Monday, July 1, 2013

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ กล่าวถึงการแก้ปัญหาราคาไข่ไก่แพงว่า เมื่อเข้าเดือนมิ.ย. - ก.ค.ระดับราคาไข่ไก่น่าจะปรับตัวลดลง

- 0 comments
เมื่อวันที่ 2 ก.ค.2556 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ กล่าวถึงการแก้ปัญหาราคาไข่ไก่แพงว่า เมื่อเข้าเดือนมิ.ย. - ก.ค.ระดับราคาไข่ไก่น่าจะปรับตัวลดลง ประกอบกับเมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้มีมาตรการตกลงกับเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ และห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ ให้มีไข่ไก่ธงฟ้าไปช่วยจำหน่ายราคาพิเศษเพื่อรักษาระดับราคา นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. ได้มอบหมายให้กรมการค้าภายใน ลงพื้นที่ตรวจสอบราคาไข่ไก่ ซึ่งขณะนี้ราคาค้าไข่ไก่คละหน้าฟาร์ม สมาคมผู้ประกอบการผู้ค้าไข่ไก่อยู่ที่ประมาณ 2.90 บาท อย่างไรก็ตามมีเกษตรกรบางรายส่งข้อมูลมาว่ามีการไปกดราคาบางพื้นที่ต่ำกว่าระดับราคาดังกล่าว โดยจะให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบ ส่วนระดับราคาค้าปลีกเบื้องต้นจากการสำรวจมีระดับแตกต่างกัน อาจเป็นเพราะเรื่องต้นทุนเกี่ยวกับการขนส่ง หลังจากนี้จะตรวจสอบตลาด แล้วจะพยายามเข้าไปดูแลระดับราคาให้สะท้อนกับผลกำไรที่เป็นจริง โดยสัมพันธ์กับต้นทุน และไม่ให้เกิดผลกระทบกับผู้บริโภค หากผู้ค้าหรือผู้บริโภครายใด ถูกเอาเปรียบสามารถแจ้งมาได้ที่สายด่วนหมายเลข 1569 ของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
[Continue reading...]

‘เฉลิม’ ลาป่วยไม่ร่วมถกครม. เปรยอาจลาออกจากรมว.แรงงาน น้อยใจถูกลดชั้น

- 0 comments
รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทยแจ้งว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ในวันที่ 2 ก.ค. นี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ได้ขอลากิจโดยอ้างเพื่อไปตรวจสุขภาพ


ทั้งนี้  ร.ต.อ.เฉลิม ยังได้เปรยกับ ส.ส.ใกล้ชิด อาทิ นายอนันต์ ศรีพันธุ์ ส.ส.อุดรธานี นายอดิศร เพียงเกษ ว่าอาจจะลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานด้วย

 
ผูู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.ต.อเฉลิม เกิดความไม่พอใจตั้งแต่หลังถูกปรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน โดยวันที่ไปถ่ายภาพและขึ้นรถบัสที่ทำเนียบรัฐบาลก่อนเข้าเฝ้าฯ ร.ต.อ.เฉลิมก็ไม่ไป และยังไม่ร่วมถ่ายรูปกับรัฐมนตรีใหม่ที่ทำเนียบรัฐบาล หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯมาแล้วอีกด้วย  
[Continue reading...]

60 ความชั่วของ รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (เรื่องทุจริต):รัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์

- 0 comments
60 ความชั่วของ รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (เรื่องทุจริต):รัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์

1 มีแต่แจก(2,000 บาท )

2 มีแต่กู้(อ้างโครงการไร้สาระและเอางบประมาณมาแดกกันแถมแก้กฎหมา ยกู้เงินอาจนำพาไปสู่หายนะทางการเงิน)

3 แต่งตั้งตำรวจเลวให้มีอำนาจประเทศชาติไร้ซึ้งความยุติธรรม

4 รัฐมนตรี ข้าราชการ สส มีแต่พวกสกปรก เช่น สุเทพ/ประวิทย์/โสภณ ซาเล้ง/พัชรวาท/เนวิน/อนุพงษ์/ปู่ชัย/แถมเอาเจ้าแม่อ่าง อบ นวดมาบริหารประเทศ คุมกระทรวงพานิชย์ฯลฯ

5 กระทรวงต่างๆมีแต่ข่าวคอรับชั่น เช่น โกงเรื่องปลากระป๋องเน่า/ข้าวสารเน่า (เน่าแล้วเน่าอีกเน่าซ้ำซาก)

6 ทุจริต นมโรงเรียน /

7 ทุจริตเครื่องชี้ระเบิด “GT 200” และเครื่องตรวจหาสารเสพติด “ALPHA 6”

ยุคทักษิณปี 48 ซื้อมาใช้ 4 เครื่อง ราคาเครื่องละ 2 หมื่น

ยุคสุรยุทธ์ปี 49 สั่งเพิ่มมาอีก 500 เครื่อง เครื่องละ 7 หมื่น

ยุคอภิสิทธิ์ปี 52 ซื้อเพิ่มอีก 2,000 เครื่อง เครื่องละ 1.4 ล้านบาท (แต่ยังส่งไม่ครบ 2 พันเครื่องเรื่องแตกเสียก่อน)

(สุดยอดของมหกรรมหลอกลวงต้มตุ๋น)

8 รับเงินใต้โต๊ะ 258 ล้านจากประชัย และยักย้ายถ่ายเทเงินเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบของปปช.

9 รถเมย์ 4,000 คัน(โกงแบบอุบาทมากๆหน้าด้านสุดๆ)/

10 ย้ายดอนเมือง “อนุมัติสร้างสุวรรณภูมิ”ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นแต่เพื่อจะแดกก ัน/

11 จะ “แปรรูปการรถไฟ”ทั้งๆที่มีกระแสต่อต้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและ สัมปทานของรัฐ/

12 โครงการ “ สปก 4-01” ก็จะเอามาปัดฝุ่นและก็โกงอีกยังไม่เข็ด/

13 เรื่อง “เขาพระวิหาร”ก็โกหกประชาชนจนเขาจับได้ว่า “ต้นเหตุ”ของการเสียดินแดนคือ MOU ปี 43 ลงนามโดย “นาย ชวน หลีกภัย” โดยไม่ผ่านสภา เป็นการรับรองแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000

14 ทักษิณจัดงานวันเกิด อภิสิทธิ์บอกจะไปเตะบอล

15 เคลือข่ายวิทยุและดาวเทียมเสื้อแดงรัฐบาลก็ปล่อยให้โจมตี สถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ได้อย่างเสรี

16 วางแผนแก้กฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมให้พวกหวังเงินแบ่งหลายหมื่นล้าน

17 ขึ้นภาษีอย่างไม่สนใจหัวใจคนในชาติว่าจะแบกภาระค่าครองชีพที่สู งขึ้นได้อย่างไร เช่น น้ำมันขึ้นเกือบ10 บาทต่อลิตร

18 ใช้สื่อของรัฐไปในทางหาเสียงโฆษณายังกับสินค้าให้รัฐบาลของตน และพูดอยู่ข้างเดียว19 ปราบปรามและยัดข้อเสื้อแดงในการชุมนุมทุกครั้ง

20 เล่นละครเจรจาให้ตายใจแต่ล้อมปราบ

21 สส 13 คนของประชาธิปัตย์ถูกเฉือดและรอคิวอีก 40 คนจาก กกต ว่าทุจริตถือหุ้น และหุ้นส่วนใหญ่จะเป็นสัมปทานของรัฐ เช่น1 ปตท. /2 ขสมก /3 บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น /4 บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) /5 บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) /6 บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) /7 บริษัท โทเทิลแอคแซสคอมมูนิเคชั่น จำกัด /8 ถือหุ้นบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ฯลฯ

22 สส ประชาธิปัตย์ทุจริตโครงการ “ชุมชนพอเพียง”

23 โกงคอมพิวเตอร์โรงเรียน (เครื่องละ 60,000 บาท)

24 กระทรวงสาธารณสุข ล็อกสเปค 3 ครุภัณฑ์ เอื้อเอกชน เครื่องดมยา - ตรวจหัวใจ – ตรวจสารชีวเคมีในเลือด

25 สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ก็ถูกเปิดโปง ความไม่ชอบมาพากล ในการใช้ “งบประชาสัมพันธ์”ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

26 ผู้ใหญ่ ร.ฟ.ท. สั่งหยุดเดินรถไฟเพื่อดิสเครดิตสหภาพฯเปิดทางรัฐบาลเข้าแปรรูป

27 รัฐบาลประชาธิปัตย์เจรจากับประเทศสมาชิกเพื่อเปิดเสรีการลงทุนใ นอาเซียนทางภาคเกษครกรรม(ACIA) 3 สาขา ได้แก่

1การเพาะขยายและปรับปรุงพันธุ์พืช

2 การทำประมงและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

3 การทำป่าไม้จากป่าปลูก

(เป็นการเร่งให้เกิดการกว้านซื้อและเช่าพื้นที่เกษตรกรรมและกลุ่มทุนต่างชาติเข้าไปใช้ประโยชน์จากทรัพยากรพันธุกรรม / การจดสิทธิบัตรจากสายพันธุ์พืชไทยในขณะที่มีบริษัทเมล็ดพันธุ์ข้ามชาติรายหนึ่งกำลังผลักดันกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืชเพื่อไม่ให้แบ่งปันผลประโยชน์กับรัฐและชุมชน )ซึ่งจะบังคับใช้ในปี 2553 เท่ากับเป็นการทำลายเกษตรกรและคนส่วนใหญ่ของประเทศ(ข้อนี้เลวมากจริงๆจะขายชาติขายแผ่นดินไปถึงไหน)

28 เปิดเอกสารจับโกหก “เทพเทือก” เป็นผู้สั่งจ่ายเงินงวดสุดท้าย เอี่ยว “ทุจริตจักรยานยนต์ไทเกอร์” กว่า 429 ล้านบาท ขณะที่เจ้าตัวทำมึนงง อ้างเรื่องเกิดก่อนเป็น รองนายกฯ

29 นายสุเทพในฐานะประธาน คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ละเมิดกฏหมาย คว่ำมติ ปปช. กรณีชี้มูลความผิดนายตำรวจ 3 นายในคดีสลายม็อบ7ตุลาคม ซึ่งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา และศาลรัฐธรรมนูญเคยมีมติยืนยันแล้วว่า ก.ตร.ไม่มีสิทธิโต้แย้งมติป.ป.ช.เหมือนมีคำสั่งประหารชีวิตไปแล้ว แต่มาเปลี่ยนแปลงอีกไม่ได้(การกระทำอย่างนี้ถือว่านายสุเทพและรัฐบาลเป็นผู้ทำลายกระบวนกา รยุติธรรมอย่างเลวร้ายที่สุด)

30 ปล่อยยาเสพติดระบาดอย่างมากมาย

31 “กอร์ปศักดิ์”เลิกขวางขายข้าวโพด แต่กว่าจะจบรัฐเสียหาย 5 พันล้าน ( เจ็บปวดจริงๆเงินภาษีประชาชนทั้งนั้น)

32 เผยแผ่นซีดี “รักหรือทำลาย ประเทศไทย”โจมตีเหมารวมทั้งคนเสื้อเหลือง-เสื้อแดง แจกบนที่ว่าการอำเภอถลาง เป็นฝีมือของรัฐบาลชัดเจน

33 กรณีการจัดซื้อรถพยาบาลฉุกเฉินระดับสูง จำนวน 232 คัน ตามสัญญาเลขที่ 11/2549 ของกระทรวงสาธารณสุข ถังออกซิเจน-ชุดปรับความดันในรถพยาบาลฉุกเฉินฉาวของกระทรวงสาธารณสุข นำเข้าไม่ผ่าน อาหารและยา เตรียมดำเนินคดีบริษัทฐานนำเข้าเครื่องมือแพทย์ที่ห้ามนำเข้า จำคุก 5 ปี ปรับ 2.5 แสนบาท หรือทั้งจำและปรับ

34 ขึ้น “ค่าโทลเวย์แพง”เกินเหตุเอื้อประโยชน์เอกชน ขูดเลือดขูดเนื้อประชาชน ล่าสุด ( มูลนิธิเพื่อ ผู้บริโภคร่วมมือนักกฎหมาย ฟ้องกรมทางหลวง รมต.คมนาคม และคณะรัฐมนตรี ต่อศาลปกครอง ให้เพิกถอนสัญญาสัมปทานกรณีโทลล์เวย์ )

35 กรณี “มาบตาพุด” จน สภาทนายความฯ ออกแถลงเตือนรัฐบาลและเอกชนอย่าข่มขู่ประชาชน บิดพลิ้วไม่ปฏิบัติตาม คำสั่งศาลปกครองสูงสุดให้เร่งแก้ปัญหามลพิษมาบตาพุด เตรียมยื่นคำร้องละเมิดอำนาจศาล สร้างความแตกแยกและมีแต่จะเอาชนะประชาชน( ประชาชนมาก่อนหรือประชาชนตายก่อนอยากขอถามรัฐบาล)

36 นพ.บรรลุ ศิริพานิช ประธานคณะกรรมการสอบสวนการ “ทุจริตโครงการไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุข”แถลงผลการสอบสวน ว่า การจัดตั้งงบประมาณของโครงการนี้ มีพฤติกรรมพยานหลักฐานทำให้เกิดการทุจริตจริง ได้แก่ การขอตั้งงบประมาณสิ่งก่อสร้าง ครุภัณฑ์การแพทย์ และรถพยาบาล ราคาตั้งไว้สูงเกินจริง ซึ่งส่อเจตนาการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เนื่องจากไม่สามารถปัดความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นผู้บริหาร ถือว่ามีส่วนเปิดช่องทางให้มีการทุจริต นายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลโครงการไทยเข้มแข็ง แต่มีพฤติกรรมก้าวก่าย ล้วงลูก กดดัน ให้มีการจัดสรรงบประมาณเกินจำเป็น ในพื้นที่จังหวัดราชบุรี ( เวรกรรมเห็นทันตา )

37 ครม.เห็นชอบแผนปฎิรูป ร.ฟ.ท. แถมได้งบเพิ่มจาก 1 แสนล้านบาทเป็น 1.5 แสนล้านบาท ตีตกความเห็น สศช.เสนอตั้งกรมรถไฟหลวง แยกงานโครงสร้างพื้นฐาน ทำแบบก้าวกระโดดเพื่อทำลายสหภาพฯ จากนั้น ครม.สั่ง ร.ฟ.ท.ทำรายละเอียดแผนลงทุนแต่ละโครงการภายใน 45 วัน สบช่องสั่งเดินหน้าตั้งบริษัท ลูกแอร์พอร์ตลิ้งค์ (ตั้งหน้าตั้งตาแดกกันจริงๆ)

38 ทุจริต “การจัดซื้อจัดจ้างครุภัณฑ์” ภายใต้โครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข็มแข็ง (SP2) ปี 2553 ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) วิทยาลัยอาชีวศึกษา 415 แห่งมีมติร่วมกันที่จะไม่รับวัสดุครุภัณฑ์การฝึก ราคาแพงเกินจริง ครุภัณฑ์ด้อยคุณภาพไม่ตรงความต้องการใช้ในการเรียนการสอน(เวรกรรมมีจริง)

39 กรณี “มาบตาพุด” นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ยื่นศาลปกครองสูงสุดฟ้องนายอภิสิทธิ์และครม.ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธานฯ ขอไต่สวนฉุกเฉินและคุ้มครองชั่วคราว ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประสานงานการให้ความเห็นของ องค์การอิสระในโครงการหรือกิจกรรมที่อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อ ชุมชนอย่างรุนแรง พ.ศ.2553 พร้อมขอเพิกถอนคณะกรรมการประสานงานการให้ความเห็นขององค์การอิส ระในโครงการ หรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง และ ยังไม่เคยถามความเห็นประชาชนก่อนออกกฎหมาย คณะกรรมการประสานงานฯชุดนี้ โดยส่วนใหญ่จะกำหนดให้เป็นบุคคลจากทางภาครัฐและไม่มีภาคประชาชน เข้าไปมีส่วนร่วม (เลวมากเห็นประชาชนเป็นผักเป็นปลา)

40 ผลสอบ สตง. ระบุชัด ปตท. ยังส่งคืนสมบัติแผ่นดินให้กระทรวงคลังไม่ครบถ้วนตามคำพิพากษาขอ งศาลปกครองสูงสุด โกงท่อก๊าซฯบนบกและในทะเลมูลค่ารวม 32,613 ล้านบาท คุณ รสนา"ได้ส่งหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายกรณ์ จาติกวณิช และอธิบดีกรมธนารักษ์ เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2553 ที่ผ่านมา เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ติดตามเรียกคืนทรัพย์สินจาก ปตท เพิกเฉยเจอม.157 ข้อหาละเว้น“ครม.อภิสิทธิ์”ทราบเรื่อง ตั้งแต่ปลายเดือนธ.ค.ปีที่แล้วแต่ทุกฝ่ายกลับอุบเรื่องเงียบ ( รัฐบาลนี้ไม่มีความแตกต่างจากรัฐบาลทักษิณออกกฎหมายเพื่อล้มล้า งความผิดของตนเอง และมีผลบังคับใช้ 3 วันก่อนการมีคำพิพากษา )41 โกงเรื่องต่อสัญญาช่อง 3 รับเงินใต้โต๊ะ รู้เห็นเป็นใจโดยข้าราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ชงเรื่องให้นายสาทิตย์ วงษ์หนองเตย รัฐมนตีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พิจารณาว่า ไม่ต้องนำเรื่องการต่อสัญญาช่อง 3 นี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีแต่อย่างใด เพื่อ จะได้หลีกเลี่ยงพระราชบัญญัติร่วมทุนนั่นเอง เพื่อให้ อสมท สามารถจัดการเองได้ทันที นายสาทิตย์ได้ลงนามไปเรียบร้อยแล้วว่า ไม่ต้องนำเรื่องเข้าสู่การประชุม ครม.และการที่ อสมท ต่อสัญญาให้ ช่อง 3 อีก 10 ปี ซึ่งจะครบสัญญาในปี 2563 ส่งผลให้อสมท จะขาดรายได้ถึงกว่าหมื่นล้านบาทอย่างแน่นอน(สื่อชั่ว +รัฐบาลเลว )

42 โกง “รถไฟฟ้าสายสีม่วง” อ้างหน้าด้านๆ น้ำมันขึ้นราคา ทั้งที่มีค่าเค ลดงบรื้อถอนสาธารณูปโภค เพื่อเพิ่มงบค่างาน หาเงินด้วยการโกงบ้านกินเมืองนับหมื่นล้าน “อภิสิทธิ์”แค่เซ็น รับทราบ แต่ปล่อยให้สร้างต่อ เท่ากับหลับตาร่วมกันโกง (นายกฯอภิสิทธ์ชักทำตัวเหมือนศรีธนญชัย)

43 พยายามใช้นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา ไปพบวิคเตอร์ บู้ท เพื่อใส่ร้ายป้ายสีฝ่ายเพื่อไทย

44 อ้างเรื่อง “โรดแมป” มาบังหน้า แผนปรองดองก็คือแผนยกประเทศให้โจร เหตุเพราะ1 สามารถใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีได้เต็มปี และสามารถจัดสรรงบประมาณในปีหน้า2 โยกย้ายข้าราชการได้ทั้งหมด โดยเฉพาะ ทหารและตำรวจ3 สามารถใช้เวลานี้สมคบกับนักการเมืองทุกฝ่ายแก้ไขกติกา รัฐธรรมนูญ และกฎหมาย เพื่อผลประโยชน์ของนักการเมืองกันเองทั้งสิ้น (รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อไม่ให้พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบพร รค)

45 ทุจริตโครงการเช่าระบบการให้บริการประชาชนด้านการ “ทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชนแบบใหม่”วงเงิน 3.4 พันล้านบาทแก้ไขทีโออาร์เพื่อเอื้อประโยชน์เอกชนบางราย

46 ทุจริตโครงการ “ถนนปลอดฝุ่น” (ถนนไร้ฝุ่น) หนึ่งในโครงการไทยเข็มแข็ง ที่มีมูลค่าโครงการกว่า 3.4 หมื่นล้านบาท

47 ทุจริตงบ “ภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน” โดยเฉพาะงบภัยหนาวที่จังหวัดใช้เงินทดลองราชการได้ครั้งละ 1 ล้านบาท

48 ทุจริตสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอที่ระบุว่ามี “ข้อสอบรั่ว” ช่วยเหลือ 140 ปลัดให้สอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอแลกกับการแลกผลประโยชน์รายละกว่ าล้านบาท เพราะเป็นไปไม่ได้ 140 คนตอบข้อสอบเหมือนกันทุกข้อ

49 กรณี “การซื้อขายตำแหน่ง” ผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องจ่าย 20 ล้านบาท รองผู้ว่าฯจ่าย 17 ล้านบาทและถ้าเป็นนายอำเภอ 10 ล้านบาท

50 นโยบายรัฐที่เข้าไปแทรกแซงควบคุมปริมาณการเลี้ยงไก่ไข่ ทำให้เกิดการผูกขาด ทำลายเกษตรกรรายย่อยจนพินาศชิบหายหมดอาชีพ จนกลายเป็นการสมรู้ร่วมคิดระหว่างข้าราชการและทุนใหญ่ 9 ราย ดังต่อไปนี้1 บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร2 บจก. อาหารเบทเทอร์3 บจก. แหลมทองฟาร์ม4 บจก. ฟาร์มไก่พันธุ์เกิดเจริญ5 บจก.ฟาร์มกรุงไทย6 บจก.ยูไนเต็ดฟีดดิ้ง7 บจก.ยู่สูงอาหารสัตว์8 บจก.สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ชลบุรี9 หจก. อุดมชัยฟาร์ม

ล่าสุด เกษตรกร 113 ราย ได้รวมตัวยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง และศาลได้รับคำร้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำที่ 522/2553 แล้ว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนว่า มีคำสั่งทางปกครองที่ทำให้เกิดการผูกขาดละเมิดรัฐธรรมนูญ

51 ทุจริต “มอเตอร์เวย์”บางประอิน-โคราช 5.9 หมื่นล้าน ภาคประชาชนขู่ฟ้องศาลปกครองคระงับโครงการ ส่อพิรุธงบเดิม 2 หมื่นล้านพรวดเป็น 5.9 หมื่นล้าน

52 ทุจริต “ถนนเขาใหญ่” ล่าสุดกรมป่าไม้เตรียมเอกสารหลักฐานยื่นฟ้องร้องกรมทางหลวงและอ งค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) แล้ว และจะยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

53 มหาดไทยส่อพิรุธ!! ปรับลดงบฯ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น (สถ.) “หมื่นล้านประเคน ส.ส.ทำโครงการ” กระทรวงมหาดไทยจะนำเงินจำนวน 1 หมื่นล้านบาทที่มีการปรับลดนั้นไปจัดสรรเอาไว้ในส่วนขององค์กรก รปกครองส่วนท้องถิ่นตามโครงการก่อสร้างถนนไร้ฝุ่น และก่อสร้างลานกีฬาเพื่อสร้างสังคมไทยเป็นสุข ปีงบประมาณ 2554 กระจายลงไปในทุกพื้นที่ การนำเงินส่วนนี้มาจัดสรรให้กับพื้นที่ของ ส.ส. งบท้องถิ่นควรปล่อยให้ท้องถิ่นบริหารกันเองซึ่งอาจจะทำให้ “ขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 265 และ 266” ที่กำหนดไม่ให้ใช้สถานะหรือตำแหน่ง ส.ส.เข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตัวเอง

54 ฉีกหน้ากาก!!คณะกรรมการฯแก้ไขปัญหามาบตาพุดชุด “นายอานันท์” ยัดเยียด 18 ประเภทโครงการส่ง “ผลกระทบรุนแรง”ให้ “นายอภิสิทธิ์” ประกาศใช้การดำเนินการที่ “ขัดหรือแย้งต่อเจตนารมณ์” ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 มาตรา 67 วรรคสอง โดยชัดแจ้ง รวมทั้งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2552 อีกทั้งยัง “ไม่มีกฎหมายฉบับใด” มารองรับอำนาจการประกาศประเภทโครงการทั้งหมด(ช่วยเหลือนายทุน ขาดจิตสำนึก ประชาชนจะตายช่างหัวมัน เลวได้ใจจริงๆรัฐบาลประชาธิปัตย์)

55 “มาร์ค”แอนด์เดอะแก๊งค์ ร่วมกัน “ปล้นชาติ” ได้ “งบประมาณปี54” ผ่านขาดลอย

56 สั่งให้ปลดคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ตำแหน่งผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เพราะ รัฐบาลประชาธิเปรตกำลังถูกตรวจสอบทุจริตคอรัปชั่น

57 เขมรดูหมิ่นเหยียดหยามบุรพกษัตริย์ไทย "สมเด็จพระนเรศวรมหาราช" "อภิสิทธิ์"ยังเฉยไม่รู้ร้อนรู้หนาว(ผู้นำเลว)

58 ยืดเยื้อในการดำเนินการกับออกหมายเรียกพันธมิตร 79 คน คดีระหว่างสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฟ้องชุมนุมปิดสนามบิน59 เล่นละครเรื่องจับวิคเตอร์ บู้ท แต่ปล่อยเครื่องบินยูเครนทั้งลำ

60 ปล่อยน้ำท่วมแต่เขตนิยม พท.และผูกขาดหาเสียงล่วงหน้าและแดก งบประมาณข้างเดียว

หมดยัง??

ที่มา Go6 TV Community Page

        webboard.news.sanook.com/forum/?topic=3304939
[Continue reading...]

ใครคือ "ผู้ทำการปฎิวัติ" ตัวจริง ?

- 0 comments

เปิดหัวหน้าคณะปฏิวัติตัวจริงบาปกรรมของใคร? ที่ใช้สนธิ

จาก REDPOWER ฉบับ 25 เดือน เมษายน 55
โดย กองบรรณาธิการ

พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ อดีตเลขาหัวหน้าคณะปฏิวัติ พลเอกฉลาด หิรัญศิริ ตั้งคำถามพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์เมื่อ 21มีนาคม 2555 จนพลเอกสนธิจนแต้มและตอบคำถามด้วยการไม่ตอบแต่หลังจากนั้นพลตรีสนั่นยังกล่าวตอกย้ำอีกเมื่อ 23 มีนาคม  2555 โดย กล่าวปราศรัยในงานประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2555 ครั้งที่ 1 ของพรรคฯ ที่โรงแรมกรุงศรีริเวอร์ จ.พระนครศรีอยุธยา ว่า 

"ผมงง ว่าท่าน พล.อ.สนธิ (บุญยรัตกลิน) นักปฏิวัติ ห้ำหั่นกับอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร แต่วันนี้กลับมาปรองดอง โดยประเด็นสำคัญคือ เห็นด้วยกับการวิจัยที่จะยกเลิก คตส. ผมก็งง จึงตั้งคำถามไปยัง พล.อ.สนธิ เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าใครอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ เพื่อให้สังคมคลายความสงสัย ผมไม่ได้คิดร้ายกับท่านสนธิเลยส่วนคำถามผมก็ตอบง่ายๆ ว่า ใช่ หรือไม่ใช่ เพราะผมเชื่อว่าหากคนที่อยู่ในสถานการณ์ พูดความจริงแล้ว จะทำให้ความปรองดองเดินหน้า แต่คำถามนี้ท่านสนธิไม่ตอบ ไม่เป็นไร แต่ผมมองว่าถ้าปล่อยไปอย่างนี้ไม่เกิดความปรองดองจะเกิดวิกฤตที่รุนแรงกว่าเดิมแน่นอน...คณะรัฐประหารเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและมีภาพพลเอกเปรมนั้น ตนจึงถามว่าพลเอกเปรมพา คมช.เข้าเฝ้าฯหรือไม่หรือตามไปภายหลัง ตนจึงถามพลเอกสนธิตรงนี้ มันเป็นเรื่องสำคัญเพราะประชาชนอยากรู้ แต่เป็นสิ่งที่พลเอกสนธิไม่ตอบ"
ข่าวคำถาม  ตอบ ระหว่างพลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ กับ พลเอกสนธิ          บุญยรัตกลิน ได้กลายเป็นข่าวใหญ่ระดับโลก
          ทำไมโลกจึงสนใจการรัฐประหารของไทยเมื่อ 19 กันยายน 2549 ทั้งๆที่ประเทศไทยผ่านการทำรัฐประหารมามากกว่า 20 ครั้งแล้วในรอบ 80 ปี ?
          เพราะการรัฐประหาร 19 กันยา มีลักษณะพิเศษที่จะบอกการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างสังคมการเมืองไทยครั้งใหญ่ด้วยปรากฏการณ์ดังนี้
1.เป็นการรัฐประหารครั้งแรกที่มีความพัวพันกับผู้ดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรี ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวของตัวพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ในขณะที่ท่านดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรี เริ่มจากการเดินสายปราศรัยกับนักเรียนนายร้อยทั้ง 3 เหล่าทัพ และด้วยวลีที่บ่งบอกความหมายการเปิดไฟเขียวให้กระทำการรัฐประหารได้ด้วยคำว่า ม้าไม่ใช่ของจ๊อกกี๊ จ๊อกกี๊ไม่ใช่เจ้าของม้า รวมทั้งการปรากฏภาพพลเอกเปรมร่วมกับผู้นำเหล่าทัพในฐานะแกนนำคณะรัฐประหารที่เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในกลางดึกของคืนวันทำการรัฐประหารและเมื่อกระทำการรัฐประหารแล้วบรรดานายทหารทั้ง 3 เหล่าทัพและข้าราชการสายลูกป๋าเกือบทั้งหมดก็เข้าไปอยู่ในตำแหน่งทางการเมืองต่างๆตั้งแต่คนเทกระโถนจนถึงลูกป๋าที่ใกล้ชิดคือ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี , ลูกป๋าอย่างนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ขึ้นเป็นประธานสภานิติบัญญัติ และนายประสงค์ สุ่นศิริ เป็นประธานคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ


2.เป็นการรัฐประหารครั้งแรกที่ดึงกลไกและบุคลากรของระบบตุลาการมาใช้งานทั้งระบบโดยเข้าไปอยู่ในกลไกอำนาจตั้งแต่เป็นผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญเข้าไปเป็นคณะกรรมการในองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ และทำการตัดสินลงโทษ       พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และบรรดานักการเมืองและประชาชนนักเคลื่อนไหวทางการเมืองฝ่ายเสื้อแดงที่แตกต่างกับการเคลื่อนไหวและการกระทำการที่ผิดกฎหมายของฝ่ายเสื้อเหลืองอย่างแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่การขอประกันตัวจนถึงการตัดสินลงโทษทั้งยุบพรรคและตัดสิทธินักการเมือง จนมีที่มาแห่งคำว่า ตุลาการภิวัฒน์ และสองมาตรฐาน เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์การเมืองไทย


 
3.เป็นการรัฐประหารครั้งแรกที่ใช้กลไกของระบบพรรคการเมือง  สื่อมวลชน และ ระบบราชการทั้งระบบเข้ามาขับเคลื่อนเพื่อทำลายทักษิณและประชาชนที่ผู้ทำการยึดอำนาจประณามใส่ร้ายว่าเป็นผู้ไม่จงรักภักดีและเป็นศัตรูต่อราชบัลลังก์


4.เป็นการรัฐประหารครั้งแรกที่ลงทุนสูงที่สุดเพื่อรักษาอำนาจและเป้าหมายของผู้กระทำการรัฐประหารที่กระทำอย่างยืดเยื้อยาวนานตั้งแต่ 19 กันยายน 2549 จนถึงปัจจุบัน ด้วยการยึดสนามบิน ยึดทำเนียบรัฐบาล และการเข่นฆ่าประชาชนอย่างโหดร้าย ในกรณีสังหารหมู่ประชาชนจากผ่านฟ้าถึงราชประสงค์และยังไม่มีแนวโน้มว่าจะจบสิ้นลงเมื่อไร

ดังนั้นข่าวคำถาม  ตอบ ของเสธ.หนั่นและบิ๊กบัง ด้วยถ้อยคำที่มีความหมายอย่างมีเงื่อนงำถึงตัวบุคคลผู้อยู่เบื้องหลังการสั่งการให้พลเอกสนธิ ทำการรัฐประหารทำให้พลเอกเปรม ดิ้นไม่หลุดจากตรรกะทางการเมืองของการทำอาชญากรรมทางการเมืองจนส่งผลให้บ้านเมืองเสียหายอย่างยิ่ง และเกิดความแตกแยกกันอย่างยิ่งอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย
ว่ากันตามความเป็นจริงแล้วมีผู้เขียนบทความแสดงความคิดเห็นกันอย่างมากมายในรอบ 5 ปีกว่าที่ผ่านมานี้  โดยสร้างระบบเหตุผลจากการต่อเชื่อมปรากฏการณ์ทางการเมืองจากหลายรูปธรรมจนเชื่อได้อย่างมีเหตุผลแล้วว่า พลเอกสนธิ มิใช่หัวหน้าคณะปฏิวัติตัวจริง และรู้อย่างปราศจากข้อสงสัยด้วยระบบเหตุผลแล้วว่า ใครคือหัวหน้าคณะรัฐประหารตัวจริงเพียงแต่คำสารภาพจากพยานบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้นที่ยังไม่ยอมออกมาพูดก็พอดีพลเอกสนธิได้ตอบคำถามชนิดตอบสดและขาดการตระเตรียม ด้วยการยิงตรงคำถามของเสธ.หนั่น ที่กระทำการตระเตรียมคำถามมาจากบ้านด้วยเป้าหมายทางการเมืองที่แอบแฝงทุกอย่างที่สงสัยและติดตามวิเคราะห์กันมาตลอด 5 ปีเศษผู้ฟังอย่างเราจึงถึงบางอ้อ 
Red Power ก็เป็นหนึ่งในผู้สนใจและติดตามแสวงหารูปธรรมเพื่อหาคำตอบมาโดยตลอดและวันนี้ก็เป็นความภาคภูมิใจของหนังสือพิมพ์ฉบับเล็กๆที่รู้ความจริงจากการวิเคราะห์ก่อนที่ พลเอกสนธิ จะสารภาพ ปรากฏหลักฐานจากบทวิเคราะห์ของกองบรรณาธิการฉบับครบรอบ 5 ปี การรัฐประหาร ด้วยพาดหัวหน้าปกว่า 5 ปี การรัฐประหาร ปัญหามิใช่อยู่ที่ทักษิณ แต่อยู่ที่...........? (แฟนคลับคอการเมืองไปหาซื้อย้อนหลังได้จากท้องตลาดมืด ฉบับลงวันที่ 20 ประจำเดือน ตุลาคม 2554)

ฉบับนี้ยังมีบทความจากผู้ใช้นามปากกาว่านายทหารเอกกรุงธน ซึ่งเป็นนักวิเคราะห์และนักเขียนประจำ Red Power ที่ตีพิมพ์ในสื่ออิเล็กทรอนิกส์              Thai E-newsเรื่อง เสียงครวญสดศรี ชี้บอกว่า ตุลาการวิบัติ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ก่อนที่พลเอกสนธิ จะสารภาพ และเพื่อความสะดวก กองบรรณาธิการจึงคัดมาตีพิมพ์ใน Red Power ฉบับนี้ด้วย

การออกมาให้สัมภาษณ์แก้ตัวของบรรดาลูกป๋าและอดีตลูกป๋าเช่น              พลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร พลเอกบัญชร ชวาลศิลป์ และอีกมากมายนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นการตอกย้ำความจริงด้วยถ้อยคำปฏิเสธที่ไร้น้ำหนักแห่งเหตุผลทั้งสิ้น ซึ่งแทนที่จะเป็นผลประโยชน์ต่อพลเอกเปรมกลับส่งผลในทางตรงกันข้าม

วันนี้สำหรับพลเอกเปรมในวัยเกินกว่า 90 ปี และกำลังย่างเข้าหลัก 100 นี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าการเข้าสู่หลักธรรมคำสอนของท่านพุทธทาสเพื่อเข้าสู่นิพพานโดยง่ายด้วยคำว่า ตายก่อนตาย เสียเถิด

กรณีรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นเวรกรรมของผู้ใช้พลเอกสนธิเองโดยไม่รู้ว่านายทหารผู้นี้มีความสับสนในระบบคิดเกี่ยวกับความจงรักภักดีต่อราชบัลลังก์อย่างยิ่ง

ที่มา :ทีมสุนัยแฟนคลับ

[Continue reading...]

'กล้าณรงค์' โต้ไม่เคยเป็นหนี้ และไม่รู้จักนาง ยมนา

- 0 comments
 
วันนี้(1ก.ค.56)มีประเด็นร้อนจากโลกออนไลน์ เรื่องการทวงหนี้ นายกล้านรงค์ จันทิก จนทำให้เขาแถลงข่าวปฏิเสธ พร้อมยืนยันว่า ภรรยาไม่เคยรู้จักและเป็นหนี้ นางยมนา สุธาสมิธ ที่เผยแพร่คลิปทวงหนี้ผ่านยูทูป พร้อมนำหลักฐานเปิดบัญชี  และการเบิกเงินเกินวงเงินของธนาคารทหารไทย สาขานครปฐมและสาขาถนนบรมราชชนนี มาแสดงยืนยันความบริสุทธิ์ของภรรยา
 
 
เอกสาร เปิดบัญชีกระแสรายวันธนาคารทหารไทย สาขาอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม สัญญาการนำที่ดินไปค้ำประกันวงเงินการเบิกจ่ายเกินบัญชี ซึ่งเป็นชื่อนางยมนา อาภัสสมภพ บุคคลในคลิปวิดีโอที่ออกมาทวงหนี้นายกล้านรงค์ จันทิก ผ่านยูทูป เป็นส่วนหนึ่งของหลักฐานที่ นายกล้านรงค์ นำมาแถลงข่าว 
 
 
พร้อม กับ สำเนาเอกสารการเปิดบัญชีกระแสรายวันและบันทึกการเบิกเงิน ที่ธนาคารทหารไทย สาขาถนนบรมราชชนนี หนังสือสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้  หมายศาล และคำพิพากษาศาลจังหวัดนครปฐม ที่ธนาคารฟ้องร้องนางยมนา เนื่องจากผิดนัดชำระหนี้  
 
 
โดย นายกล้านรงค์ นำหลักฐานเหล่านี้ มาชี้แจงความบริสุทธิ์ของเขาและนางพันทิพา ภรรยา ที่ถูกกล่าวหาว่า ยืมโฉนดที่ดินของนางยมนาไปค้ำประกันเงินกู้ และไม่ชำระจนถูกธนาคารยึดและขายทอดตลาด โดยนายกล้านรงค์ยืนยันว่า เอกสารทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับนางพันทิพา ภรรยา และที่สำคัญเขาไม่เคยรู้จักกับนางยมนา 
 
 
นายก ล้านรงค์ กล่าวว่า จะให้ทีมกฎหมายพิจารณาเอกสารและรายละเอียด เบื้องต้นยังไม่ฟ้องร้องดำเนินคดีกับนางยมนาที่ออกมากล่าวหาผ่านยูทูป 
 
 
การ เผยแพร่คลิปดังกล่าว ในเวบไซต์ยูปทู มีขึ้นเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ในชื่อว่า "ทวงหนี้ กล้านรงค์"  มีความยาวกว่า 3 นาที  เป็นภาพหญิงวัยกลางคน อ้างว่าชื่อนางยมนา สุธาสมิธ  เรียกร้องให้ นายกล้านรงค์ ที่นางพันทิพา  มายืมโฉนดที่ดินของเธอไปกู้ธนาคาร โดยตีเช็ค 1 ล้าน 9 แสนบาทให้ 1 ฉบับ ซึ่ง 7 ปีที่ผ่านมา เธอได้ทวงถามมาตลอด จนถูกพิพากษาให้ล้มละลายและยึดทรัพย์สิน จึงต้องการให้นายกล้านรงค์ออกมารับผิดชอบ โดยในคลิปมีการโชว์รูปเช็คฉบับดังกล่าวด้วย และ ก่อนหน้านี้ สมัยที่นายกล้านรงค์ ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการ ป.ป.ช.ก็เคยมีใบปลิวโจมตีเรื่องดังกล่าวมาแล้ว
ที่มา VoiceTV
1 กรกฎาคม 2556 เวลา 20:17 น.
 
[Continue reading...]

แล้วใครอยู่เบื้องหลังกลุ่มหน้ากากขาว? บุคคลสำคัญในวงการสื่อที่มีอำนาจและร่ำรวย นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม

- 0 comments
แฉเสี่ยต้อยผู้ชักใยม็อบหน้ากากขาว
ข้อมูลและเรียบเรียงโดย Thai e news

แล้วใครอยู่เบื้องหลังกลุ่มหน้ากากขาว? บุคคลสำคัญในวงการสื่อที่มีอำนาจและร่ำรวย นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ผู้ก่อตั้งสำนักข่าวอิสระทีนิวส์ มีแนวความคิดฝ่ายขวาหัวรุนแรง เป็นกลุ่มซึ่งให้การสนับสนุนอย่างลับๆต่อกลุ่มหน้ากากขาว

 

 

ที่มา เว็บไซต์ robertamsterdam.com


หลายอาทิตย์ที่ผ่านมา กลุ่ม “ผู้ชุมนุม” ขนาดเล็กแต่มีการวางแผนมาอย่างดีและมีศักยภาพได้เดินขบวนบนท้องถนนกรุงเทพฯและในจังหวัดอื่นพวกเขาขนานนามตนเองว่า “หน้ากากขาว” เพราะพวกเขาใช้หน้ากากวีกาย ฟอกส์สีขาวซึ่งเป็นสัญลักษณ์การเคลื่อนไหวชุมนุมกลุ่มนิรนามที่ก้าวหน้า การเกิดใหม่ของกลุ่มนี้ยังคงห่างไกลจากแนวความคิดเรื่องความรับผิดชอบตามระบอบประชาธิปไตย ความเป็นธรรมชาติ และการเมืองแบบก้าวหน้าอย่างมากมาย
ตามที่ New Mandela ระบุในบทความสองบทความล่าสุดว่ากลุ่มหน้ากากขาวไม่ใช่อะไรนอกจากกลุ่มฝ่ายขวาหัวรุนแรงคลั่งชาติที่มาจากการรวมตัวของกลุ่มพธม. พิทักษ์สยามและกลุ่มที่มีแนวคิดคล้ายกัน กลุ่มเหล่านี้เรียกตัวเองว่ากลุ่ม “ต่อต้านทักษิณ” แต่ศัตรูที่แท้จริงของพวกเขาคือประชาธิปไตย กลุ่มหน้ากากขาวเรียกร้องให้ “ล้มล้าง” รัฐบาลเพื่อไทยซึ่งมาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย กลุ่มหน้ากากขาวยังไม่อายที่จะใช้ความรุนแรงต่อนักกิจกรรมที่เรียกร้องประชาธิปไตยตามรายงานของหนังสือพิมพ์ข่าวสด โดยเมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้วในใจกลางกรุงเทพฯ พวกเขาพยายามทุบตีคนเสื้อแดงด้วยแท่งเหล็ก
การสมรู้ร่วมคิดกันระหว่างกลุ่มหน้ากากขาวและกลุ่มฝ่ายขาวหัวรุนแรง ซึ่งมีรายงานว่ากลุ่มนักกิจกรรมเหล่านี้ทำกิจกรรม เช่นการร้องเพลงแนวเผด็จการฟาสซิสต์ “หนักแผ่นดิน” เป็นประจำ นอกจากนี้ แกนนำที่เข้าร่วมกับกลุ่มหน้ากากขาว เช่น ผู้ประสานงาน “กลุ่มกรีน” นายสุริยะใส กตะศิลาเริ่มหาข้ออ้างที่แปลกประหลาดและวิตถารว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์“กำลังสร้างเงื่อนไขเพื่อทำรัฐประหาร” ตนเอง
เราไม่ควรประเมินความซับซ้อนของกลุ่มหน้ากากขาวต่ำจนเกินไป บรรยากาศของ “ความเป็นธรรมชาติ” ทำให้กลุ่มนี้มีภาพลักษณ์การเคลื่อนไหวของ “กลุ่มรากหญ้า” คล้ายคลึงกับกลุ่มอาหรับสปริงเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว นอกจากนี้ การใช้สัญลักษณ์การชุมนุมแบบก้าวหน้าและนิรนามนำไปสูภาพลักษณ์ที่ดีในหน้าสื่อ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ตาม การรายงานข่าวในแง่ดีถูกผลักดันโดยกระบอกเสียงของพรรคประชาธิปัตย์หนังสือภาษาอังกฤษ “บางกอกโพสต์” ซึ่งได้พยายามหลอกลวงผู้คนโดยนำเสนอว่ากลุ่มหน้ากากขาวคือกลุ่มผู้ชุมนุมที่ชอบด้วยกฎหมาย มากมายจะเป็นกลุ่มที่ผสมผสานกันของกลุ่มต่อต้านประชาธิปไตยมากที่สุดในประเทศไทย
แล้วใครอยู่เบื้องหลังกลุ่มหน้ากากขาว? บุคคลสำคัญในวงการสื่อที่มีอำนาจและร่ำรวย นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ผู้ก่อตั้งสำนักข่าวอิสระทีนิวส์กลุ่มทีนิวส์ สองสำนักข่าวนี้เต็มไปด้วยคำด่าทอหยาบคายและมีแนวความคิดฝ่ายขวาหัวรุนแรง เป็นกลุ่มซึ่งให้การสนับสนุนอย่างลับๆต่อกลุ่มหน้ากากขาว
ไม่นานมานี้ หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์รายงานว่านายสนธิญาณกล่าวว่า “เขาสนับสนุนกลุ่มนี้ เชื่อว่าพวกเขาทำในสิ่งที่ถูกต้อง และเชื่อมั่นว่ากลุ่มนี้จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ” นายสนธิญาณกล่าวต่อว่าบริษัทของเขาขายหน้ากากขาวให้ผู้ชุมนุมและ “มีคนซื้อหน้ากากราว 10,000 ใบ และยังมีการสั่งซื้อมาเรื่อยๆ” อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่านายสนธิญาณจะพูดจาล้ำเส้น เมื่อเข้าพูดถึงเพื่อนร่วมชาติ โดยเขาแนะนำว่า “ทักษิณและครอบครัวจะต้องถามตัวเองว่าพวกเขาสามารถอาศัยอยู่ในที่ที่มีแต่คนเกลียดพวกเขาได้อย่างไร” บางทีนายสนธิญาณอาจตั้งใจลืมว่าการเลือกตั้งทั่วไปทั้ง 5 ครั้งใน 12 ปีที่ผ่านมาให้ประชามติตามระบอบประชาธิปไตยต่อรัฐบาลที่นำโดยทักษิณ และการเคลื่อนไหวของหน้ากากขาวในกรุงเทพฯก็ไม่ได้มีผู้เข้าร่วมชุมนุมมากนัก
แม้กลุ่มหน้ากากขาวไทยจะแสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนมากขึ้นในเรื่องของการสื่อสารข้อความ แต่กลุ่มนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากกลุ่มนิยมอำนาจเก่าซึ่งเป็นกลุ่มพลังต่อต้านประชาธิปไตยอันเกิดจากการรวมตัวในรูปแบบใหม่โดยใช้การสื่อสารที่เป็นมิตร เราไม่ควรประเมินกลุ่มนี้ต่ำเกินไป การยืมเอาสัญลักษณ์ที่กำลังเป็นที่นิยมของการเคลื่อไหวของกลุ่มหัวก้าวหน้าทั่วโลกไม่ช่วยทำให้กลุ่มนี้กลายเป็นกลุ่มหัวก้าวหน้าไปได้
***********
เ้รื่องเกี่ยวเนื่อง:

เสี่ยต้อยนักข่าวร้อยล้านได้สิทธิ์นั้นทันที ให้ไปคิดเป็นคนสำนักงานทรัพย์สินฯบังควรไหม?


ผู้แทนของสำนักงานทรัพย์สินฯ-นายสนธิญาณ หนูแก้ว ผู้แทนสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ขวาสุด)เมื่อครั้งเป็นตัวแทนสำนักงานทรัพย์สินฯไปร่วมกิจกรรมการกุศลนัดหนึ่ง(ภาพข่าว:positioningmag)

-อ่านข่าวเพิ่มเติม:สนธิญาณ ที่ปรึกษาสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มอบเงินชวยเหลือทหารพลีชีพชายแดนเขมร 24 เมษายน 2554

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
29 สิงหาคม 2553

ไทยอีนิวส์ได้จัดทำแบบสำรวจเรื่อง ใช้เสี่ยต้อยนักข่าวร้อยล้าน และผู้แทนสำนักงานทรัพย์สินฯไล่ล่าแม่มดคดีหมิ่น ดร.จิรายุคิดดีแล้วหรือ? โดยระบุว่า ปัญหาไม่ได้อยู่แค่ว่าสนธิญาณเป็นเจ้าของสำนักข่าวแห่งหนึ่ง แต่เขาเป็นผู้แทนสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ การออกมาไล่ล่าแม่มดยัดคดีหมิ่นให้เหยื่อคดี112ในเวลานี้ บังควรแล้วหรือ? ไม่เกรงว่าเป็นคนในใกล้ชิดขนาดนี้ จะไม่ก่อผลสะเทือนต่อเบื้องสูงซะเองหรอกหรือ ถามไปยังดร.จิรายุ ผอ.สำนักงานทรัพย์สินฯ โปรดคิดพิจารณา

และขอตั้งคำถามว่า สนธิญาณ ผู้แทนสำนักงานทรัพย์สินฯออกมาล่าแม่มดคดี112เอง สมควรหรือไม่?

มีท่านผู้อ่านตอบแบบสอบถามนี้ทั้งสิ้นจำนวน 1,471 ท่าน ผลการสำรวจเป็นดังนี้

-สมควร เพราะเป็นผู้แทนสำนักงานทรัพย์สินฯต้องกตัญญูปกป้องสถาบันกษัตริย์ 140ท่าน (9%)

-ไม่บังควร เป็นคนในใกล้ชิดจะทำให้กระทบกระเทือนเบื้องพระยุคลบาท 486 ท่าน (33%)

-ให้สนธิญาณกับจิรายุคิดเอง เรื่องอย่างนี้น่าจะคิดได้ 845 (57%)

บทบาทที่สุ่มเสี่ยงเมื่อผู้แทนสำนักงานทรัพย์สินฯออกล่าแม่มดคดีหมิ่นฯซะเอง


มือขวาจิรายุมาเอง-บทบาทของเสี่ยต้อยในวาระนี้ ที่สวมบทบาทไล่ล่าแม่มดด้วยข้อหาหมิ่นฯนั้นดูหมิ่นเหม่มากเกินไปไหม เพราะใครในประเทศนี้ที่จะไม่รู้บ้างว่าเขามีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผอ.สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ดร.จิรายุอย่างไร แนบแน่นขนาดไหน

และดร.จิรายุนั้นเป็นใคร?

ลำพังแค่คำถามและความสงสัยเพียงนี้ ก็กระทบกระเทือนต่อเบื้องสูงแล้ว ดร.จิรายุคิดดีแล้วหรือไรในการให้ม้าใช้ใกล้ชิด-เสี่ยต้อยร้อยล้านรับงานนี้ ...หาคนไกลๆตัวหน่อยถามเสี่ยต้อยดูได้ ประเภทที่เนียนๆไม่โฉ่งฉ่าง ไม่มีบูมเมอแรงระดับนี้

ด้วยความห่วงใยดร.จิรายุ และด้วยความอยากร่วมเฝ้าระวังพิทักษ์และปกป้องสถาบันฯ




สำนักงานของ TNews ตั้่งอยู่บนอาคารของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และตัวสนธิญาณ ผู้บริหารก็เป็นที่ปรึกษาสำนักงานทรัพย์สินฯ(บก.ลายจุด:โพสต์ลงเฟซบุ๊ค)


นักข่าวร้อยล้าน-เสี่ยต้อยกับชีวิตพอเพียงในคฤหาสถ์พื้นที่ 1 ไร่ริมทะเลสาบ และทรัพย์สินที่มีมากกว่า 100 ล้านในวันนี้


สำนักข่าวT-NEWSของสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม หรือสนธิญาณ หนูแก้ว ได้ปักหลักทำสกู๊ปทาง"ช่องหอยม่วง"โทรทัศน์ช่อง 11 ให้ร้ายว่าเสื้อแดงเคลื่อนไหวล้มสถาบันเบื้องสูง อย่างต่อเนื่อง ในเวลานี้วิทยุเครือข่ายกองทัพบกเปิดช่องให้เขากล่าวหาฝ่ายเรีบกร้องประชาธิปไตยเป็นพวกล้มสถาบัน และเมื่อวันที่ 18 สิงหาคมเขาใช้มวลชนที่เขาจัดตั้งขึ้นนี้ไปกดดันICTให้ปิดสิ่งที่เขาเรียกว่า"เว็บไซต์หมิ่นฯ" และใช้สำนักข่าวTNEWS ที่เขาเป็นเจ้าของปฏิบัติการล่าแม่มดพ่อมดว่าหมิ่นสถาบันกษัตริย์อย่างชนิดเปิดหน้าเล่น ไม่ต้องเกรงว่า ในฐานะเป็นผู้แทนสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จะเป็นประเด็นอ่อนไหวมากเพียงไรต่อสถาบันกษัตริย์เอง

โดยเมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมาองค์กรมวลชนจัดตั้งนี้ได้ยื่นแถลงการณ์ขอให้กำลังใจและสนับสนุน รมต.ICT ปราบเว็บหมิ่นอย่างเด็ดขาด รวมทั้งไทยอีนิวส์ ก็ถูกกล่าวหาอย่างไร้เหตุผลว่าเป็น"เว็บหมิ่น"ไปด้วย โดยมีเนื้อหาแถลงการณ์ดังต่อไปนี้

แถลงการณ์ ขอให้กำลังใจและสนับสนุน น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในการถวายความจงรักภักดี โดยการปราบปรามเวปไซด์และเครือข่ายโซเชียล มีเดีย ที่กระทำความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒


ตามที่ได้มีเวปไซด์และเครือข่ายโซเชียล มีเดีย ของกลุ่มขบวนการที่จาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่น เวป นปช.ยูเอสเอ , ไทยอีนิวส์ ,ไทยฟรีนิวส์, Democray100 Percent เป็นต้น ได้ทำการจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ และเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ มาโดยตลอด

ปรากฏว่าเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๔ ที่ผ่านมา น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้ประกาศว่ามีนโยบาย จะดำเนินการปราบปรามเวปไซด์หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์และบังคับใช้กฎหมายพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ อย่างเด็ดขาด นั้น

ประชาชนและเครือข่ายมวลชนที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ดังมีรายนามข้างล่างนี้ เห็นว่า การประกาศนโยบายนี้ ได้เห็นในความตั้งใจจริงของ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งเป็นนายทหารที่จบจากโรงเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ ๒๓ เป็นนายทหารอากาศที่ผ่านการถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาแล้ว และท่านยังเป็นหัวหน้าฝูงบินขับไล่ F 16 ครั้งแรกนอกประเทศของกองทัพอากาศไทย และยังได้รับโล่เชิดชูเกียรติรางวัล “เชิดวุฒากาศ”จากโรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศ ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของข้าราชการทหาร เป็นผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นผู้มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

ฉะนั้นพวกเราจึงมาให้กำลังใจและสนับสนุนในการปฏิบัติหน้าที่ของท่าน

เครือข่ายเฝ้าระวังพิทักษ์และปกป้องสถาบันฯ
เครือข่ายพิทักษ์จักรีวงศ์เขตกรุงเทพฯ


โดนจับได้ อุ๊ยตาย!อายจังหมอตุลย์รับงานสนธิญาณไปICTใช้รถคันเดียวกับปชป.หาเสียง



ที่เว็บบอร์ดประชาทอล์ก มีการโพสต์แฉว่า รถคันที่หมอตุลย์ สิทธิสมวงศ์ รับงานนายสนธิญาณไปยื่นหนังสือแถลงการณ์กับICTวันนี้(ภาพล่าง)เป็นคันเดียวกับที่พรรคประชาธิปัตย์เคยใช้เป็นรถหาเสียงที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเคยใช้บริการ(ภาพบน:จากข่าวสด) คือรถกระบะมิตซูบิชิสีขาว ทะเบียน ษต 5386 ลำโพง 8 หลอด
*********
น่าประหลาดที่ว่าชายผู้นี้ในอดีตเคยคุยกับใครต่อใครว่าเคยเข้าป่าจับปืนกับพรรคคอมมิวนิสต์ฯหวังพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน สร้างสังคมใหม่ที่ไม่มี"เจ้า" เป็นอริราชศัตรูต่อราชบัลลังก์มาก่อน มาวันนี้เมื่อเป็นนักข่าวที่มีคำว่า"เสี่ย"100ล้านนำหน้า กลับใช้ข้อหาเดียวกับที่พวกฝ่ายขวาสุดโต่งเคยใช้เมื่อยุค30กว่าปีก่อน มาให้ร้ายขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยเสื้อแดง...

นอกจากการทำสกู๊ปข่าวป้ายสีผ่านช่องหอยม่วงแล้ว เวบไซต์ tnewsของเสี่ยต้อยร้อยล้านก็โหมกระพือเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง

กลางใจอำมาตย์-เมื่อไวๆนี้สนธิญาณให้สัมภาษณ์สื่อว่าเขาเป็นสื่อที่เลือกข้างน้อยที่สุดแล้ว ค่อนข้างจะเป็นกลางมากที่สุด


ในซีรีส์ชุด"ลากไส้สื่อเหี้ย"อันลือลั่นที่เคยลงเผยแพร่ในไทยอีนิวส์ ผู้เขียนคือคุณ"รักในหลวงห่วงลูกหลาน"กล่าวในเชิงตั้งข้อสงสัยว่า สนธิญาณ หนูแก้ว ดูจะมี"ภารกิจลับ"ในการใช้สื่อวิทยุของเขาที่ได้ทุนจากสำนักงานทรัพย์สินฯในการเปิดข่าวสกัดไม่ให้ณรงค์ วงศ์วรรณ ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี และ"บิ๊กสุ"ได้เสียสัตย์เพื่อชาติเป็นายกฯ นำไปสู่การประท้วงขับไล่สุจินดาออก จากนั้นเขาก็เป็นคนวิ่งเต้นเส้นสายให้อานันท์ ปันยารชุน ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีพระราชทานรอบ 2 และเขาเข้าไปประมูลสถานีโทรทัศน์itvจากรัฐบาลอานันท์ได้ แต่หุ้นส่วนแตกคอกันเสียก่อน

การกลับมาของสนธิญาณหนนี้ในการใช้สื่อช่อง 11 โจมตีว่าเสื้อแดงจะล้มสถาบัน และประกาศโจมตีทางเวบไซต์tnewsของเขาจึงน่าจับตามองว่าต้อยสนธิญาณได้รับภารกิจลับระดับสูงอะไรมาอีกหรือไม่?

ด้านล่างนี้คัดมาจากซีรีส์ลากไส้สื่อเหี้ย ตอน"จากไดโนเสาร์วิวัฒนาการมาเป็นเหี้ย"

*นอกจากรายการทีวีทางช่องหอยม่วงแล้ว เสี่ยต้อยร้อยล้านยังออกหนังสือพ็อคเก็ตบุ๊คให้ร้ายขบวนการประชาธิปไตยด้วย


สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม(หนูแก้ว) ผู้ก่อตั้งสำนักข่าวINNซึ่งมีบทบาทสกัดไม่ให้ณรงค์ วงศ์วรรณขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ในที่สุดบิ๊กสุต้องเสียสัตย์เพื่อชาติมาเป็น นำไปสู่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ และเขาต้องตามไปแก้ไขในตอนจบของเหตุการณ์แบบลึกลับ

ทีนี้เพื่อตอบคำถามว่าทำไมชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ เพื่อนผู้พี่ของต้อย ตอนนี้ดูจะออกแนวเหลืองๆ ผมก็เลยเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เป็นเรื่องที่ชัชรินทร์เคยบอกคนใกล้ชิดว่าเขาจะเก็บเรื่องนี้ให้ตายไปกับตัว ...

อย่างที่ผมเล่าไปว่าชัชรินทร์ชอบคบคนไม่มีอำนาจ หรือหมดอำนาจแล้ว มันก็มีองค์กรหนึ่งเคยมีอำนาจ ดันมาหมดอำนาจเพราะป่าแตก ก็คือพรรคคอมมิวนิสต์...ชัชรินทร์ก็ไปเอาพิรุณ ฉัตรวณิชกุล กรรมการกลางพรรคฯมาลงสัมภาษณ์ในหนังสือรายสัปดาห์ของเขา พิรุณก็พูดไปหลายเรื่องรวมทั้งเรื่องสมัชชา4พคท.ที่ทำให้ป่าแตก แล้วก็แนวทางการต่อสู้ด้วยอาวุธ

แต่ความซวยมาเยือน ทางการจับพิรุณได้พร้อมกับเมียคืออาจารย์ชล ตอนนั้นตั้งท้องแก่อยู่เป็นที่น่าอนาถมาก ชัชรินทร์ก็ต้องไปนอนคุกด้วย ตรงนี้จะเห็นว่าชัชโดนคุกข้อหาเป็น”แดง” มาวันนี้เสือกออก”เหลือง”นี่คนคงงองู2ตัวแดก

ชัชรินทร์ยังมีความสนิทสนมกับพวกป่าแตกอีกหลาย ในนั้นรวมทั้งคนเขียนหนังสือเรื่อง”จากดอยยาวถึงภูผาจิ”ชื่อนามปากกาจันทนา ฟองทะเล ฟังแล้วออกหญิงแต่แกเป็นผู้ชายนะฮะ แล้วก็ไปทำงานที่มหาลัยรังสิต กลายเป็นมือขวาดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ไป

ในยุครสช.มีการตั้งพรรคสามัคคีธรรมขึ้นพ่อเลี้ยงณรงค์ วงศ์วรรณ เป็นหัวหน้าพรรค ส่วนประธานสภาดร.อาทิตย์ได้เป็น และเป็นหนแรกในรอบหลายสิบปีที่ให้ประธานสภาผู้แทน เป็นประธานรัฐสภา มีสิทธิ์ในการเสนอชื่อทูลเกล้าใครเป็นนายกฯ

ตามคิวก็ต้องเป็นพ่อเลี้ยงณรงค์ แต่พ่อเลี้ยงณรงค์ดันโดนสำนักข่าวINNที่เพิ่งตั้งได้หมาดๆแฉว่าแกค้าผงขาวตราสิงโตคู
่เหยียบลูกโลก จนอเมริกาไม่ให้วีซ่าเข้าประเทศ


สำนักข่าวINNนั้นก่อตั้งโดยเพื่อนผมคือไอ้ต้อย-สนธิญาณ หนูแก้ว(ตอนหลังมาเปลี่ยนเป็นชื่นฤทัยในธรรม เพราะมันชักแก่วัด) ไอ้ต้อยนี่เป็นคนปักษ์ใต้ ตัวดำสะตอพันธุ์แท้ เข้าป่ามาออกมายังไงไม่รู้ เสือกไปสนิทกับอาจารย์จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยาซะงั้น อาจารย์จิรายุก็คือผู้อำนวยการทรัพย์สินฯไง พูดง่ายๆคือคนหาเงินให้ข้างบน

ไอ้ต้อยก็ให้อาจารย์จิรายุหนุนตั้งสำนักข่าวขึ้นมา ส่วนว่าINNไปเล่นพ่อเลี้ยงณรงค์จนชวดเก้าอี้นายกฯ เลยไปจบที่สุจินดา จนบานปลายเป็นพฤษภาทมิฬนี่ถือเป็น”แผนสมคบคิด”กันหรือเปล่า ผมก็ไม่อยากเดา เพราะไม่มีข้อมูลสนับสนุน แต่มันมีความเป็นไปเป็นมาอย่างนี้ ใครจะอยากสงสัยก็เชิญ ผมไม่เกี่ยว

พอเกิดพฤษภาทมิฬ ไอ้ต้อยก็ไปม็อบลุยกันใหญ่วันที่ยิงกันหน้าโรงแรมรอแยล ใครจะหนีก็ช่าง แต่ไม่ใช่ไอ้ต้อย ไอ้นี่บัญชาการลุยแถวหน้าเลยทีเดียว มันบอกมี"พระดี"เลยรอดมาได้

พอพฤษภาทมิฬจบ ในหลวงเรียกเด็กๆเข้าไปหมอบ แล้วฟาดก้นคนละป๊าบให้เลิก แต่ปัญหาไม่จบ เพราะต้องตั้งนายกฯใหม่ พวกพรรคสามัคคีธรรมก็หน้าด้านบอกว่า ก็พวกประท้วงอยากได้นายกฯจากการเลือกตั้งไม่ใช่เหรอ งั้นพวกกูก็ขอใช้สิทธิ์ให้หัวหน้าพรรคคนใหม่คือพล.อ.อ.สมบุญ ระหงส์ เป็นนายกฯ คนก็ยี้กันทั้งประเทศ ขอให้ยุบสภา แต่ตอนนั้นนายกฯก็ไม่มี มันก็ต้องหา หาไม่โดนใจเดี๋ยวมีม็อบภาค2อีก เพราะม็อบยังไม่แตกสนิท ไอ้ตู่จตุพรพาคนหลบไปสมรภูมิม.รามฯอยู่

อันนี้เรื่องของเรื่องเลยมาถึงบทตัวพระออกโรง คือชัชรินทร์นี่รู้จักกับจันทนา ฟองทะเล มือขวาของดร.อาทิตย์ที่เป็นประธานสภา อีกฟากก็สนิทกับไอ้ต้อย มือขวาอาจารย์จิรายุชนิดเป็นพี่น้องรักกันมาก ชัชรินทร์เลยต้องเป็นmatch makerไป

ชัชรินทร์เล่าให้คนใกล้ชิดฟังว่า เขาก็ได้ตัวประธานสภามาอยู่กับเขา แล้วเขาก็ได้ดร.จิรายุพาเข้าวัง ตอนเข้าวังไปนี่ชัชรินทร์ซึ่งเคยถูกจับข้อหาคอมฯก็บอกว่าทึ่งมาก เพราะในห้องทรงงานเต็มไปด้วยเครื่องมือเครื่องไม้ไฮเทค ชนิดที่ว่าแฟ็กซ์นี่เพิ่งมีกันในเมืองไทยตอนนั้น แต่ห้องทรงงานนั้นน่าจะมีอินเตอร์เน็ตใช้กันแล้ว...อย่าลืมว่าเป็นพ.ศ.2535นะ

ขอข้ามเรื่องวงในไป เดี๋ยวผมจะซวยฐานรู้มากแล้วเอามาเผยในที่แจ้ง สรุปก็คือตามที่คนไทยและชาวโลกตกตะลึงกันตอนนั้นคือ แทนที่รถของวังจะนำตราตั้งพระบรมราชโองการไปบ้านพล.อ.อ.สมบุญที่แต่งตัวชุดขาวรออยู่ท่ามกลางสำนักข่าวเพียบ และเสียงคนด่าแม่ทั้งประเทศ ก็ขับเลยไปบ้านนายอานันท์ ปันยารชุน และก็เรียบร้อยโรงเรียนจิตรลดาอย่างที่รู้กัน อานันท์เป็นนายกบร๊ะราชทานรอบ2!

ความสัมพันธ์ของชัชรินทร์กับสนธิญาณก็เหนียวแน่นยาวนานมาป่านนี้ ตอนนี้สนธิญาณก็ตั้งกลุ่มห่าเหวอะไรซักอย่างมั้ง ที่ให้สินบน1ล้านจับไอ้เหลี่ยมนั่นแหละ ส่วนชัชรินทร์ก็มาสัมพันธ์กับพี่เปลว ไทยโพสต์ที่แกเกลียดเหลี่ยมยังกะขี้ด้วย ก็เลยอาจจะเหลืองไปด้วย

คนหนังสือพิมพ์นี่อย่างผมด่าไปหากไม่ขายวิญญาณให้ซาตานเพราะกลายเป็นหมาหิวเงิน ก็อาจขายด้วยเหตุผลพิเศษอื่นๆ อย่างกรณีของชัชรินทร์นี่ไม่รู้ขายไปหรือยัง ก็ลองสดับดู...

และส่วนว่าไอ้ต้อยคัมแบ็คมามีบทบาททางการเมืองหนนี้มันมีมิชชั่นลับ"ระดับสูง"เหมือนตอนพฤษภาทมิฬหรือไม่ ก็คอยดูๆกันไป




ในแวดวงนักข่าวแล้วต้อยมีสายสัมพันธ์แน่นเหนียวกับชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ นอกจากนั้นก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสุนันท์ ศรีจันทรา ที่ตอนนี้จัดรายการทางทีวีวิทยุให้ร้ายฝ่ายเสื้อแดงทุกวัน และมักชวนคนดูคนฟังของสุนันท์ให้เตรียมใช้ความรุนแรงกับคนเสื้อแดง รวมทั้งสนิทสนมกับสำราญ รอดเพชร โฆษกพันธมิตรด้วย

ต้อยยังแนบแน่นกับเอ๋-สมชาย แสวงการ ในยุคทำงานINN ทั้งสองถึงขั้นเปิดผับแถวซอยรางน้ำร่วมกัน ปัจจุบันสมชาย หรือเอ๋ มาเป็นสว.ลากตั้งในกลุ่ม 40 สว.รับใช้อำมาตย์

ขณะที่ในสำนักข่าวINNในปัจจุบันยุคของ"ลุงชาวใต้"ซึ่งเป็นทายาทที่เสี่ยต้อยสร้างไว้ ดูจะได้รับอิทธิพลจากเสี่ยต้อยลูกพี่เก่าไม่น้อย สังเกตจากพาดหัวข่าว หรือข่าวที่ส่งทางSMSมักจะมีธงมีทางที่คอยดิสเครดิสเสื่อแดง ฝ่ายที่เคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย และอิงแอบแนบชิดกับอำมาตย์อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน

สายสัมพันธ์สนธิญาณ+จิรายุ ผอ.สำนักงานทรัพย์สินฯ+บุญชัยอดีตเจ้าของDTAC

ฝนตกขี้หมูไหล คนอะไรมาเจอกัน-ต้อยกับเอ๋-สมชาย แสวงการ(ซ้าย)ยุคทำงานINN ทั้งสองถึงขั้นเปิดผับแถวซอยรางน้ำร่วมกัน ปัจจุบันสมชาย หรือเอ๋ มาเป็นสว.ลากตั้งในกลุ่ม 40 สว.รับใช้อำมาตย์



ต้อย สนธิญาณเล่าให้นิตยสารwho? magazine ฟังถึงชีวิตเขาจากกุ๊ยมาเป็นนักข่าวรวยระดับ100 ล้านในวันนี้ ก็เพราะได้ไปมีความสัมพันธ์กับดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และบุญชัย เบญจรงคกุล อดีตนายใหญ่ยูคอม เจ้าของDTAC คู่แข่งคู่กัดมือถือของทักษิณ ชินวัตร ดังความข้างล่างนี้

สมัยเป็นนักศึกษารั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้ชื่อว่าเป็นนักกิจกรรมตัวยง ซึ่งทำให้ ชีวิตเขาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี และการเป็นนักกิจกรรมนี้เองทำให้เขามีโอกาสร่วมงานกับ ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และกลายเป็นจุดหักเหที่ทำให้เขาได้มีโอกาส กระโดดเข้าสู่งานชิ้นสำคัญทางด้านสื่อโทรทัศน์และวิทยุ

เส้นทางการก้าวเข้าสู่ชีวิต"นักข่าว"ของสนธิญาณ เริ่มต้นจากสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 สมัยที่ประชา มาลีนนท์ ลูกชายคนรองของ วิชัย มาลีนนท์ เป็นผู้ควบคุมดูแลงานทางด้านข่าวของสถานี จากนั้นโลดแล่น อยู่บนถนนน้ำหมึก ร่วมกับ ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ ทำหนังสืออาทิตย์วิเคราะห์ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่เขาก้าวสู่เส้น ทางธุรกิจวิทยุ จัดตั้งสำนักข่าวไอเอ็นเอ็น (INN) บุกเบิกการนำเสนอข่าว 24 ชั่วโมง สร้างความฮือฮาให้กับ วงการสื่อด้านวิทยุอย่างมากในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา

จวบจนเมื่อครั้งสำนักงานทรัพย์สินฯ ก้าวเข้าสู่กิจการทางด้าน “สื่อ” ในนามของสยามทีวี แอนด์ เทเลคอมมิวนิเคชั่น เขาได้รับมอบหมายจาก ดร.จิรายุให้เข้ามารับงานชิ้นนี้ ซึ่งมีส่วนร่วมกับทีมของ จุลจิตต์ บุณยเกตุ ในการทำข้อเสนอในการยื่นประมูล จนกระทั่งสามารถคว้างานประมูลมาได้ ทำให้ก้าวกระโดด สู่สยามทีวี และเป็นสื่อประเภทเดียวที่ยังไม่มีโอกาสทำสำเร็จ เพราะมีปัญหาของผู้ถือหุ้นเสียก่อน ทั้งนี้ ในช่วงที่ไอเอ็นเอ็นไปมีสายสัมพันธ์กับมีเดียพลัส ก็เคยมีการตกลงจะผลิตข่าวป้อนให้ไทยสกายทีวีมาแล้ว แต่ความฝันต้องสลายเป็นครั้งที่ 2

ไม่นาน สนธิญาณจึงกลับไปปักหลักใหม่กับไอเอ็นเอ็นอีกครั้ง แม้ว่าคลื่นข่าวของไอเอ็นเอ็นยัง สามารถจับกลุ่มผู้ฟังได้เหมือนเดิม แต่ปัญหาครั้งนี้ไม่ง่ายเหมือนครั้งก่อน เมื่อต้องมาเจอกับเรื่องเงินลงทุน เพราะสำนักงานทรัพย์สินฯ ก็บอบช้ำ เพราะขาดทุนกับธุรกิจทางด้านสื่อและโทรคมนาคมมาไม่น้อย จึงลดการ ลงทุนในธุรกิจสื่อลงทั้งหมด เขาจึงต้องหาพันธมิตรรายใหม่มาร่วมลงทุนในไอเอ็นเอ็นแทน

และเป็นเวลาเดียวกันที่กลุ่มยูคอมกำลังขยายธุรกิจทางด้านบรอดคาสติง ยูคอมจึงกลายมาเป็น ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในไอเอ็นเอ็น ไม่นานปัญหาก็เกิดขึ้นมากมาย ทำให้เขาตัดสินใจออกมาก่อตั้งสถานีวิทยุ BUSINESS RADIO FM 96.5 จากนั้นมาตั้งสำนักข่าว ทีไอเอ็น เรดิโอ ใช้สถานีวิทยุ คลื่นหญิงพลังหญิง และคลื่นหญิงพิทักษ์เมือง จนกระทั่งมาเปิดบริษัทของตัวเองในนาม สำนักข่าว T-NEWs, บริษัท กรีน โพรเท็คท์ จำกัด และเป็นผู้บริหารคลื่นวิทยุ FM101 MHz, 102.5 MHz, 103.5 MHz, 104.5 MHzและดร.จิรายุนั้นเป็นใคร?

ลำพังแค่คำถามและความสงสัยเพียงนี้ ก็กระทบกระเทือนต่อเบื้องสูงแล้ว ดร.จิรายุคิดดีแล้วหรือไรในการให้ม้าใช้ใกล้ชิด-เสี่ยต้อยร้อยล้านรับงานนี้ ...หาคนไกลๆตัวหน่อยถามเสี่ยต้อยดูได้ ประเภทที่เนียนๆไม่โฉ่งฉ่าง ไม่มีบูมเมอแรงระดับนี้

ด้วยความเป็นห่วงดร.จิรายุ และด้วยความอยากร่วมเฝ้าระวังพิทักษ์และปกป้องสถาบันฯ
*****
รู้จักเครือข่ายของเสี่ยต้อยนักข่าวร้อยล้าน:

-สำนักข่าวT-newsสารภาพเป็นคนทำซีดีโจมตีเสื้อแดง-เพื่อไทย

-สนธิญาณ กับบทบาทกลุ่มสยามสามัคคี ที่เคยลงขัน1ล้านจับทักษิณ,ขึ้นคัตเอาต์ต้านเสื้อแดง และฯลฯ

-ไอ้คลั่งสุนันท์ปลุกระดมผ่านสื่อฆ่าหมู่เสื้อแดง พฤติกรรมเลียนแบบวิทยุแห่งความตายรวันดา 

-อดีตผู้นำนศ.6ตุลาคลั่งยุปราบเศษมนุษย์เสื้อแดง 

-สื่อกระหายเลือดเปลว สีเงิน:ฆ่าเสื้อแดงไม่บาป!.. 

-ภารกิจลับระดับสูงของปีย์-ดร.สมเกียรติ-พญาไม้-ไพศาล แต่ประชัยเจอตอเบ้อเร่อเลย 

-รู้จักหัวโจกสำนักข่าวINN 


-ซีรีส์ฮาร์ดคอร์ลากไส้สื่อเห้(18ตอนจบ):กำเนิดและอวสานของมหากาพย์ถลกหนังสื่อเหี้ยมม.ม้าหาย
ที่มา :Sunai Fan Club สุนัยแฟนคลับ
[Continue reading...]

นิธิ เอียวศรีวงศ์ ตั้งกระทู้ ขาดทุนจำนำข้าวด้วยเหตุใดแน่ ?

- 0 comments
รัฐบาลพรรคเพื่อไทยกำลังเผชิญมรสุมที่หนักหน่วงที่สุดตั้งแต่เป็นรัฐบาลมา นั่นคือการประท้วงของชาวนาทั่วประเทศ เพราะไปลดราคารับจำนำข้าวเหลือเพียง 12,000 บาท ไม่เฉพาะแต่ชาวนาเท่านั้น แม้ประชาชนทั่วไปก็คงไม่เห็นด้วยเช่นกัน การสำรวจโพลของสำนักนิด้ารายงานว่า เกือบ 60% ของผู้ถูกสำรวจไม่เห็นด้วยกับการลดราคารับจำนำลงเหลือ 12,000 บาท เพราะเห็นใจชาวนา

จะมองเรื่องนี้เป็นปัญหาในเชิงเทคนิคก็ได้ เพราะ ครม.ลงมติรับมาตรการใหม่ คือรับจำนำข้าวเปลือก 100% ความชื้นไม่เกิน 15% ที่ 12,000 บาท (ต่อตัน) และด้วยวงเงินไม่เกิน 500,000 บาทต่อราย โดยมีผลตั้งแต่ 30 มิ.ย. เป็นต้นไป แทนที่จะเป็น 16 ก.ย. หลังปิดโครงการรับจำนำที่มีมาแต่เดิมเสียก่อน แต่ชาวนาจำนวนมากได้ลงทุนปลูกข้าวนาปรังไปแล้ว ด้วยความคาดหวังว่าจะได้รายได้จากการรับจำนำ 15,000 บาทต่อตัน

หนึ่งในประโยชน์ของโครงการประเภทนี้ ไม่ว่าจะเป็นการรับจำนำข้าว (หรือประกันรายได้ก็ตาม) ก็คือ ผู้ผลิตรู้ผลตอบแทนล่วงหน้า จึงวางแผนการผลิตได้ดีขึ้น (ดีขึ้นแปลว่าเหมาะสมกับสถานภาพและกำไรที่ต้องการของตนเอง ในโลกปัจจุบันคงไม่มีมนุษย์ที่ผลิตตามสถานภาพโดยไม่มองที่กำไรเอาเลย ไม่ว่าจะเป็นชาวนาหรือนายธนาคาร

ฉะนั้นจะมองการประท้วงของชาวนาทั่วประเทศว่า เกิดขึ้นจากความผิดพลาดทางเทคนิค ที่เริ่มใช้มาตรการใหม่ผิดจังหวะเวลา ทำให้ชาวนาได้รับความเสียหายก็ได้ แต่ผมสงสัยว่าอาจจะมากกว่านั้น

ในราคารับจำนำข้าวที่ 12,000 บาท ส่วนใหญ่ของชาวนา (โดยเฉพาะรายย่อย) จะได้รับเงินต่ำกว่านั้น เพราะค่าความชื้นของข้าวสูงกว่า 15% ไปโขทีเดียว (ถึงประมาณ 25%) ฉะนั้นก็จะถูกหักลดราคาลง ในขณะเดียวกันทั้งนักการเมือง (ฝ่ายค้าน) นักวิชาการ และแม้แต่ตัวชาวนาเองก็กล่าวว่า ต้นทุนการผลิตสูงกว่าตัวเลขประเมินของกระทรวงเกษตรที่ไร่ละ 8,600 บาท บ้างก็ว่าสูงกว่ามาก อย่างต่ำก็ไม่หนี 9,000 บาทขึ้นไป เฉลี่ยแล้วจะได้กำไรไร่ละพันกว่าบาทเท่านั้น ทำนา 20 ไร่ ได้กำไรเพียงสองหมื่นกว่าบาท โดยไม่นับค่าแรง และค่าดอกเบี้ย จะเหลืออะไร ทั้งนี้ไม่นับการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ

ชาวนาจำนวนหนึ่งที่ออกมาประท้วงเห็นว่า ตัวเลขขาดทุนบักโกรกนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากราคารับจำนำที่สูงเกินไปอย่างเดียว แต่ส่วนใหญ่แล้วเกิดขึ้นจากการทุจริต (นับตั้งแต่พรรคการเมือง, ข้าราชการ, และเอกชนที่เกี่ยวข้อง)

เมื่อเร็วๆ นี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรเพิ่งจับโรงสีที่ทุจริตได้หนึ่งราย มีมูลค่าความเสียหายเบื้องต้นเข้าไป 130 ล้านบาท ในขณะเดียวกัน รัฐมนตรีพาณิชย์เองก็ดำเนินโครงการนี้อย่างไม่ ?โปร่งใส? (แปลว่าเปิดเผยข้อมูลอย่างจะแจ้งพอที่ผู้อื่นจะตรวจสอบได้ ส่วนจะร่วมทุจริตด้วยหรือไม่เป็นคนละเรื่อง) เป็นผลให้มีการนำข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาส่งมอบแก่รัฐ ประมาณกันถึง 3 ล้านตัน (อย่างน้อย 1 ล้านตัน ไม่อาจบอกที่มาได้) ส่วนที่ไม่โปร่งใสที่สุดคือการระบายข้าว ซึ่งนักวิชาการท่านหนึ่ง (ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร) กล่าวว่าช่องทางการระบายเป็นการทุจริตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโครงการ

ความเห็นของชาวนาจึงมีมูลอยู่มากทีเดียว น่าเสียดายที่ตัวเลข ?ขาดทุน? ที่ กขช.เสนอแก่ ครม. ไม่มีการประเมินว่า หากโครงการป้องกันการทุจริตทุกรูปแบบของโครงการได้ ตัวเลข ?ขาดทุน? จะลดลงไปเท่าไร รวมทั้งยุทธวิธีการระบายข้าวที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพทางธุรกิจ จะลดความเสียหายของโครงการลงได้อีกเท่าไร ผมออกจะสงสัยว่า หากตั้งเป้าการขาดทุนไว้ไม่เกิน 100,000 ล้านบาทต่อปี บางทีอาจไม่ต้องเปลี่ยนแปลงโครงการแต่อย่างใด นอกจากจำกัดเพดานการรับจำนำไว้ไม่เกิน 500,000 บาท

ไม่แต่เพียงโครงการจะ ?ขาดทุน? ในปริมาณที่ประเทศพอรับไหวเท่านั้น ประโยชน์ด้านการกระจายรายได้ก็อาจเพิ่มขึ้นด้วย สำนักงานเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแสดงตัวเลขว่า โครงการรับจำนำที่แม้ดำเนินงานอย่างหละหลวมและเต็มไปด้วยการทุจริตนี้ ก็ทำให้รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้นปีละ 1.16-1.14 แสนล้านบาท เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการมีรายได้เพิ่ม 42,000 บาทต่อคน มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นในรายได้มวลรวม 0.69% เพิ่มรายจ่ายของครัวเรือนทั้งประเทศอีกประมาณ 2%

ถ้าหยุดการโกงได้ ตัวเลขในส่วนนี้จะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งตรงกับเป้าหมายของโครงการ คือกระจายรายได้ลงไปถึงมือชาวนา เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์แก่เศรษฐกิจโดยรวม

ผมสนับสนุนนโยบายรับจำนำข้าวที่ 15,000 บาทมาแต่ต้น ประเมินผลของการ "ขาดทุน" ว่าไม่น่าจะเกิน 70,000 ถึง 100,000 ล้านบาทต่อปี จนถึงปัจจุบันผมก็ยังเชื่อว่า หากตัดการทุจริตในทุกระดับและทุกประเภทลงได้ รวมทั้งดำเนินการทางธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวเลขการขาดทุนก็ไม่น่าจะเกิน 100,000 ล้านบาทอยู่นั่นเอง (ตัวเลขนี้อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะผมคำนวณไม่เป็น ผมนำเอาตัวเลขมาจากการคำนวณของนักเศรษฐศาสตร์นอก TDRI เท่านั้น) ดังนั้น จึงเป็นนโยบายที่น่าสนับสนุน แต่ผมเห็นด้วยว่าควรรับจำนำรายละไม่เกิน 500,000 บาท ซึ่งจะก่อให้เกิดการทุจริตอีกรูปแบบหนึ่งที่ต้องหามาตรการป้องกันมาแต่ต้น (เช่นรับจำนำข้าวของชาวนารายใหญ่ร่วมไปด้วยโดยแบ่งผลประโยชน์กัน)

แต่ 100,000 ล้านบาทต่อปีก็ไม่ใช่ขี้ไก่ ต้องมีเป้าหมายที่คุ้มกับเงินที่เสียไป หากวางเป้าหมายให้ชัด ก็จะรู้ด้วยว่ารัฐต้องทำอะไรอีกบ้าง เพื่อเสริมให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ผมสนับสนุนนโยบายนี้เพราะเห็นว่า สังคมไทยกำลังเปลี่ยนผ่าน ไม่ช้า (อย่างที่เคยช้ามา) ก็เร็วขึ้น ชาวนาไทยจำนวนไม่น้อย ต้องทยอยออกจากการผลิตข้าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนหนึ่งที่ไม่มากนัก คงอยู่ในภาคการเกษตรเพื่อผลิตพืชอื่น (เวลานี้ข้าวใช้พื้นที่ 50% และ 66% ของครัวเรือนเกษตรกรได้รายได้สำคัญจากข้าว) อีกส่วนหนึ่งคงไหลเข้าสู่ตลาดงานจ้างอย่างเต็มตัว (ปัจจุบันรายได้จากแรงงานรับจ้างก็เป็นรายได้สำคัญอีกทางหนึ่งของครัวเรือนชาวนาอยู่แล้ว) อีกส่วนหนึ่งคงเข้าสู่ภาคบริการที่ตนเองเป็นเจ้าของ นับตั้งแต่ขายก๋วยเตี๋ยวไปจนถึงค้าขายพืชผลการเกษตร หรือเป็นเอเยนต์ปุ๋ย

จะช่วยคนเหล่านี้ให้เปลี่ยนผ่านซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้นี้อย่างไร เพื่อให้เขาสามารถเปลี่ยนผ่านไปโดยมีอำนาจต่อรองในตลาดมากกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน การเพิ่มรายได้ของเขาในช่วงหนึ่งตามนโยบายนี้ก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ไม่พอ เพราะเป้าหมายไม่ใช่เพียงให้ชาวนามีกินมีใช้มากขึ้นเพื่อช่วยนายทุนในกรุงเทพฯ เท่านั้น แต่ต้องทำให้เขาสามารถพาครอบครัวของเขาเปลี่ยนผ่านไปสู่สภาวะใหม่ได้อย่างราบรื่นขึ้น

การลงทุนด้านการศึกษาจึงจำเป็น ถึงเวลาที่ควรขยายการศึกษาฟรีจาก ม.3 ไปสู่การศึกษาอาชีวะ แรงงานที่มีทักษะระดับนี้ก็ขาดแคลน การเพิ่มทักษะของลูกหลานชาวนา จึงจะช่วยให้เขามีอำนาจต่อรองในตลาดงานจ้างมากขึ้น พร้อมกันไปนั้นก็ช่วยป้อนแรงงานทักษะซึ่งจะช่วยยกระดับการผลิตของไทยให้สูงขึ้นไปด้วย

เมื่อจำนวนของเกษตรกรลดลง คนที่ยังเหลืออยู่ในภาคเกษตรจึงต้องผลิตอย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่ไม่ควรคิดถึงประสิทธิภาพของบริษัทการเกษตรขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว ควรคิดถึงเอกชนระดับกลางๆ ให้มากขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ในรูปที่ทำให้คนเข้าถึงปัจจัยการผลิต (ที่ดิน, เงินกู้, ทักษะความรู้) ได้สะดวกขึ้น, สหกรณ์หลายรูปแบบ, ฯลฯ

โครงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของรัฐก็อาจมีส่วนช่วยการเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่นขึ้น การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่ผ่านมามีส่วนเปลี่ยนชาวนาทำกินเป็นชาวนาเชิงพาณิชย์ จึงควรคิดตั้งแต่ต้นว่า จะทำให้การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งในครั้งนี้มีส่วนเปลี่ยนชาวนาสู่อาชีพในภาคสมัยใหม่อื่นๆ ได้อย่างไรด้วย

ในส่วนการทุจริตคดโกง ดูเหมือนรัฐบาลกำลังเริ่มตรวจสอบและเอาโทษอยู่ มาตรการนี้ต้องทำสืบเนื่องอย่างเอาจริงเอาจัง อย่าทำเพียงเพื่อเรียกคะแนนเสียงคืนในระยะนี้ มีข่าวด้วยว่านายกฯ กำลังจะปรับ ครม. และหนึ่งใน ครม.ที่จะเปลี่ยนคือรัฐมนตรีพาณิชย์ ซึ่งเป็นการสมควรอย่างยิ่ง ผมไม่มีหลักฐานว่าเขามีส่วนในการทุจริตคดโกง แต่ภายใต้การบริหารงานของเขามีการทุจริตเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางเช่นนี้ ก็แสดงอยู่แล้วว่าเขาไม่มีสมรรถนะที่จะดำเนินโครงการซึ่งมีความสำคัญเยี่ยงนี้ได้

หารัฐมนตรีใหม่ที่ซื่อสัตย์ และมีความสามารถในการทำให้โครงการโปร่งใสทุกขั้นตอน ระดมผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยกันในการวางแผนทางธุรกิจระบายข้าว เลิกจำนำทุกเมล็ด แต่รับจำนำเพียงรายละไม่เกิน 500,000 บาท ด้วยราคาเดิมคือตันละ 15,000 บาท ในขณะเดียวกันทำความเข้าใจกับ รมต.ทั้งชุดว่า โครงการนี้เป็นส่วนเดียวของการเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่นของชาวนาไทย ยังมีงานที่กระทรวงอื่นๆ ต้องทำร่วมกันอีกมาก

ไม่ต้องตระหนกกับคะแนนเสียงที่ลดลง ทำให้ถูกทำให้ดี คะแนนจะกลับมาเอง เวลายังมี



(ที่มา:หน้า 6,มติชนรายวัน ฉบับวันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม 2556 )
[Continue reading...]

คนที่รัก พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคเพื่อไทย ยังไม่พร้อมที่จะรับคำสอนเรื่องประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมจากพรรคประชาธิปัตย์ เพราะยังต่ำกว่ามาตรฐานสากล

- 0 comments
“นพดล” ย้อน ปชป.สำรวจพฤติกรรมตัวเอง ก่อนสอน “พท.-เสื้อแดง”เคารพกฎหมาย ย้ำยึดอำนาจ 19 ก.ย.49 ต้นเหตุความขัดแย้ง ไม่ใช่ “ทักษิณ”

วันนี้ (1 ก.ค.) นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ให้พ.ต.ท.ทักษิณ สั่งรัฐบาล พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงให้เคารพกฎหมาย และนำทุกคนเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย เพื่อให้ประเทศสงบ ว่า ก่อนที่พรรคประชาธิปัตย์จะสอนคนอื่น ขอให้สำรวจดูตนเองเสียก่อน ว่านักการเมืองกลุ่มใดได้ประโยชน์จากการรัฐประหาร ทำลายหลักนิติธรรม นักการเมืองกลุ่มใด ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ ปี 50 และพยายามขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ไม่ว่าจะแก้ไขทั้งฉบับหรือรายมาตรา และนักการเมืองกลุ่มใดที่ไม่ได้เสียงข้างมากจากประชาชนผ่านการเลือกตั้ง แต่ก็อยากได้ใคร่มีในอำนาจเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งคำตอบของคำถามเหล่านี้ คนไทยทั้งประเทศน่าจะรู้ดีว่าเป็นนักการเมืองกลุ่มไหน

นายนพดล กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์น่าจะรู้ว่าต้นเหตุความขัดแย้งเพราะมีการรัฐประหารยึดอำนาจประชาชนและแต่งตั้งศัตรูของ พ.ต.ท.ทักษิณ มาสอบสวนคดี ซึ่งเป็นการละเมิดหลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชน พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคพวก ถูกตั้งข้อกล่าวหาและกระบวนการยุติธรรมวิธีพิเศษของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (ค.ต.ส.) หลังการรัฐประหารเพื่อเอาผิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ นี่คือต้นเหตุความขัดแย้งที่ประชาชนส่วนใหญ่รู้ และทุกครั้งที่เลือกตั้ง ก็มีการเสนอประเด็นนี้ให้ประชาชน จนทำให้พรรคฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชนะเลือกตั้งเหนือพรรคประชาธิปัตย์

“ต้องยอมรับว่าคนที่รัก พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคเพื่อไทย ยังไม่พร้อมที่จะรับคำสอนเรื่องประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมจากพรรคประชาธิปัตย์ เพราะยังต่ำกว่ามาตรฐานสากล ผมขอเรียกร้องว่าแทนที่จะมาพร่ำสอนเรื่องนี้ ขอให้ไปทำนโยบายมาต่อสู้กันทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งต่อไปดีกว่า เพราะประชาชนจะได้มีข้อเปรียบเทียบและ พ.ต.ท.ทักษิณ คงไม่สามารถไปสั่งการให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยหรือคนเสื้อแดงให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้ เพราะทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และตามอำนาจหน้าที่ของตน สิ่งที่ท่านเรียกร้องมาโดยตลอดก็คือขอเพียงให้มีประชาธิปไตยและหลักยุติธรรมที่แท้จริงเกิดขึ้นในประเทศไทยประเทศจะสงบ” นายนพดล กล่าว.
 
[Continue reading...]

ปชป.ขย่มซ้ำ รัฐกลับลำจำนำข้าว เพื่อเป้าหมายต่ออายุตัวเอง

- 0 comments
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษก ปชป.ขย่มซ้ำ รัฐกลับลำ จำนำข้าวที่ตันละ 1.5 หมื่น เพื่อต่ออายุตัวเอง ไล่บี้ รมว.พาณิชย์ เปิด 5 ข้อมูลโครงการจำนำข้าว

วันที่ 1 ก.ค.ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงการที่นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ระบุ จะสร้างความชัดเจนในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลว่า ขอเรียกร้องให้นายนิวัฒน์เปิดเผยข้อมูล 5 ข้อ คือ 1.ตัวเลขการขายข้าว หรือการระบายข้าวในลักษณะรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ทั้งหมด 2. เปิดตัวเลขจริงของสต๊อกข้าวที่มีอยู่ในประเทศไทย 3. เปิดตัวเลขข้าวที่ถูกดึงออกจากโกดัง หรือโรงสี 4. เปิดข้อเท็จจริงในส่วนของข้าวที่ได้รับความเสียหาย และ 5. เปิดข้อเท็จจริงกรณีที่สหรัฐอเมริการะงับการนำเข้าข้าวไทย เนื่องจากไม่มีคุณภาพ

ขอให้ตรวจสอบว่าเป็นข้าวกลุ่มไหน ถือเป็นการบ้านหลักของนายนิวัฒน์ธำรงที่ต้องเร่งแก้ไข ปรับปรุงก่อนที่วงการค้าข้าวไทยจะเสียหายไปมากกว่านี้ และหากไม่กล้าเปิดเผย นายนิวัฒน์ธำรงคงไม่แตกต่างอะไรจากนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์

นายชวนนท์ กล่าวต่อว่า ขอยืนยันว่า เราไม่เห็นด้วยกับโครงการรับจำนำข้าว เพราะเป็นการเปิดช่อง ให้มีการทุจริตคอรัปชัน แต่หากรัฐบาลจะยืนยันทำโครงการรับจำนำข้าวต่อ ก็ต้องราคาที่ตันละ 15,000 บาท ตลอดอายุรัฐบาล เพราะหากสามารถปิดช่องทางการทุจริต การลักลอบสวมสิทธิ์ข้าวรัฐบาลจะมีเงินเพียงพอในการรับจำนำที่ราคาเท่าเดิม

การที่รัฐบาลประกาศคงราคารับจำนำที่ 15,000 บาทตามเดิมนั้น อยากถามว่าหลักคิดของรัฐบาลคืออะไร เพราะชาวนาสับสน วันนี้รัฐบาลเอาตัวรอดไปวันๆ ต่อชีวิตให้ตัวเองกับข่าวลือการยุบสภาในปลายปีนี้ เชื่อว่าจะมีการยืดอายุโครงการจำนำข้าวไปในช่วงใกล้ยุบสภาให้มากที่สุด เพื่อให้ประชาชนเห็นว่า จำนำข้าวของรัฐบาลนี้เดินไปได้ทั้งๆ ที่ขณะนี้รัฐบาลกำลังอยู่ในห้องไอซียู เพราะโคม่าแล้ว

ที่มา :ไทยรัฐออนไลน์
[Continue reading...]

วิพากษ์ วิจารณ์ ล้อเลียน ด่าทอ เหมาะสม หรือ ล้ำเส้น

- 0 comments
        เมื่อ พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผู้บังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) ออกตัวแรงกับกรณี “หมิ่นผ่านเน็ต” หากผู้ใดกระทำเจ้าหน้าที่สามารถจับได้ทันที ไม่ต้องมีการฟ้องร้อง พร้อมโทษจำคุก 5 ปี
     
        จุดชนวนถึงการปฏิบัติหน้าที่และนัยของการออกมาประกาศเน้นย้ำถึงการบังคับใช้พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ท่ามกลางกระแสร้อนแรงในการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนที่มีต่อนักการเมืองบนอินเทอร์เน็ต

      ออกตัวแรง “หมิ่น - จับ - ขัง 5 ปี”

         พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีเเละปรับไม่เกิน 1 เเสนบาท เป็นพ.ร.บ.แรกที่เกี่ยวกับการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ซึ่งประกาศใช้หลังจากการรัฐประหาร 2549 ท่ามกลางเหตุการณ์ทางการเมืองที่โลกอินเทอร์เน็ตเต็มไปด้วยคิดเห็นที่แตกต่าง
     
       
แต่เดิมทีพ.ร.บ.ดังกล่าวก็มีการพูดถึงในแง่ของปัญหาจากการบังคับใช้อยู่แล้ว ในฐานะที่เคลื่อนไหวด้านสิทธิของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมาตลอด อาทิตย์ เผยถึงข้อกฎหมายเป็นที่ปัญหาซึ่งมีอยู่มาตราหลักนั่นคือ มาตรา 14 15 และ16
        โดยมาตรา 14 นั้นจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับข้อมูลที่เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตแล้วจะผิดกฎหมาย อย่าง ข้อมูลอันเป็นเท็จ หมิ่นประมาท หรือความมั่นคง ทั้งนี้ผู้กระทำผิดจะเป็นลักษณะของผู้ใช้บริการ โดยจะเป็นคดีอาญา เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีแล้วไม่สามารถยอมความได้ มีโทษจำคุกสูงถึง 5 ปี
     
        ขณะที่มาตรา 15 นั้นจะเกี่ยวกับผู้ให้บริการ ตัวอย่างเช่น เว็บข่าวต่างๆ ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานโพสต์ความเห็น หากความเห็นเหล่านั้นผิดตามมาตรา 14 ก็จะผิดฐานเหมือนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด โดยระบุโทษเท่ากันคือจำคุก 5 ปี ขณะที่มาตรา 16 นั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับภาพตัดต่อ แต่เป็นคดีที่ยอมความได้

     
       
“เดิมที เจตนาของพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์คือการป้องกันความผิดที่จะกระทำผ่านคอมพิวเตอร์ เป็นการออกกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ตัวอย่างเช่น การขโมยรถ รถหายไป เราไม่สามารถใช้รถได้ แต่การขโมยข้อมูลนั้นไม่เหมือนกัน เรายังมีข้อมูลนั้นอยู่ แต่คนขโมยก๊อบปี้ข้อมูลของเราไป ซึ่งถ้าเป็นกฎหมายเดิม ศาลฎีกาตีความออกมาแล้วว่า ไม่ผิด ดังนั้น มันจึงต้องมีการออกกฎหมายมาเพื่อทำอะไรสักอย่างกับกรณีแบบนี้”

     
        ในส่วนของข้อมูลเท็จนั้น มีการออกแบบตามเจตนาเดิมให้ใช้กับกรณีอย่างการปลอมแปลงข้อมูลบัตรเอทีเอ็ม หากมีใครปลอมแปลงบัตรแล้วนำไปกดเงิน ข้อมูลที่เข้าสู่ตู้เอทีเอ็มซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์นั้นถือว่าเป็นเท็จ ดังนั้นจึงผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ทว่าการนำมาใช้ในปัจจุบันนั้นกลับผิดต่อเจตนาเดิมของตัวบทกฏหมาย

     
        เขาเผยถึงหลายกรณีที่มีการให้พ.ร.บ.ดังกล่าวในทางที่ผิด นักต่อสู้ด้านสิทธิผู้ป่วยคนหนึ่งถูกกลุ่มแพทย์ฟ้อง จากที่การทำแคมเปญรณรงค์ว่า ปีหนึ่งมีผู้เสียหายจากความผิดพลาดในการรักษาพยาบาลเท่าไหร่ ซึ่งข้อมูลยังไม่มี แต่การรณรงค์นั้นได้นำตัวเลขจากอเมริกาแล้วเปรียบเทียบว่า หากคุณภาพการรักษาพยาบาลของประเทศไทยเท่ากับอเมริกา ประเทศไทยจะมีผู้เสียหายจากกรณีเหล่านี้เท่าไหร่ ซึ่งกลายเป็นช่องให้กลุ่มแพทย์ให้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ในการฟ้องร้อง

     
        “ตัวแทนสหภาพแรงงานก็มีกรณีที่ถูกบริษัทแห่งหนึ่งฟ้องด้วยมาตรา 14 ของพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แม้ว่าบริษัทจะมีการเจรจายอมความแล้ว แต่ตามพ.ร.บ.มันเป็นคดีอาญาเลยไม่สามารถยอมความได้”

     
        เมื่อเทียบกับกฎหมายหมิ่นประมาททั่วไป หมิ่นผ่านสื่อจะเห็นว่ามีโทษไม่เกิน 2 ปี ยอมความได้ด้วย ทำให้เห็นว่าไม่ยุติธรรม

     
       
“จนถึงตอนนี้ มันก็ผ่านมา 6 ปีแล้วนับจากที่เริ่มใช้กฎหมายนี้
ทางสำนักงานพัฒนาธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) ที่เป็นคนออกแบบกฎหมายนี้ก็เห็นว่า มันถูกนำไปใช้ผิดเจตนา ตอนนี้ก็มีการดำเนินการยกร่าง ทำประชาพิจารณ์สำรวจความคิดเห็นประชาชนกันเพื่อแก้ไขกฎหมายนี้”
     
        บอกได้ว่า หลายภาคส่วนเริ่มมีนโยบายที่เห็นว่า กฎหมายดังกล่าวนั้นมีปัญหา และก่อให้เกิดความอยุติธรรมขึ้น

       แม้แต่ภาครัฐเองก็ยังขานรับ เขาจึงเห็นว่า หากเป็นภาครัฐเหมือนกันก็ควรจะคุยกันบ้างว่านโยบายควรดำเนินไปในทางใดกับกฎหมายที่ปัญหาอยู่นี้
     
       
ส่วนของการแก้กฎหมายนั้น เขาเห็นว่า โลกอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันที่ขยายตัวไป ทำให้ข้อมูลหลายอย่างเดินทางเร็วขึ้น ผู้อ่านก็สามารถแสดงความคิดเห็นได้มากขึ้น การออกฎหมายจึงควรคำนึงถึงความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ด้วย
     
        “พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับที่ใช้อยู่มันคำนึงถึงเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปอย่างเดียว แต่ไม่ได้คำนึงถึงพฤติกรรมของผู้คน การแสดงออกของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย ในต่างประเทศอย่างอังกฤษมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายให้สื่อสามารถทำให้คนไม่พอใจได้ หากเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ เพื่อสาธารณะต้องมาก่อน

     
       
“กับสังคมไทยมันมีความคาดหวังมากขึ้น เราเรียกร้องกันว่า นักการเมืองต้องไม่คอร์รัปชัน กระบวนการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นศาล หรือนักการเมือง มันต้องโปร่งใส แต่มันจะโปร่งใสได้ไงละ เมื่อประชาชนจะลุกขึ้นมาตรวจสอบ แล้วก็ฟ้องกันหมด มันไปกันไม่ได้ไง ผมคิดว่ากฎหมายมันต้องเอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงไปของสังคมตรงนี้ด้วย”


        การตัดต่อ - ล้อเลียน - วิพากษ์วิจารณ์กับบุคคลสาธารณะ และยิ่งกับคนทำงานเพื่อสาธารณะประโยชน์อย่างนักการเมือง การตรวจสอบถือเป็นความดีงามหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย หากทว่ามาถึงตอนนี้ดูเหมือนนับวันความดีงามที่เป็นเสมือนแสงไฟอันริบหรี่กำลังจะถูกดับลงทุกที มีเพียงประชาชนเท่านั้นที่จะลุกขึ้นปกป้องสิ่งที่ทุกคนควรได้รับ

ที่มา  ASTV ผุ้จัดการ LIVE
[Continue reading...]
 
Copyright © . Yak Ratchaprasong - Posts · Comments
Theme Template by BTDesigner · Powered by Blogger