Thursday, July 11, 2013

กกต.ประกาศรับรอง“อี้ แทนคุณ”นั่งส.ส.สัปดาห์หน้า

- 0 comments

วันนี้ (12 ก.ค.)  เวลา 9.00 น.ที่โรงแรมโนโวเทล เมืองทองธานี นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงความคืบหน้าคำร้องคัดค้านนายแทนคุณ จิตต์อิสระ ผู้ได้รับการเลือกตั้ง ส.ส.กทม. เขต12  (ดอนเมือง) พรรคประชาธิปัตย์ ว่า อยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบเอกสารหลักฐาน ซึ่ง กกต.ก็พยายามที่จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ทั้งนี้เชื่อว่าในสัปดาห์หน้า กกต.จะสามารถพิจารณาประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.กทม. เขต 12 (ดอนเมือง)ได้ เนื่องจากครบกำหนดระยะเวลา 30วัน ตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 32 ที่ให้อำนาจหน้าที่ กกต.สามารถสืบสวนสอบสวนกรณีที่มีเรื่องร้องคัดค้าน ให้แล้วเสร็จภายใน30 วัน หากไม่แล้วเสร็จ กกต.ก็สามารถประกาศรับรองผลการเลือกตั้งไปก่อนได้ และระยะเวลาก็เหมาะสมไม่ล่าช้า เมื่อประกาศไปแล้วยังสืบสวนสอบสวนไม่แล้วเสร็จก็ยังสมารถดำเนินการได้อีกภายในระยะเวลา 1ปี ในการพิจารณาเรื่องร้องคัดค้าน

ที่มา : เดลินิวส์
[Continue reading...]

"สดศรี สัตยธรรม" เผย การสอบสวนเลือกตั้งซ่อมดอนเมือง ตามที่คนร้อง ยังไม่เสร็จ 16 ก.ค. จะรับรองผลทางการ

- 0 comments
 

นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้งด้านกิจการพรรคการเมือง ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. เปิดเผยถึงการดำเนินการสืบสอบสวนตามคำร้อง กรณีการร้องคัดค้านการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขตดอนเมือง ที่ผ่านมา ว่า การดำเนินการสืบสวนสอบสวนขณะนี้ ยังไม่แล้วเสร็จ ตามที่ทางคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร ได้รับคำร้องไว้ ดำเนินการจำนวน 3 คำร้อง โดยรวบเป็น 1 สำนวน ในการร้องคัดค้าน ผู้สมัครในนามของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งนั้น
 
โดย นางสดศรี กล่าวว่า ขณะนี้ใกล้ครบกำหนดระยะเวลาการรับรองผลการเลือกตั้งตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง ที่กำหนดให้มีการประกาศรับรองผลภายใน 30 วัน ทำให้มีความจำเป็นต้องมีการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งไปก่อน ตามกฎหมายการเลือกตั้ง
 
ซึ่งในวันอังคารที่ 16 กรกฎาคมนี้ คาดว่า ที่ประชุม กกต.กลาง จะมติประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการ หากคณะกรรมการเข้าครบองค์ประชุม ส่วนการดำเนินการสืบสวนสอบสวน ยังคงต้องดำเนินต่อไป หากพบว่ามีความผิดจริง สามารถดำเนินการได้ในภายหลัง
 
 
ที่มา

 : News Center / INNnews
[Continue reading...]

ยรรยงสั่งเอาผิดคนปล่อยข่าวข้าวปนเปื้อน

- 0 comments

 
รมช.พาณิชย์ สั่งเอาผิดคนปล่อยข่าวข้าวปนเปื้อนมีสารพิษ ยันการผลิตมีมาตรฐานสากล เตรียมพาสื่อดูขั้นตอนการผลิต 13 ก.ค.นี้

นายยรรยง พวงราช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในศึกษาวิธีการและดูในข้อกฎหมาย กฎระเบียบว่าจะดำเนินการลงโทษเพื่อเอาผิดกับผู้ที่ลงข้อความที่เกี่ยวกับการกล่าวหาว่าข้าวไทยมีการปนเปื้อนและมีสารตกค้าง ที่จะส่งผลอันตรายต่อการบริโภคผ่านโซเซียลมีเดีย ซึ่งทำให้ประชาชนเกิดความสับสน และมีผลต่อความน่าเชื่อถือกับสินค้าข้าวไทยเป็นอย่างมาก รวมทั้งขอความร่วมมือทุกฝ่ายให้เร่งสร้างความเชื่อมั่น พร้อมยืนยันที่ผ่านมาการผลิต การบรรจุข้าว การดูแลรักษาของผู้ประกอบการและผู้ค้าข้าว หรือแม้แต่การนำสินค้าข้าวไปจำหน่ายยังชั้นวางจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ จะมีขั้นตอนและกระบวนการการตรวจสอบที่เป็นไปตามมาตรฐานสากลอยู่แล้ว
ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจ กระทรวงพาณิชย์จะได้นำสื่อมวลชนไปดูขั้นตอนการผลิต บรรจุหีบห่อ ทั้งสำหรับเพื่อจำหน่ายภายในและส่งขายในต่างประเทศในวันเสาร์ที่ 13 ก.ค. 2556 โดย ตนจะลงพื้นที่ตรวจโรงสีที่ดำเนินการผลิตข้าวถุงในทุกขั้นตอนการผลิตและบรรจุที่สำหรับจำหน่ายในประเทศว่าเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ และในช่วงบ่ายนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวพาณิชย์ จะลงพื้นที่ตรวจสอบขั้นตอนการบรรจุข้าวสารสำหรับส่งออกว่าเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่
อย่างไรก็ตามจากกระแสข่าวข้าวไทยมีสารปนเปื้อน ทำให้ได้รับรายงายจากผู้ค้าตามห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ที่ระบุตรงกันว่าขณะนี้ยอดจำหน่ายข้าวสารบรรจุถุงในห้างลดลงไปบ้าง เนื่องจากประชาชนเกิดความวิตกกังวล ซึ่งปกติเฉลี่ยต่อเดือนตามห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ จะจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 4 ล้านถุงต่อเดือน ดังนั้นถ้าไม่เร่งสร้างความเข้าใจก็จะทำให้การจำหน่ายข้าวถุงโดยรวมได้รับผลกระทบมากขึ้น พร้อมกันนี้ยังได้สั่งการให้หัวหน้าสำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศเร่งทำความเข้าใจและสร้างความเชื่อมั่นในแต่ละประเทศถึงกรณีดังกล่าวด้วย
[Continue reading...]

สิ่งที่ผมยังไม่ได้โพสต์ "เรื่องข้าว" สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ

- 0 comments
 

 

 

สิ่งที่ผมยังไม่ได้โพสต์ "เรื่องข้าว"

10 กรกฎาคม 2013 เวลา 16:25 น.
 
ข้อความจากเพจ  สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ
คนไทยส่วนใหญ่จะคิดเหมือนผมหรือเปล่าผมไม่แน่ใจหรอกครับ  เพราะผมไม่ได้อยากขุดคุ้ยหรือแฉเบื้องหลังการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว  ทั้งไม่เคยคิดอยากจะทำ ไม่มีความสุขในการทำ และไม่มีความสามารถที่จะทำ  ผมคิดว่ามีผู้มีหน้าที่ต้องทำ ควรทำและสามารถทำได้ดีกว่าคนทำสารคดีเล็กๆ อย่างผมอยู่แล้ว 
 
สิ่งที่ผมกังวล ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับตัวเองเลยเพราะผมมีข้าวที่ดีที่ผลิตโดยกัลยาณมิตรของผมเองรับประทาน  ผมเพียงแต่เป็นห่วงว่าถ้าข่าวและข้อมูลตามที่ปรากฏอยู่จากการแชร์กันมาเป็นความจริง  นอกจากความวิตกกังวลของคนกินข้าวที่ไม่มีทางเลือกแล้ว  ผมคิดว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปไม่ต่างจากการวางยาพิษหมู่คนไทยค่อนประเทศไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีใครออกมาแสดงความกังวลหรือแสดงเจตนารมณ์ที่จะทำความจริงเรื่องนี้ให้ปรากฏเลย  กระทั่งข้าวจะออกสู่ท้องตลาด  หรือออกสู่ท้องตลาดมาแล้วเท่าไหร่ก็ไม่รู้  ซึ่งหากเป็นเช่นนี้จะเป็นการก่อบาปครั้งใหญ่มากอีกครั้งหนึ่งของสังคมไทย  หลังจากเราทำต่อกันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน  หากกุศลเจตนาของผมที่ไม่อยากให้ใครก่อบาปต่อใครเป็นเรื่องผิด  ผมก็ยอมรับ  ซึ่งผมถามตัวเองว่าถ้าผมเป็นพ่อค้าข้าวที่ขายข้าวให้คนกินผมจะมีความสุขหรืออยากก่อบาปโดยการเอาสิ่งเป็นพิษให้ลูกค้าผู้มีบุญคุณของผม  ซึ่งเป็นคนไทยด้วยกัน (หรือไม่ก็ตาม)  กินมั้ย  ตอบโดยไม่ต้องคิดเลยว่าไม่
 
ถ้าผมเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน  ผมอยากเห็นประชาชนที่เลือกผมมาต้องสะสมพิษในร่างกายซึ่งจะนำมาซึ่งความเจ็บป่วยและทุกขเวทนาอีกมากมายในภายหลังจากการกินข้าวหรือไม่  และผมอยากมีส่วนร่วมต่อการก่อกรรมกับพวกเขาโดยการเพิกเฉยหรือไม่  ผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า ไม่ว่าใครก็ต้องตอบเหมือนผมนั่นก็คือ  “ไม่” 
 
มันเป็นเรื่องน่าสะเทือนใจมากใช่มั้ยครับ  ถ้าแม้แต่กระทั่งลูกเด็กเล็กแดงที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ หรือทารกไร้เดียงสาที่ดื่มนมจากนมมารดายังพลอยรับกรรมดื่มพิษไปด้วย   คิดแบบนี้ดรามาเกินไปหรือเปล่าครับ 
 
กรรมที่ก่อเช่นนี้ในทางพุทธศาสนาเป็นการผิดศีลข้อที่หนึ่ง  ซึ่งเป็นบาปที่ร้ายแรงมาก  ศาสนาไม่ได้สอนให้ผมเอาตัวรอดแต่สอนให้ผมตระหนักว่าถ้าพบเห็นผู้ใดกำลังจะก่อกรรมอันเบียดเบียนและทำลายชีวิต  ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่  ถ้าผมทำอะไรได้ผมไม่ควรดูดาย  หากไม่แสดงความปรารถนาดีต่อชีวิตผู้อื่นนั่นแหละ  เป็นความผิดบาป
 
ถ้าความหวังดีของใครก็ตามที่มีต่อทุกฝ่ายเป็นโทษต่อตัวเอง  ผมว่าก็คงต้องกลับไปตั้งคำถามกับการเทศนาให้คนหลุดพ้นจากอวิชชาของพระทุกวัดด้วยเช่นกัน
เพราะฉะนั้นสำหรับเรื่องนี้  จะวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไรก็สุดแท้แต่  ประเด็นที่สำคัญที่ไม่ควร  “หลุด”  และไม่ควร  “หลง”  ก็คือสุดท้ายแล้วอย่าลืมเรื่องความปลอดภัยในการกินข้าวของคนค่อนประเทศ
 
ในความกังวล  สงสัย  อึมครึม  ผมอยากให้ทุกท่านใช้ปัญญาพิจารณาว่าใครควรจะเป็นผู้คลี่คลายความสงสัยในเรื่องนี้  คนทำสารคดีชีวิตอย่างผม  สำนักข่าว  พ่อค้าข้าว  เจ้าหน้าที่  หรือรัฐบาล  แล้วลองใช้สติไตร่ตรองดูนะครับว่าหากใครลงมือทำจะได้รับการสรรเสริญหรือนินทา  ความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคเป็นความผิดหรือความไม่ดีที่ไม่ควรทำตรงไหน  และสุดท้ายนี้ผมอยากชวนให้คนไทยพิจารณาเหตุของปัญหานี้ตามหลักพุทธศาสนาว่า  เหตุอยู่ที่ไหน  อยู่ที่การแชร์ข้อมูล (ซึ่งมีคนแชร์มากมายก่อนผม)  หรืออยู่ที่วิธีการในการเก็บรักษาข้าวที่ต้องใช้สารเคมีมีพิษซึ่งตกค้างและเป็นอันตรายต่อชีวิต 
 
........หรืออยู่ที่พิษทั้งหลายในใจคน

[Continue reading...]

ประเพณี 126 ปี กลาโหม 6 ขั้นตอนที่ "ยิ่งลักษณ์" ต้องปฏิบัติ

- 0 comments

 

ไม่เพียงแค่ 49 วัน ที่ทำให้ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำสตรีคนแรกของประเทศไทยเท่านั้น เพราะคล้อยหลังจากนั้นประมาณ 700 วัน "ยิ่งลักษณ์" ก็สถาปนาตนเองขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

เป็น รมว.กลาโหม "หญิง" คนแรกในประวัติศาสตร์ 126 ปี กองทัพไทย และเป็นสาย "พลเรือน" คนที่ 5 ต่อจาก ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช-ชวน หลีกภัย-สมัคร สุนทรเวช-สมชาย วงศ์สวัสดิ์

จากนี้ไป "ยิ่งลักษณ์" มิเพียงต้องนั่งบัญชาการบนตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังต้องแบ่งเวลางานไปที่ศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม สานสัมพันธ์กองทัพทั้ง 3 เหล่าเพิ่มขึ้น

และเมื่อ "ยิ่งลักษณ์" เป็นผู้หญิงคนแรกที่เข้ามานั่ง รมว.กลาโหม พันธะ-หน้าที่อันดับแรกตามธรรมเนียม ประเพณีดังเช่นเสนาบดีคนก่อนหน้าเคยทำ "ยิ่งลักษณ์" ก็ต้องปฏิบัติเช่นกัน

วันที่เข้าปฏิบัติหน้าที่วันแรกในกระทรวงกลาโหม "ยิ่งลักษณ์" จะต้องสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยรอบ และภายในกระทรวงกลาโหมตามประเพณีปฏิบัติ รวมแล้ว 6 ขั้นตอน

1.สักการะพระแก้วมรกต พระสยามเทวาธิราช ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

2.สักการะศาลหลักเมือง ซึ่งตั้งอยู่ด้านข้างศาลาว่าการ อันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่กรุงรัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลที่ 1

3.สักการะเจ้าพ่อหอกลอง หรือ "เจ้าพระยาสุรศักดิ์" ในรัชกาลที่ 1 เดิมเป็นทหารเอกในพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นพลรบฝ่ายซ้าย ต่อมาได้เลื่อนขึ้นเป็นพลรบฝ่ายขวา แทนเจ้าพระยาพิชัยดาบหัก (ถึงแก่กรรม) ได้นำทหารออกรบกับพม่าเองทุกครั้ง เชี่ยวชาญในการใช้หอกและชอบให้ทหารตีกลองศึกในเวลาออกรบ ทหารในสังกัดจึงตั้งชื่อว่า "เจ้าพ่อหอกลอง" เป็นกำลังในการกอบกู้เอกราช

4.สักการะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

5.สักการะพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของคนในกองทัพ หากย้อนกลับไปในอดีต พระองค์โปรดการทหารอย่างมาก และมักจะฉลองพระองค์ด้วยเครื่องแบบทหาร มีบทบาทสำคัญในการพัฒนากองทัพบก และกองทัพเรือให้ทันสมัย

6.สักการะเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี ซึ่งเป็นจอมทัพคนสำคัญในรัชกาลที่ 5 เพราะหลังจากมีการปฏิรูปการปกครอง โดยยกเลิกหัวเมืองเอก โท ตรี จัตวา และยกเลิกหัวเมืองประเทศราช ทำให้เกิดกบฏขึ้นมากมาย เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีจึงได้รับมอบหมายให้นำกองทัพออกไปปราบ เช่น ปราบกบฏเงี้ยว ปราบกบฏฮ่อ ที่หัวเมืองลาว กระทั่งครองยศจอมพลในรัชกาลที่ 6

จากนั้น "ยิ่งลักษณ์" จะขึ้นแท่นรับแถวทหารกองเกียรติยศ 3 เหล่าทัพ เหล่าทัพละ 1 กองร้อย และรับฟังบรรยายสรุป พร้อมให้นโยบายกำลังพล ซึ่งในวันดังกล่าว "ยิ่งลักษณ์" จะถือฤกษ์ปฏิบัติตามประเพณี 6 ขั้นตอน ในเวลา 08.29 น.

ไม่เพียงแค่นั้น "ยิ่งลักษณ์" จะต้องเดินสายไปพบผู้บัญชาการทั้ง 3 เหล่า บก-เรือ-อากาศ รวมถึงกองบัญชาการกองทัพไทย เพื่อรับทราบบทบาทภารกิจหน้าที่ของแต่ละเหล่าทัพ

แบ่งออกเป็น 2 วัน วันแรกจะเดินทางไปที่กองบัญชาการกองทัพไทย และทหารอากาศ วันที่สองจะเดินทางไปกองทัพบก และกองทัพเรือ

และมีข่าวว่า ในยุคที่ "ยิ่งลักษณ์" เป็น รมว.กลาโหม และมี "พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา" เป็น รมช.กลาโหม ในช่วงครึ่งเทอมหลัง จะให้ความสำคัญกับกองทัพเพิ่มขึ้นมากกว่าครึ่งเทอมแรก

อาจนัดกินข้าวกับ ผบ. 3 เหล่าทัพบ่อยครั้งขึ้น มากกว่าแต่ก่อนที่นัดกันทุก ๆ 2 เดือน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ และกระชับอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารกับกองทัพให้แนบแน่นมากขึ้น

เพราะหวังให้กองทัพช่วยค้ำบัลลังก์รัฐบาล ในภาวะที่รัฐนาวาของ "ยิ่งลักษณ์" เผชิญมรสุมทั้งเศรษฐกิจ-การเมือง

อีก 1 งานใหญ่ที่ "ยิ่งลักษณ์" จะต้องตัดสินใจหลังรับหน้าที่ควบ รมว.กลาโหม คือการจัดทำโผแต่งตั้ง-โยกย้ายนายทหาร โดย 2 ตำแหน่งใหญ่ที่ต้องจับตาคือ เก้าอี้ปลัดกระทรวงกลาโหม ที่ "พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน" และเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารเรือ "พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์"จะเกษียณอายุราชการนั้น "ยิ่งลักษณ์" จะเลือกใครมานั่งเก้าอี้

แม้ "ยิ่งลักษณ์" จะยืนยันว่าไม่แทรกแซงกองทัพ แต่เก้าอี้ที่จะว่างลง มีคนของฝ่ายการเมือง และคนในสายผู้ครองเก้าอี้เดิมจ่อคิวด้วยกันทั้งคู่ จึงเป็นสิ่งที่นายกฯและ รมว.กลาโหม คนที่ 61 ต้องตัดสินใจ

อย่างไรก็ตาม ในทำเนียบ รมว.กลาโหม บันทึกไว้ว่า รมว.กลาโหมสายพลเรือนทั้ง 5 คน คือ ม.ร.ว.เสนีย์อยูตำแหน่ง่ได้เพียง 24 วัน นายสมัครอยู่ได้ราว 6 เดือนเศษ  นายสมชายอยู่ได้ราว 90 วัน ขณะที่นายชวนอยู่ประมาณ 3 ปีเศษ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2540-ต้นกุมภาพันธ์ 2544

ต้องจับตาดูว่า "ยิ่งลักษณ์" จะเป็นนายกฯควบ รมว.กลาโหม ได้ครบเทอมที่เหลืออยู่ 2 ปีหรือไม่...
 
ที่มา :ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
[Continue reading...]

ค่าของคน..อยู่ที่ไหน ?

- 0 comments







เจอเรื่องดี ๆ ท่านอาจจะได้อ่านจากที่อื่นบ้างแล้ว แต่อยากให้ท่านอ่านจนจบครับ....เพราะ จริงแล้ว "ค่าของคน" วัดด้วยอะไร
.
.ร้านซาลาเปาร้านหนึ่ง...กิจการดีมาก มีลูกค้าเข้าร้านตลอดทั้งวัน วันหนึ่ง มีขอทานสวมเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ เนื้อตัวสกปรก มาที่ประตูร้าน ทำให้ลูกค้าหลายคนพากันอุดจมูกเดินหนี

ลูกจ้างของร้านก็เข้ามาต่อว่า และเอ่ยปากไล่ไปให้พ้นร้าน แต่ขอทานก็รีบอธิบาย " คุณครับ ผมไม่ได้มาขอทานหรอก แต่จะมาซื้อซาลาเปา " พร้อมกับเอาเหรียญเศษสตางค์ ออกมานับด้วยสองมือ...

ลูกจ้างรู้สึกรำคาญ จึงออกแรงปัด เหรียญทั้งหมด...ต ก พื้ น !!!
ขอทานตกใจ รีบก้มลงเก็บเหรียญบาทบนพื้น แต่หาอย่างไร ก็ขาดไป 1 บาท อยู่ดี
" เหรียญ 1 บาท นี่...คุณทำตกใช่ไหมครับ " ขอทานเงยหน้ามอง ก็เห็นเถ้าแก่ ของร้าน...เขาไม่กล้าแม้แต่จะรับเงินจากเถ้าแก่ และกำลังจะวิ่งหนีด้วยความลุกลี้ลุกลน แต่ก็ถูกเถ้าแก่เรียกให้หยุด พร้อมพูดว่า..." ยินดี ต้อนรับครับ คุณลูกค้า !!! ไม่ทราบว่าคุณต้องการ ซาลาเปาไส้อะไร "

ขอทานตะลึงงัน ผ่านไปสักพัก จึงตอบกลับไปว่า " ผมอยากได้ซาลาเปาไส้หมู 1 ลูก "
" ครับ...กรุณารอสักครู่ " แล้วหันไปคีบซาลาเปาไส้หมู ออกจากซึ้งมา และยื่นให้ขอทานอย่างนอบน้อม

และหันไปถามลูกจ้างว่า... "นี่คือวิธีต้อนรับลูกค้าของเธองั้นหรือ"
" แต่เค้าเป็นแค่ ขอทานคนหนึ่ง " ลูกจ้างอธิบาย
" ต่อให้เค้าเป็นขอทาน ก็เป็นลูกค้าของเรา เธอโดนไล่ออกแล้วล่ะ " เถ้าแก่กล่าว
จากนั้น...เรื่องที่ทำให้คนในร้าน ตกใจยิ่งกว่า ก็คือ...เถ้าแก่ให้ขอทานคนนี้ มาเป็นลูกจ้างในร้าน และเมื่อขอทานคนนี้ ชำระร่างกายจนสะอาด เผยให้เห็นหน้าตาที่หล่อเหลาผิดคาด อีกทั้งยังขยันขันแข็ง กลายเป็นผู้ช่วยของร้านได้อย่างดี...

ภายหลัง...มีคนถามเถ้าแก่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า...เถ้าแก่ดูออกได้อย่างไรว่า แท้จริงแล้วขอทานคนนี้ เป็นทองชั้นดี
เถ้าแก่ตอบกลับมาว่า..." ที่จริงแล้วง่ายมาก เขาไม่ได้มาขอซาลาเปากิน แต่เขารวบรวมเงินอย่างอยากลำบาก มีเงินแล้วค่อยมาซื้อซาลาเปาของเรา แสดงให้เห็นว่า..."
>>> เขาเป็นคนที่...เ ค า ร พ ตั ว เ อ ง <<<

การไม่เคารพผู้อื่น หมายถึงการไม่เคารพตัวเอง
และ มีเพียงคนที่เคารพตัวเองเท่านั้น
จึงจะเคารพ...ง า น ที่ ตั ว เ อ ง ทำ
ที่มา : Facebook ..
          พันธ์ทิพย์
          โพสจัง
[Continue reading...]

พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์: รัฐบาลพรรคเพื่อไทยต้องไม่สู้กับตุลาการด้วยการยุบสภา!

- 0 comments
 
รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน “โลกวันนี้วันสุข”
ฉบับวันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม 2556

       ในหลายเดือนที่ผ่านมา ฝ่ายเผด็จการได้ก่อการรุกครั้งใหม่เพื่อโค่นล้มรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้วยวิธีการเดิม ๆ คือ ส่งมวลชนเสื้อเหลืองสารพัดชื่อมาเคลื่อนไหวบนท้องถนน เรียกร้องให้มีรัฐประหาร ประสานกับสื่อมวลชนกระแสหลักช่วยกันกระพือโจมตีรัฐบาลทั้งจริงและเท็จปะปนกัน สร้างสถานการณ์ให้เห็นว่า รัฐบาลเสื่อมความนิยมจากทุจริตคอรัปชั่นและละเมิดสถาบันกษัตริย์ รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ที่สนับสนุนกลุ่มมวลชนเสื้อเหลืองบนท้องถนนอย่างเปิดเผย และที่สำคัญคือ การใช้องค์กรตุลาการในมือ เข้ามาสะกัดกั้นการทำงานของรัฐบาลและรัฐสภา ขัดขวางกฎหมายและโครงการต่าง ๆ ที่ริเริ่มโดยรัฐบาล และตั้งแท่นเตรียมยุบพรรค ปลดนายกรัฐมนตรี
      แต่ดูเหมือนว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยจะยังไม่เข้าใจถึงแก่นแท้ของสถานการณ์ทั้งหมด ยังคงดำเนินยุทธศาสตร์การเมืองแบบเลือกตั้งล้วน ๆ ต่อไป ดังจะเห็นได้จากแนวทางของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และในการเลือกตั้งซ่อมสส.เขตดอนเมือง ซึ่งพ่ายแพ้อย่างน่าอับอายทั้งสองกรณี
      สถานการณ์ปัจจุบันเป็นการต่อสู้ทางชนชั้นระหว่างกลุ่มจารีตนิยม พวกทุนเก่า และชนชั้นกลางในเมืองฝ่ายหนึ่ง กับประชาชนรากหญ้า ชนชั้นกลางในชนบทและกลุ่มทุนใหม่อีกฝ่ายหนึ่ง และก็เป็นการต่อสู้สองแนวทางระหว่างระบอบเผด็จการจารีตนิยมกับระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยม เป็นการต่อสู้ที่ไม่อาจประนีประนอมกันได้และจะต้องแตกหักในที่สุด
      ในการต่อสู้นี้ ฝ่ายจารีตนิยมพ่ายแพ้การเลือกตั้งใหญ่สองครั้ง แต่ก็ยังมีกลไกที่เข้มแข็ง ทั้งกองทัพ ตุลาการ พรรคประชาธิปัตย์ สื่อมวลชนกระแสหลัก องค์กรพัฒนาเอกชน และฐานมวลชนในเขตกรุงเทพและเมืองใหญ่ การเลือกตั้งทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นทุกครั้งในปัจจุบันจึงไม่ใช่การเลือกตั้งในระบอบรัฐสภาที่เป็นปกติภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่มั่นคง แต่เป็นการต่อเนื่องของสงครามชนชั้นและสงครามสองแนวทาง
      พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งใหญ่ทั้งสองครั้งก็เพราะประชาชนส่วนใหญ่ที่เลือกพรรคเพื่อไทยนั้นต้องการประชาธิปไตย ขณะที่ประชาชนอีกส่วนหนึ่งไปเลือกพรรคประชาธิปัตย์ก็เพราะพวกเขาไม่ต้องการประชาธิปไตย แต่ต้องการระบอบจารีตนิยม ส่วนการแข่งขันด้วยนโยบายและโครงการนั้นเป็นเรื่องรองกรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นเขตฐานมวลชนหลักของพวกจารีตนิยมและพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่พรรคเพื่อไทยก็มีฐานคะแนนเสียงและคนเสื้อแดงในจำนวนที่ก้ำกึ่งกัน การเลือกตั้งท้องถิ่นกรุงเทพฯเป็นการต่อเนื่องของการต่อสู้สองแนวทางและการต่อสู้ทางชนชั้นระดับชาติ การแพ้ชนะการเลือกตั้งท้องถิ่นกรุงเทพฯจึงตัดสินกันที่ดุลกำลังของฐานคะแนนเสียงทั้งฝ่ายว่า จะสามารถระดมออกมาได้อย่างเต็มที่หรือไม่ ประเด็นนโยบายและโครงการมีความสำคัญเป็นรอง
      คำถามคือ แล้ว “คนกลาง ๆ” หรือ “คนไม่มีสี” อยู่ตรงไหน? คำตอบคือ คนพวกนี้เป็นพวกเฉื่อยชาทางการเมือง หากมีรายได้ไม่สูงก็จะหมกมุ่นกับการทำมาหากิน หากมีรายได้สูง ก็หมกมุ่นกับการหาความสุขส่วนตัว คนพวกนี้ไม่สนใจชะตากรรมของบ้านเมืองและความขัดแย้งใด ๆ ไม่สนใจการเลือกตั้งและส่วนใหญ่จะนอนหลับทับสิทธิ์
      แกนนำพรรคเพื่อไทยยังไม่เข้าใจถึงการต่อสู้สองแนวทางในระดับท้องถิ่นกรุงเทพฯ จึงยังคงดำเนินยุทธวิธีทางการเมืองเสมือนเป็นระบอบรัฐสภาตามปกติ คือสร้างกระแสเลือกตั้งด้วยกลยุทธ์การตลาด ประดิษฐ์คำขวัญนโยบายสวยหรู เสนอขายชุดโครงการหลากหลาย เอาผลงานของรัฐบาลระดับชาติเป็นเครื่องประกันคุณภาพ แต่จงใจละเลยไม่ชูประเด็นการต่อสู้ทางประชาธิปไตย ไม่ชี้ให้เห็นว่า หากต้องการประชาธิปไตย ปฏิเสธเผด็จการ ก็ต้องเลือกพรรคเพื่อไทย
      แกนนำพรรคเพื่อไทยเชื่อลม ๆ แล้ง ๆ ว่า ด้วยผลงานระดับชาติ คำขวัญหรู ๆ ชุดนโยบายหลากหลาย จะทำให้มวลชนกรุงเทพฯ “คนกลาง ๆ” หรือ “คนไม่มีสี” สนใจหันมาลงคะแนนให้กับผู้สมัครพรรคเพื่อไทย เมื่อรวมกับฐานเสียงพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงแล้ว ก็จะชนะเลือกตั้งท้องถิ่นได้ แต่นี่เป็นความเข้าใจผิด เพราะยุทธวิธีดังกล่าวนอกจากจะไม่ได้เสียงจาก “คนกลาง ๆ” “คนไม่มีสี” แล้ว พฤติกรรมอ่อนแอโลเลในการเมืองระดับชาติของพรรคเพื่อไทยยังทำให้การสนับสนุนจากมวลชนคนเสื้อแดงลดน้อยถอยลงไปอีกด้วย ผลก็คือ พรรคเพื่อไทยแพ้การเลือกตั้งท้องถิ่นกรุงเทพฯและปริมณฑลทุกครั้ง และจะแพ้ซ้ำซากเช่นนี้ต่อไปอีก
     จะเห็นได้ว่า นโยบายเอาใจคนกรุงเทพฯสารพัดไม่เคยได้ผลตอบรับ ตั้งแต่การต่อสู้ป้องกันไม่ให้น้ำท่วมกรุงเทพชั้นใน โครงการรถยนต์คันแรก โครงการบ้านหลังแรก โครงการรถไฟฟ้า และโครงการอื่น ๆ คนกรุงเทพฯที่เป็น “เหลือง” และ “คนกลาง ๆ” จำนวนมากได้ประโยชน์โดยตรง แต่ก็ยังไม่ลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทยเพราะคนกรุงเทพฯที่ “เหลือง” ก็ต่อต้าน “ระบอบทักษิณ” ขณะที่ “คนกลาง ๆ” ไม่สนใจใช้สิทธิ์เลือกตั้ง
      ในทางตรงข้าม พรรคประชาธิปัตย์กลับมีความชัดเจนในเรื่องนี้ พวกเขาหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่นกรุงเทพฯและปริมณฑลด้วยการชูความขัดแย้งการเมืองระดับชาติเป็นธงนำ ปลุกระดมฐานมวลชนของตนด้วยการชูธง “ต้านระบอบทักษิณ” หากแพ้เลือกตั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑลก็คือ แพ้ต่อ “ระบอบทักษิณ” ทำให้สามารถระดมพลังมวลชนของฝ่ายตนออกมาได้อย่างเต็มที่ และชนะเลือกตั้งทุกครั้ง นัยหนึ่ง พรรคประชาธิปัตย์รู้ดีว่า นี่คือสถานการณ์สู้รบ ต้องชูเป้าหมาย “ต่อต้านระบอบทักษิณ” จึงจะยืนอยู่ได้
      หากองค์กรตุลาการเดินหน้าไปถึงขั้นจะยุบพรรคและปลดนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยจะทำอย่างไร? ข้อเสนอข้อหนึ่งภายในพรรคเพื่อไทยคือ ให้สู้กับตุลาการด้วยการยุบสภาและมีการเลือกตั้งใหม่ โดยเชื่อมั่นว่า ประชาชนจะเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยเข้ามาด้วยคะแนนล้นหลามอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นการยับยั้งฝ่ายตุลาการ
      แต่นี่เป็นข้อเสนอที่ไร้เดียงสาด้วยวิธีคิดของการเมืองแบบเลือกตั้งล้วน ๆ คือเชื่อว่า ฝ่ายจารีตนิยม “กลัวการเลือกตั้ง” และเชื่อว่า เมื่อยุบสภาแล้ว ฝ่ายจารีตนิยมจะต้องยอมให้มีการเลือกตั้งใหม่อย่างแน่นอนเพราะไม่มีทางเลือกอื่น นี่เป็นความเชื่อที่ผิด พรรคเพื่อไทยจะต้องไม่ลืมบทเรียนจากการยุบสภาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 ซึ่งแทนที่จะได้เลือกตั้งใหม่ กลับนำไปสู่สภาวะสูญญากาศทางการเมือง ให้พวกจารีตนิยมสร้างวิกฤตการเมืองขึ้นทีละขั้น ขัดขวางไม่ให้มีการเลือกตั้ง จนเป็นเงื่อนไขสุกงอมให้เกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
      หากพรรคเพื่อไทยสู้กับตุลาการด้วยการยุบสภาก็จะเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง เพราะจะเหลือแต่รัฐบาลและรัฐมนตรีรักษาการ ไม่มีสภาผู้แทนราษฎร เปิดช่องโอกาสให้พวกจารีตนิยมใช้ตุลาการ สมาชิกวุฒิสภาแต่งตั้ง และมวลชนเสื้อเหลืองบนท้องถนน ตลอดจนกองทัพในมือได้อย่างเต็มที่สิ่งที่พรรคเพื่อไทยจะต้องทำในสถานการณ์สู้รบนี้ จึงไม่ใช่การยุบสภาอย่างเด็ดขาด แต่เป็นการเดินแนวทางการเมืองแบบมวลชน ชูธงประชาธิปไตยให้สูงเด่น เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญและนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองโดยเร็ว พึ่งพาสนับสนุนมวลชนของตนอย่างเต็มที่ ดึงความเชื่อมั่นของมวลชนคนเสื้อแดงกลับคืนมา ต่อสู้กับกลไกของจารีตนิยม ทั้งตุลาการและพรรคประชาธิปัตย์อย่างเต็มที่ด้วยแนวทางทั้งในและนอกสภา
[Continue reading...]

นายกฯยิ่งลักษณ์ ตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ กระทรวงกลาโหม

- 0 comments

นายกฯยิ่งลักษณ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตรวจแถวกองทหารเกียรติยศและรับฟังการบรรยายสรุปภารกิจกระทรวงกลาโหมพร้อมร่วมรับประทานอาหารกลางวัน ณ ลานเอนกประสงค์ ในศาลาว่าการ กระทรวงกลาโหม

 
 

 

ที่มา : Friends Of Yingluk
 

 
[Continue reading...]
 
Copyright © . Yak Ratchaprasong - Posts · Comments
Theme Template by BTDesigner · Powered by Blogger