่งการปลุกระดมมวลชนเป็นการขัดขวางการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร ส่อ เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย น่าจะเข้าข่าย ขัดพ.ร.บ.พรรคการเมือง ดังนั้น จะหารือกับฝ่ายกฎหมายเพื่อยื่น
กกต.ให้ ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ต่อไป.


ที่มา :ไทยรัฐ

 

[Continue reading...]

กกต. หวั่นเกิดสูญญากาศทางการเมือง ทำให้สถานการณ์รุนแรง หาก 2 องค์กร ศาลรธน.-ป.ป.ช. ผลการพิจารณาออกมาในช่วงเวลานี้

- 0 comments
วันที่ 31 ก.ค. 56  ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงการลาออกจากตำแหน่งประธานและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ว่า ตนคิดว่าการลาออกของนายวสันต์ น่าจะมีนัยยะที่สำคัญ เพราะระหว่างนี้ที่ศาลรัฐธรรมนูญก็จะมีการตัดสินคดีที่สำคัญที่อาจจะกระทบรัฐบาล และสถานการณ์บ้านเมือง

โดยเฉพาะเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังพิจารณาคำร้องเกี่ยวกับกรณีสมาชิกรัฐสภา 312 คน ร่วมกันลงชื่อเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติม รัฐธรรมนูญ มาตรา 68 

นอกจากนี้ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยังมีเรื่องที่ต้องพิจารณาการทุจริต ในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล หากทั้ง 2 องค์กรนี้มีการวินิจฉัยออกมา ซึ่งจะเกิดผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ที่อาจก่อให้เกิดสูญญากาศทางการเมือง เช่น หาก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดในโครงการรับจำนำข้าว แล้วส่งฟ้องต่อศาลฎีกา แผนกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ก็ต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลฎีกาจะมีคำวินิจฉัย

ขณะเดียวกันที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าส.ส. ส.ว.ทั้ง 312 คน ผิด กกต.ก็จะดำเนินการอะไรไม่ได้  เพราะกระบวนการของฝ่ายบริหารต่างๆ ก็ต้องหยุดชะงัก ซึ่งเชื่อว่าเมื่อสถานการณ์นี้เกิดขึ้น อาจจะทำให้ฝ่ายการเมือง และกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมืองต่าง ๆ ออกมาชุมนุม จนนำไปสู่ความรุนแรงยิ่งกว่าเมื่อปี 2553  ดังนั้นสถานการณ์เช่นนี้จึงน่าห่วง.
[Continue reading...]

เราเชื่อมั่น ในรัฐธรรมนูญ เชื่อมั่นในระบบรัฐสภา "นิพิฏฐ์ " เวทีผ่าความจริง ที่สกายวอล์คสถานีช่องนนทรี

- 0 comments
วันที่ 31 ก.ค. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นำแกนนำและส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี  นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรค นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน รองหัวหน้าพรรค ได้เดินทางมายังสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสอารีย์ เพื่อเดินทางมายังสถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรีย์​เพื่อร่วมเวทีประชาชน "เดินหน้าผ่าความจริง กฎหมายล้างผิดคิดล้มรัฐธรรมนูญ เงินกู้ผลาญชาติ อำนาจฉ้อฉล ซึ่งตั้งเวทีที่บริเวณสกายวอล์ค แยกสาทร - นราธิวาสฯ ซึ่งมีประชาชนทะยอยเข้าร่วมรับฟังการปราศรัย

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ สส.พัทลุง พรรคประชาาธิปัตย์  กล่าวปราศรัยบนเวทีว่า พรรคเชื่อมั่นในรัฐธรรมนูญ และระหว่างรัฐสภา กับรัฐธรรมนูญ นั้น ​รัฐธรรมนูญ สูงกว่าระบบรัฐสภา เพราะระบบรัฐสภา   ถูกสร้างขึ้นโดยรัฐธรรมนูญ  เรายังศรัทธาเชื่อมั่นในระบบรัฐสภา เราเชื่อมั่นในรัฐธรรมนูญ ​ซึ่งในวันที่ 1 ส.ค.นี้ ​จะมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.มั่นคงฯ สกัดประชาชน แต่กฎหมายความมั่นคงนั้นไม่ได้ใหญ่กว่า รัฐธรรมนูญ​

นายนิพิฏฐ์​ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญ ​มาตรา 63 ระบุว่าบุคคลมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ  ซึ่งใหญ่กว่ากฎหมายความมั่นคง ดังนั้นถ้าใครที่ไม่เห็นด้วยกับ ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้ ให้ใช้รัฐธรรมนูญ สู้กับ รัฐบาล ทรยศ   ที่ผ่านมาในเวทีผ่าความจริงที่จังหวัดลำปาง  กลับถูกขัดขวางจนแกนนำขึ้นเวทีไม่ได้ ​ดังนั้น ถ้าประชาชนออกมารวมตัวจนไม่เข้าสภาฯ ได้ก็เป็นตัวอย่างที่นำมาจากจ.ลำพูน ​

"วันนี้ถึงเวลาต้องเลือกข้าง ​ขณะนี้ไม่มีความเป็นกลาง ดังนั้นต้องเลือกข้าง ว่าจะอยู่ ข้างวรชัย ข้างเสื้อแดง ​หรือจะเลือก อยู่กับเสรีชนกับพวกเรา ยืนยันทำตามรรัฐธรรมนูญ ที่ไม่มี​แกนนำ ​การต่อสู้ครั้งนี้ เป็นเรื่องของการจัดทอดกฐินสามัคคี" ​นายนิพิฏฐ์ กล่าว

ที่มา :เดลินิวส์ โพสทูเดย์
[Continue reading...]

คุยกับ อ.วีระ ม๊อบหน้ากากขาวต่อต้านระบอบทักษิณ ภาค 2-3-4 คนเดิม ระบอบทักษิณเหมือนหม้อหุงข้าว

- 0 comments
ต่อต้านระบอบทักษิณ ภาค 2
คนที่ อ.วีระ ถาม ว่าระบอบทักษิณ คืออะไร เหมือนหม้อหุงข้าวหรือเปล่า  ครั้งที่แล้ว เจอหม้อหุงข้าว เที่ยวนี้จะเจออะไร

ต่อด้วย ต่อต้านระบอบทักษิณ ภาค 3
ถูก อ. วีระ ไล่ต้อน ให้ไปอ่าน มาก่อนแล้วค่อยคุย

ต่อด้วย ภาค 4  ม๊อบหน้ากากขาว ไม่สะบายใจเรื่องหม้อ

ขอบคุณ K-NEWS





[Continue reading...]

คุยกับ อ. วีระ เรื่อง "การเมือง" คืออะไร ตอนที่ 1 - 4

- 0 comments

อ.วีระ คุยกับผู้ฟัง เรื่อง "การเมืองคืออะไร" โดยผู้ที่โทรเข้ามา ต่าง ตอบไปตามความคิดของตัวเอง ซึ่งแต่ละคน จะมีความเข้าใจที่ไม่เหมือนกัน คลิปนี้มี 4 ตอน ด้วยกัน คลิกฟัง ที่ ลิ้ง ค์ ด้าน ล่าง

ขอบคุณ เว็บไซด์ กุ้งแชลแนล และ K-NEWS
 
 
 

[Continue reading...]

ก่อแก้ว "จี้" DSI ถอนประกัน อภิสิทธิ์ - สุเทพ ปราศรัย"ปลุกระดม" มวลชน

- 0 comments
ก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย "บี้" ดีเอสไอ ทบทวนประกันตัว อภิสิทธิ์ สุเทพ เหตุปราศรัย ปลุกระดม มวลชน ออกมาต่อต้าน การประชุมสภา

วันที่ 31 ก.ค.ที่ รัฐสภา  นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ถามถึง ดีเอสไอ ถึงกรณีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค พรรคประชาธิปัตย์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นผู้ต้องหาทำให้ประชาชนเสียชีวิต และได้รับการประกันตัว มีการปราศรัยปลุกระดมมวลชน ให้ออกมาต้าน รัฐบาล นัดชุมนุมคัดค้าน การออก พ.ร.บ นิรโทษกรรม ในการประชุมสภา ที่จะถึงนี้

ว่าดีเอสไอ ต้องพิจารณาในการถอนประกันตัวหรือไม่ และควรกำหนดเงื่อนไขให้อยู่ในกรอบ เหมือนอย่างที่ได้กระทำกับ แกนนำ คนเสื้อแดง

สำหรับกรณีองค์กรพิทักษ์สยาม ที่จะออกมาคัดค้าน การออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่จะนัดชุมนุม ในวันที่ 4 และ 7 ส.ค. นี้ ซึ่ง อพส. มีสิทธิ์ที่จะชุมนุม ก็ควรที่จะอยู่ในกรอบของกฏหมาย
[Continue reading...]

เลขาฯสมช.เผย ที่ประชุมครม.ชุดเล็กมีมติให้ประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงฯ ในพื้นที่ 3 เขตของกทม. 1 - 10 ส.ค. 56

- 0 comments
ภาพประกอบข่าว
เลขาธิการความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช.เปิดเผยที่ประชุมครม.ชุดเล็กมีมติให้ประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงฯ ในพื้นที่ 3 เขตของกทม. อันได้แก่ เขตดุสิต เขตพระนคร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ในช่วงวันที่ 1-10 ส.ค.56

พลโทภราดร พัฒนถาบุตร เลขาฯ สมช.  เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดเล็กในวันนี้ได้มีมติให้ประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงฯ ในพื้นที่ 3 เขตของกรุงเทพมหานคร อันได้แก่ เขตดุสิต เขตพระนคร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ในช่วงวันที่ 1-10 สิงหาคม พ.ศ. 2556

นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.).เป็นผู้รับผิดชอบในการป้องกัน ปราบปราม ยับยั้งเหตุการณ์ที่อาจจะกระทบต่อความมั่นคง หลังจากฝ่ายความมั่นคงประเมินสถานการณ์เห็นว่ามีความจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว เนื่องจากมีการประกาศว่าจะมีการชุมนุมของหลายกลุ่มเพื่อคัดค้านและประท้วงไม่เห็นด้วยกับการประชุมรัฐสภา มีแนวโน้มว่าจะมีมวลชนมาร่วมชุมนุมเป็นจำนวนมากและอาจยืดเยื้อ อาจลุกลามไปถึงขั้นยึดสถานที่ราชการ ซึ่งหวังผลทางการเมืองต้องการขัดขวางการทำหน้าที่ของรัฐสภา

การประกาศใช้กฎหมายดังกล่าว ไม่กระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนทั่วไป เพียงเพื่อต้องการให้ให้ สมาชิกนิติบัญญัติ ปฏิบัติหน้าที่ ได้

ที่มา:วอยซ์ทีวี
[Continue reading...]
 
Copyright © . Yak Ratchaprasong - Posts · Comments
Theme Template by BTDesigner · Powered by Blogger