โดย...ธนพล บางยี่ขัน จากโพสทูเดย์
อุณหภูมิการเมืองเริ่มตั้งเค้ารุนแรงอีกรอบ
ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร 1 ส.ค.นี้
ซึ่งมีทั้งกฎหมายร้อนและประเด็นใหญ่ๆ จ่อคิวรอการพิจารณาแน่น
จนวิเคราะห์กันว่าจะเกิดแรงเสียดทานครั้งใหญ่สั่นคลอนรัฐบาลหนักกว่าที่ผ่านมา
ไม่แปลกที่
“ฝ่ายค้าน” จะจับสัญญาณนี้ได้ชัดเจน
และไม่ยอมทิ้งโอกาสให้หลุดลอย ดังจะเห็นจากท่าทีการออกตัว
“ปลุกกระแส” หยิบจับเรื่องร้อนต่างๆ มาไล่บี้รัฐบาล
เพื่อปูทางไปสู่กระบวนการตรวจสอบในสภาที่จะหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ
เพราะต้องยอมรับว่าผลพวงจากการบริหารงานเกือบ 2 ปีที่ผ่านมาของนายกฯ ยิ่งลักษณ์
ชินวัตร เริ่มปรากฏความเสียหายที่จับต้องได้หลายต่อหลายจุด
ทั้งความเสียหายที่มีผลต่องบประมาณแผ่นดินและสุ่มเสี่ยงว่าจะขัดกฎหมายในอีกหลายส่วน
ยังไม่รวมกับความระหองระแหงทั้งภายในพรรคและความสัมพันธ์ระหว่างเสื้อแดงและเพื่อไทย
จนทำให้ครึ่งเทอมของการบริหารของรัฐบาลเพื่อไทยจึงถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญว่าจะลากกันฝ่าแรงเสียดทานกันไปต่อได้นานอีกแค่ไหน
แม้จะพักยกชั่วคราวระหว่างปิดสมัยประชุม
แต่ระเบิดเวลาหลายลูกที่ถูกจุดชนวนยังเป็นหัวเชื้อรอเวลาหยิบขึ้นมาเดินหน้าผลักดันต่อในช่วงเปิดสมัยประชุม
ดังนั้น ประชาธิปัตย์ (ปชป.) จึงอาศัยช่วงปิดสมัยประชุม
เดินสายเปิดเวทีผ่าความจริง
ชี้แจงชาวบ้านให้เข้าใจถึงพิษภัยระเบิดเวลาเหล่านี้
ความพยายามใช้เวลาช่วงปิดสมัยประชุมจัดเวทีต่างๆ
เรียกกระแสสังคมให้จับตามายังประเด็นร้อนเหล่านี้ ต้องเจออุปสรรคอยู่บ้าง
โดยเฉพาะพื้นที่สีแดงที่มีการก่อกวนรุนแรงขึ้น
จนต้องปรับแผนกลับมาจัดเวทีอยู่ในพื้นที่ กทม. ทั้งลานคนเมือง วงเวียนใหญ่
หรือล่าสุดเวทีที่เขตบางเขน ภายใต้หัวข้อ
“หยุดกฎหมายล้างผิด
คิดล้มรัฐธรรมนูญ หยุดเงินกู้ผลาญชาติ หยุดอำนาจฉ้อฉล”
สะท้อนให้เห็นถึงเป้าหมายการจุดกระแสคัดค้านในประเด็นหลักๆ
ตั้งแต่เรื่องใหญ่อย่างกฎหมายปรองดองหรือนิรโทษกรรมทั้งฉบับของ ร.ต.อ.เฉลิม
อยู่บำรุง รมว.แรงงาน และวรชัย เหมะ สส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย หรือล่าสุดฉบับของ
พะเยาว์ อัคฮาด ที่ประเมินว่าจะเป็นชนวนความขัดแย้งและบานปลายกลายเป็นความรุนแรง
ต่อเนื่องด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะเป็นปัญหาไม่แพ้กัน
ยังไม่รวมกับการเน้นย้ำอันตรายโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท
ที่ขาดรายละเอียดโครงการ ขาดการศึกษาผลกระทบด้านต่างๆ
และขาดการมีส่วนร่วมจากชาวบ้านในพื้นที่และสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการรั่วไหลจากระบบการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ
และสุ่มเสี่ยงที่จะขัดรัฐธรรมนูญ
ตามมาด้วย
พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ
จำนวน 2 ล้านล้านบาท
มาถึงการสะท้อนปัญหาอันตรายจากโครงการรับจำนำข้าว
ที่นอกเหนือจากเงื่อนงำความไม่โปร่งใสในแทบจะทุกขั้นตอนจนงบประมาณรั่วไหลขาดทุนไปหลายแสนล้านบาท
และจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไปเมื่อรัฐบาลยืนยันเดินหน้าทำโครงการต่อจนเตรียมจะต้องแก้ปัญหาด้วยการขยับราคาจำนำเหลือตันละ
1.35 หมื่นบาท และจำกัดจำนวนจากเดิม 1.5 หมื่นบาททุกเมล็ด
กระทบต่อรายได้ของชาวนาโดยตรง
ที่สำคัญยังต้องเผชิญกับปัญหาใหม่ๆ
เรื่องคุณภาพข้าวที่เริ่มระบายออกมาจากสต๊อกของรัฐบาล
ที่มีทั้งเรื่องข้าวเน่าและสารปนเปื้อนจนกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในและนอกประเทศ
ส่งผลต่อการระบายข้าวที่ค้างในสต๊อก
ยังไม่รวมกับข้าวใหม่ที่จะเข้าโครงการในฤดูกาลหน้า
ประชาธิปัตย์จึงเตรียมทิ้งทวนใช้โอกาสในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนเปิดสมัยประชุมสภา
เปิดเวทีปลุกกระแสให้สังคมหันมาจับตาอย่างใกล้ชิด
โดยอยู่ระหว่างการหารือและรอเคาะว่าจะจัดทั้งหมดกี่เวทีและจุดใด วันใดบ้าง
ปูทางไปสู่ช่วงเปิดสมัยประชุมที่เตรียมการใช้เวทีในสภาอภิปรายชี้ให้เห็นข้อดีข้อเสียของกฎหมายต่างๆ
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่จ่อคิวรอการพิจารณาหรือจะเลื่อน พ.ร.บ.งบประมาณ 2557
ขึ้นมาพิจารณาก่อน เพื่อไม่ให้กระแสการเมืองร้อนแรงตั้งแต่เปิดสมัยประชุม
นอกจากบรรดากฎหมายร้อนทั้งหลายแล้ว อีกด้านหนึ่ง “ประชาธิปัตย์”
ยังเตรียมหยิบปมปัญหาขึ้นมาขยายแผลผ่านช่องทางในระบบรัฐสภา โดยเฉพาะเรื่อง
“คลิปฉาว” เสียงสนทนา “หนู” ช่วย “ราชสีห์” กลับบ้าน
ที่สั่นคลอนสัมพันธ์ระหว่างกองทัพและรัฐบาลแบบไม่อาจหลีกเลี่ยง
วางคร่าวๆ ไว้ด้วย เตรียมตั้งกระทู้ถามสดตรงถึงนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ในฐานะ
รมว.กลาโหม ที่จะต้องชี้แจง ทั้งเรื่องการเข้าไปแทรกแซงกองทัพของฝ่ายการเมือง
รวมถึงประเด็นช่วยพี่ชายนายกฯ กลับประเทศ
โดยพึ่งตัวช่วยอย่างสภากลาโหมเป็นใบเบิกทาง
ยังไม่รวมกับเรื่องร้อนอื่นๆ ทั้งผลพวงจากโครงการรับจำนำข้าว
ทั้งเรื่องความเชื่อมั่น สารปนเปื้อน เงื่อนงำการระบายข้าว รวมไปถึงตัวละครใหม่ๆ
อย่าง “มาดามกง” ที่เปิดออกมาล่าสุด ซึ่งจะได้มีการหยิบยกเรื่องเหล่านี้มาขยายผล
นวดรัฐบาลไปเรื่อยๆ
ก่อนที่จะรอจังหวะเหมาะ ลงดาบสุดท้ายด้วยการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ที่จะต้องรอดูว่าถึงเวลานั้นมีข้อมูลหลักฐานมากน้อยแค่ไหน
เพียงพอที่จะยื่นซักฟอกรัฐมนตรีคนใดจะเข้าข่ายบ้าง
นับจากนี้จึงเลี่ยงไม่ได้ที่สถานการณ์การเมืองจะกลับมาดุเดือดอีกรอบ
[Continue reading...]