Tuesday, July 30, 2013

สื่อนอกประมวลภาพ น้ำมันดิบทะลักท่วมอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด (ชมภาพชุด)

- 0 comments
มวลภาพ อยู่ด้านล่าง

เมื่อ 30 ก.ค. สำนักข่าวเอเอฟพี ประเทศฝรั่งเศส เผยแพร่ภาพขณะเจ้าหน้าที่ไทยระดมกำลังเก็บกวาดคราบน้ำมันจาก กรณีเหตุน้ำมันดิบ 5 หมื่นลิตรของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด รั่วกลางทะเล จ.ระยอง ห่างจากชายฝั่งมาบตาพุต 20 กม. ตั้งแต่วันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมา ก่อนถูกกระแสลมพัดคราบน้ำมันเข้าสู่อ่าวพร้าว เกาะเสม็ด เมื่อคืนวันที่ 28 ก.ค. ที่ผ่านมา  
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานความคืบหน้าล่าสุด โดยนายวิเชียร จุ่งรุ่งเรือง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวว่า ขณะนี้สภาพของอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด เหมือนกับทะเลโคลนทั้งหาด หลายฝ่ายช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาดเต็มที่ ทั้งการสูบ การดูด และซับน้ำมันออก ทั้งจากน้ำทะเล ชายหาด พื้นทรายและก้อนหิน ออกมาให้เร็วที่สุด

 โดยพื้นทรายที่บริเวณอ่าวพร้าวเป็นทรายแน่น ถูกน้ำมันเคลือบลงในพื้นทรายประมาณ 1 ซม. แต่หากมีคลื่นซัดน้ำทะเลที่ยังปนเปื้อนน้ำมันเข้ามา โอกาสที่ทรายจะถูกปนเปื้อนเพิ่มขึ้นก็มีอีก ดังนั้น ที่ต้องทำคือจัดการกับน้ำมันในน้ำให้หมดก่อน จึงค่อยจัดการกับทราย และก้อนหินที่เปื้อนคราบน้ำมัน โดยนายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รมว.ทส. กำชับให้เร่งจัดการขจัดคราบน้ำมันภายใน 15 วัน

"สำหรับทรัพยากรใต้ทะเลที่จะต้องเสียหาย ได้คุยกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เรื่องการลงไปสำรวจ ขณะนี้ยังทำไม่ได้ เพราะคลื่นแรงสูงถึง 3 ม. อีกทั้งคราบน้ำมันก็ยังหนาอยู่ ต้องรอให้สถานการณ์ดีกว่านี้ก่อนถึงลงไปสำรวจได้

 ส่วนการเรียกร้องค่าเสียหายนั้น เบื้องต้นกรมเจ้าท่าจะเป็นเจ้าภาพฟ้องร้อง ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะไปสำรวจความเสียหาย รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เช่น ค่ารถ ค่าน้ำมัน ค่าอาหาร เบี้ยเลี้ยง ส่วนภาคเอกชน และชาวบ้านที่ได้รับความเสียหายก็ต้องรวบรวมข้อมูลให้กรมเจ้าท่า เพื่อดำเนินการฟ้องร้องต่อไป"นายวิเชียร กล่าว

อธิบดีคพ. กล่าวอีกว่า น้ำมันดิบก็เหมือนน้ำมันทั่วไป ซึ่งมีสารอินทรีย์ระเหยง่าย เช่น ไฮโดรคาร์บอน ที่เป็นสารก่อมะเร็ง เราจึงเป็นห่วงสุขภาพของเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปฟื้นฟูอ่าวพร้าว ซึ่งขณะนี้มีกลิ่นเหม็นมาก โดยพรุ่งนี้ (31 ก.ค.) คพ.จะนำเครื่องมือตรวจสอบว่าเกินมาตรฐานหรือไม่ และสามารถปฏิบัติงานได้กี่ชั่วโมงจึงจะไม่กระทบต่อสุขภาพ และเจ้าหน้าที่ต้องไม่สัมผัสกับน้ำมันโดยตรง นอกจากนี้ คพ.ได้ให้คำแนะนำทางวิชาการเกี่ยวกับน้ำมันที่สูบขึ้นมา ว่าต้องกำจัดอย่างไรจึงจะถูกวิธี และไม่ให้ไปปนเปื้อนกับสิ่งแวดล้อมอย่างอื่นด้วย

สธ.เฝ้าระวังผลกระทบสุขภาพ แนะเลี่ยงสัมผัส 
นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า กรณีปัญหาการรั่วไหลของน้ำมันดิบลงในทะเล จ.ระยอง กระทรวงสาธารณสุขได้เฝ้าระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นตามมาโดยเฉพาะผลกระทบทางสุขภาพประชาชนจากการสูดกลิ่นหรือสัมผัสกับสารโดยตรงรวมทั้งเฝ้าระวังการปนเปื้อนในอาหาร โดยเฉพาะอาหารทะเลในบริเวณนั้นๆ 

 จากการวิเคราะห์ข้อมูลรายงานหลังเกิดเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลในทะเลของประเทศต่างๆ ที่ผ่านมา มีการตรวจพบสารพาห์( Polyacyclic aromatic hydrocarbon: PAH ) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ปนเปื้อนในอาหารทะเลสูงกว่าค่าพื้นฐานที่เคยตรวจพบ แสดงถึงการปนเปื้อนเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร และยังตรวจพบโลหะหนัก เช่น สังกะสี แมงกานีส สารหนู ตกค้างในตะกอน สัตว์ทะเล ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพผู้บริโภคได้ ดังนั้น หากเก็บกู้ได้เร็วและดำเนินการถูกวิธีก็จะลดผลกระทบดังกล่าวได้
นพ.ประดิษฐกล่าวต่อไปว่า ในระยะเร่งด่วนนี้ กระทรวงสาธารณสุขสั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง สำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม ร่วมประเมินผลกระทบและวางแผนการดำเนินงานในการเฝ้าระวังสุขภาพประชาชนในพื้นที่ทั้งระยะเร่งด่วนและในระยะยาวในระยะเร่งด่วนนี้ได้จัดจุดตั้งรับที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพสต.)เกาะเสม็ด ในเบื้องต้นได้รับรายงานมีผู้ป่วยเป็นชาวบ้านอ่าวพร้าวมารับบริการ 4 ราย มีอาการคลื่นไส้ เวียนศีรษะ  

 ทั้งนี้ หากประเมินแล้วพบมีผลกระทบวงกว้าง อาจพิจารณาจัดเป็นหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกให้บริการประชาชนให้ทั่วถึง และสั่งการให้ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์จังหวัดชลบุรี เฝ้าระวังการปนเปื้อนอาหารทะเล เช่น ปลา ปู หอย โดยเก็บตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเพื่อดูการปนเปื้อนสารโลหะหนัก เช่น สารหนู ตะกั่ว รวมทั้งตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำทะเลอย่างต่อเนื่อง

 นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดผลกระทบต่อสุขภาพ และมีโอกาสสัมผัสกับสารปนเปื้อน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มเจ้าหน้าที่ผู้กู้ภัย กู้สถานการณ์ ที่อาจสัมผัสกับสารปนเปื้อนโดยตรงทั้งทางการหายใจและทางผิวหนัง    

 2.กลุ่มประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่เกิดการปนเปื้อน และ 3.กลุ่มประชาชนผู้บริโภคทั่วไป จะมีความเสี่ยงในเรื่องของการบริโภคอาหารปนเปื้อน จึงขอแนะนำให้ผู้ทำหน้าที่กู้ภัย ควรป้องกันตนเอง สวมอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล ได้แก่ หน้ากากอนามัยป้องกันการสูดกลิ่นเข้าสู่ระบบหายใจ สวมชุดป้องกันที่เหมาะสม เพื่อลดการรับสัมผัสกับสารเคมี ในกลุ่มผู้ที่อาศัยในบริเวณที่เกิดการปนเปื้อน ขอให้หลีกเลี่ยงเข้าไปในบริเวณที่ปนเปื้อน หากมีคราบเปื้อนที่ผิวหนัง ควรล้างทำความสะอาด รวมถึงให้ดูแลสัตว์เลี้ยงไม่ให้เข้าใกล้บริเวณที่ปนเปื้อนน้ำมันด้วย

 นพ.พรเทพศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สำหรับกลุ่มประชาชนที่ต้องระมัดระวังเป็นกรณีพิเศษ มี 4 กลุ่มได้แก่ หญิงตั้งครรภ์ กลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคหอบหืด โรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง  เนื่องจากจะได้รับผลกระทบได้ง่ายและเร็วกว่ากลุ่มอื่น ขอให้หลีกเลี่ยงการเข้าไปในพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณชายหาดที่มีคราบน้ำมัน ควรอยู่ห่างประมาณ 500 เมตร และอยู่เหนือลม ในเบื้องต้นนี้กรมควบคุมโรคจัดส่งหน้ากากอนามัยจำนวน 20,000 ชิ้น แจกประชาชนในพื้นที่ เช่น ที่เกาะเสม็ด เป็นต้น

 นพ.พรเทพ กล่าวต่อว่า ผลกระทบของน้ำมันดิบที่รั่วไหลจะมีผลทั้งต่อระบบทางเดินหายใจ ระบบประสาท ระบบผิวหนัง หากประชาชนมีอาการผิดปกติ ได้แก่ หายใจขัด แน่นหน้าอก หายใจหอบ วิงเวียนศีรษะ ระคายเคืองตา แสบตา คลื่นไส้อาเจียน ขอให้รีบพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านตได้ลอด 24 ชั่วโมง สำหรับการเฝ้าระวังผลกระทบทางสุขภาพครั้งนี้ จะสำรวจสุขภาพประชาชนในพื้นที่ เช่นที่เกาะเสม็ด เพื่อติดตามผลอย่างต่อเนื่อง

ที่มา :ข่าวสด














      
                
[Continue reading...]

ครบ 2 ปี กับคดี "แมวเก้าชีวิต พจมาน-บรรณพจน์ เลี่ยงภาษีโอนหุ้น "ชินคอร์ป" 738 ล้าน ว่าเป็นการกระทำความผิดที่ร้ายแรง

- 0 comments
คดีอันโด่งดังนี้ ต้องย้อนกลับไป เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2554  ที่ห้องพิจารณา 704 ศาลอาญารัชดา เมื่อศาลได้ออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.1149/2550 ซึ่งนับเป็นคดีประวัติศาสตร์อีกคดีของไทย เนื่องจากผู้ที่ตกเป็นผู้ต้องหา เคยมีฐานะเป็นถึง อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี  ซึ่งคดีดังกล่าว อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ อดีตประธานกรรมการบริหาร บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ชินคอร์ป พี่บุญธรรม คุณหญิงพจมาน ชินวัตร (นามสกุลในขณะนั้น) อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี, คุณหญิงพจมาน ชินวัตร และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐาน ร่วมกันจงใจหลีกเลี่ยงการชำระภาษีอากรหุ้น บริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด จำนวน 546 ล้านบาท จากหุ้นจำนวน 4.5 ล้านหุ้น ซึ่งมีหุ้นมูลค่า 738 ล้านบาท

ซึ่งผลก็อย่างที่สาธารณชนทราบกันแล้ว ศาลอุทธรณ์ตัดสิน อ่านคำพิพากษา แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์​ ในฐานะจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (2) ให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปี โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา 1 ปี แต่เพื่อให้จำเลยที่ 1 หลาบจำ จึงเห็นควรให้ลงโทษปรับด้วย โดยปรับเป็นเงิน 1 แสนบาท ส่วน คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร (อดีตนามสกุลชินวัตร) ในฐานะจำเลยที่ 2 และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน ในฐานะจำเลยที่ 3 ศาลพิพากษาให้ยกฟ้อง

โดยคดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุก จำเลยที่ 1-2 ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (1) (2) และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 และ 91 คนละ 3 ปี และให้จำคุกจำเลยที่ 3 เป็นเวลา 2 ปี
แต่ใครจะทราบหรือไม่ว่า กว่าที่กลุ่มคนที่ตกเป็นผู้ต้องหา (โดยเฉพาะคุณหญิงพจมาน) กว่าจะหลุดจากโซ่ตรวน ดังกล่าวได้ ต้องใจหายใจคว่ำ ชนิดหายใจไม่ทั่วท้อง มาอย่างไรบ้าง เราลองมาย้อนดูพฤติการณ์แห่งคดีของจำเลยในคดีนี้กัน เรื่อง มีอยู่ว่า เมื่อวันที่ 7 พ.ย.2540 คุณหญิงพจมาน ได้โอนหุ้นบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ฯ ที่ น.ส.ดวงตา วงศ์ภักดี คนรับใช้ตระกูลชินวัตร ถือแทนคุณหญิงพจมาน ให้นายบรรณพจน์ จำนวน 4.5 ล้านหุ้น โดยทำทีว่า นายบรรณพจน์ซื้อหุ้นดังกล่าว จาก น.ส.ดวงตา ในราคาหุ้นละ 164 บาท มูลค่า 738 ล้านบาท และแสร้งว่า เป็นการซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งไม่ต้องเสียภาษี เพียงเสียค่าธรรมเนียมแก่นายหน้า (โบรกเกอร์) เท่านั้น

โดยคุณหญิงพจมาน เป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าวไปเป็นเงินแค่ 7.38 ล้านบาท (ซึ่งหากนายบรรณพจน์ยอมเสียภาษีจากการได้รับหุ้นดังกล่าว จะต้องเสียเป็นจำนวนถึง 273 ล้านบาท) เมื่อมีการตรวจสอบพบว่า การซื้อขายหุ้นดังกล่าว ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะผู้ที่จ่ายเงินค่าหุ้น แทนที่จะเป็นนายบรรณพจน์ กลับเป็นคุณหญิงพจมาน ที่ทำทีสั่งจ่ายเช็คกว่า 700 ล้าน ให้ น.ส.ดวงตา แต่สุดท้าย ก็โอนเงินดังกล่าวกลับมาเข้าบัญชีตัวเอง (คุณหญิงพจมาน) ตามเดิม

พอเรื่องปรากฏเป็นข่าวขึ้นมา นายบรรณพจน์ก็อ้างว่า การโอนหุ้นนั้น เป็นการให้ในลักษณะอุปการะ ให้โดยเสน่หาตามขนบธรรมเนียมประเพณี ในโอกาสที่นายบรรณพจน์แต่งงาน และมีบุตร แต่ก็มีข้อสงสัยคำอ้างนั้น เพราะช่วงเวลา ที่ไม่สอดคล้องกับคำอ้าง คือ นายบรรณพจน์แต่งงานเมื่อวันที่ 12 ม.ค.2539 และมีบุตรเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2539 แต่คุณหญิงพจมานโอนหุ้นให้นายบรรณพจน์ เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2540 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากนายบรรณพจน์แต่งงานแล้วเกือบ 2 ปี และหลังจากนายบรรณพจน์มีบุตรแล้วประมาณ 1 ปี
ต่อมานายบรรณพจน์และคุณหญิงพจมานก็อ้างอีกว่า การโอนหุ้นดังกล่าว มีขึ้นในโอกาสที่นายบรรณพจน์มีบุตรอายุครบ 1 ปี โดย นายบรรณพจน์ กล่าวว่า ตนเป็นพี่ชายบุญธรรมของคุณหญิงพจมาน และช่วยเหลือกิจการของคุณหญิงพจมาน จนมีความเจริญก้าวหน้า กระทั่งปี 2538 คุณหญิงพจมาน สนับสนุนให้ตนมีครอบครัว และบอกว่า จะมอบของขวัญให้แก่บุตรของตน ซึ่งมีอายุครบ 1 ปี ในปลายปี 2540 ด้วยการมอบหุ้นให้ 4.5 ล้านหุ้น

ตนจึงเข้าใจโดยสุจริตว่า เป็นการให้โดยเสน่หาตามธรรมเนียมประเพณี และธรรมจรรยาของสังคมไทย ขณะที่ คุณหญิงพจมาน ก็บอกว่า นายบรรณพจน์ เป็นบุตรบุญธรรมของบิดาตน ได้เข้ามาช่วยบริหารจัดการธุรกิจของครอบครัวตน จนมีความมั่นคงและมีทรัพย์สินจำนวนมาก เมื่อตนเห็นว่า นายบรรณพจน์ ควรมีครอบครัว จึงสนับสนุนให้แต่งงานกับ น.ส.บุษบา วันสุนิล เมื่อต้นปี 2539 และให้ปลูกสร้างเรือนหอในที่ดินของครอบครัวตน (ดามาพงศ์)

นอกจากนี้ ยังตั้งใจจะมอบหุ้นให้ในวันแต่งงาน เพื่อให้พี่น้องมีฐานะทัดเทียมกัน อย่างไรก็ตาม คุณหญิงพจมาน อ้างว่า ตอนนั้นให้หุ้นไม่ทัน เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เตรียมเข้าทำงานการเมือง จึงต้องจัดการเรื่องบริหารงานให้เสร็จก่อน กระทั่งบุตรชายนายบรรณพจน์ ซึ่งเกิดวันที่ 4 ธ.ค.2539 จะมีอายุครบ 1 ปี และการจัดการด้านบริหารงานของตนเสร็จสิ้นพอดี จึงยกหุ้นให้นายบรรณพจน์ 4.5 ล้านหุ้นในวันที่ 7 พ.ย.2540 เพื่อเป็นของขวัญ

แต่ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และอัยการ กลับเห็นว่า การกระทำของคุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์ ที่ให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จดังกล่าว เป็นเพียง “ข้ออ้าง” เพื่อให้เจ้าหน้าที่สรรพากรเชื่อว่า การโอนหุ้นดังกล่าวเป็นการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา หรือ การให้โดยเสน่หา เนื่องในโอกาสตามขนบธรรมเนียมประเพณี เพื่อจะได้รับการยกเว้นภาษี การกระทำของนายบรรณพจน์และคุณหญิงพจมาน จึงเป็นการกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีโดยแจ้งข้อความเท็จ หรือให้ถ้อยคำเท็จหรือตอบคำถามด้วยข้อความอันเป็นเท็จ และมีลักษณะใช้อุบายหรือฉ้อโกง ถือว่า เข้าข่ายความผิดตามประมวลรัษฎากรมาตรา 37(1) และ (2) ประกอบมาตรา 83 และ 91 แห่งประมวลกฎหมายอาญา เป็นเหตุให้รัฐเสียหายต้องขาดรายได้เงินภาษีอากร และเบี้ยปรับกว่า 546 ล้านบาท (2 เท่าของยอดเงินที่ต้องเสียภาษี คือ 273 ล้าน)

อย่างไรก็ตาม แม้ศาลอาญา จะไม่ได้พิพากษาลงโทษคุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์แบบเต็มอัตรา โดยพิพากษาจำคุกคนละ 3 ปี แต่ต้องถือว่า เป็นโทษที่หนัก เพราะไม่รอลงอาญา เนื่องจากเห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสาม (คุณหญิงพจมาน-นายบรรณพจน์-นางกาญจนาภา) เป็นการกระทำผิดที่ร้ายแรง


“จำเลยทั้งสามเป็นผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะกระทำผิดฐานให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอากร จำเลยที่ 2 (คุณหญิงพจมาน) เป็นภริยาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับผู้บริหารประเทศ จำเลยทั้งสามจึงนอกจากมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตนเยี่ยงพลเมืองดีทั่วๆ ไปแล้ว ยังควรดำรงตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีสมฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมด้วยแต่จำเลยทั้งสามกลับร่วมกันกระทำการหลีกเลี่ยงภาษีอากร อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่เป็นธรรมต่อสังคมและระบบภาษี ทั้งๆ ที่จำนวนภาษีอากรที่จำเลยที่ 1 (บรรณพจน์) จะต้องชำระตามกฎหมาย และจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้ชำระแทนในที่สุดนั้น เทียบไม่ได้กับจำนวนทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2 และครอบครัวมีอยู่ในขณะนั้น การที่จำเลยที่ 1 จะชำระภาษีอากรไปตามกฎหมาย เช่น พลเมืองดีทุกคน จึงมิได้มีผลกระทบต่อฐานะของจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามจึงร้ายแรง”



จากวันนั้นจนมาถึงวันนี้  โดยเฉพาะวันที่ศาลอาญาพิพากษาให้ยกฟ้องคุณหญิงพจมาน และกาญจนาภา เลขานุการส่วนตัว (24 ส.ค. 2554) และสั่งลงโทษ นายบรรณพจน์ จำคุกเป็นเวลา 2 ปี โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา 1 ปี และปรับเป็นเงิน 1 แสนบาท ขณะที่กาลเวลา ล่วงเลยมาจนถึงวันนี้ ก็ครบรอบ 2 ปีเต็มแล้ว

"หากมีโอกาสได้กลับไปถาม บุคคลทั้ง 3 เชื่อว่า ทั้งหมดคงจะให้สัมภาษณ์ ไปในทิศทางเดียวกันว่า จะไม่มีวันลืมเลือน ความรู้สึกในจิตใจในขณะนั้น ภายหลังทราบคำพิพากษาว่า ศาลตัดสินยกฟ้อง หรือ รอลงอาญา เป็นแน่ว่า รู้สึกมีความสุขกาย สุขใจ มากเพียงใด ความรู้สึกคงช่างแตกต่าง จากคำตัดสินก่อนหน้า ที่ศาลเห็นว่า ทั้งหมดมีความผิดจริง และให้จำคุกจำเลย เป็นเวลาคนละ 3 ปี และ 2 ปี แบบไม่รอลงอาญาในตอนแรกแน่ ชนิดแบบที่ชาวบ้านทั่วไปชอบพูดกันว่า "ต่างกันราวฟ้ากับเหว" เลยทีเดียว"

ที่มา: ไทยรัฐ
[Continue reading...]

ปอท.ยัน คลิปขู่ฆ่า"ทักษิณ" ไม่ใช่ของจริง "รับ" เข้าข่ายภัยคุกคามก่อการร้าย

- 0 comments
ปอท.ยัน คลิปขู่ฆ่า"ทักษิณ" ไม่ใช่ของจริง เชื่อทำเป็นขบวนการ หวังผลการเมือง รับเข้าข่ายภัยคุกคามก่อการร้าย จ่อขยายผลหาผู้ทำคลิป พร้อม ดำเนินคดีเด็ดขาด
 
วันที่ 30 ก.ค. พล.ต.ต.พิสิษฐ์  เปาอินทร์  ผู้บังคับการตำรวจปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท. เปิดเผยกับทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์  ถึงความคืบหน้าการตรวจสอบคลิปวิดีโอ ชายชาวอาหรับ ที่อ้างตัวเป็น กลุ่มอัลกออิดะห์ ขู่ สังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า เบื้องต้น ปอท. ได้สรุปผลการตรวจวิเคราะห์คลิปดังกล่าวแล้ว   เชื่อว่าคลิปดังกล่าว เป็นการสร้างขึ้นมา และบุคคลในคลิปไม่ใช่กลุ่มอัลกออิดะห์ตัวจริง ซึ่งได้มีการรายงานไปยัง พล.ต.อ.อดุลย์  แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้รับทราบแล้ว
 
ขณะที่ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้สืบสวนขยายผล หากลุ่มที่ทำคลิปดังกล่าวขึ้นมาว่า เป็นกลุ่มบุคคลใด และมีวัตถุประสงค์ใดในการจัดทำคลิป  แต่จากการตรวจสอบ เชื่อได้ว่ามีการกระทำกันเป็นขบวนการ โดยสอดรับกันทั้งในและนอกประเทศ  และมีวัตถุประสงค์ เพื่อหวังผลทางการเมือง  ซึ่ง ปอท. ยืนยันว่า จะเร่งสืบสวนขยายผลเพื่อดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด กับผู้ที่ทำคลิป เนื่องจากถือเป็นการกระทำที่เข้าข่ายภัยคุกคามด้านการก่อการร้าย ที่ทั่วโลกยอมรับไม่ได้
 
“การตรวจสอบคลิปนี้ เจ้าหน้าที่ได้วิเคราะห์ดูจากหลายๆ อย่าง ทำให้เชื่อได้ว่า เป็นคลิปที่สร้างขึ้นมา เพื่อหวังผลทางการเมือง  หลังจากนี้ จะเร่งทำการสืบสวนขยายผลและจะดำเนินการถึงที่สุดกับผู้ที่ทำคลิปขึ้นมา  ยืนยันไม่ได้ทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง  ไม่ว่าเป้าหมายของกลุ่มดังกล่าว จะมุ่งไปที่ อดีตนายกรัฐมนตรีหรือบุคคลใดก็ตาม แต่คดีนี้ถือว่า เป็นความผิดที่เข้าข่ายภัยคุกคามด้านการก่อการร้าย ที่ทั่วโลกไม่มีใครยอมรับได้ “พล.ต.ท.พิศิษฐ์ กล่าว.

ที่มา :ไทยรัฐ
[Continue reading...]

"ชูวิทย์" ช่วยกำจัดคราบน้ำมันที่ จ.ระยอง พร้อมบอกว่า "ลงมือทำ ดีกว่าเก่งแต่พูด"

- 0 comments
"ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์" ลงอ่าวพร้าว ช่วยกำจัดคราบน้ำมันรั่ว ร้อง ปตท. เร่งแก้ปัญหา เตรียมนำถกเปิดประชุมสภาด้วย
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย นำทีมงานเดินทางมายังอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด จ.ระยอง เพื่อช่วยกันสกัดคราบน้ำมัน ที่เอ่อล้นชายหาดอ่าวพร้าว พร้อมกันนี้ นายชูวิทย์ ได้กล่าวเรียกร้องให้ ปตท. เร่งดำเนินการแก้ไขเรื่องปัญหาคราบน้ำมันให้แล้วเสร็จ และเชิญชวนทุกคนมาช่วยกัน สกัดคราบน้ำมัน
ทั้งนี้ นายชูวิทย์ กล่าวว่า ปัญหาเรื่องน้ำมันรั่วไหลจากท่อส่งน้ำมันของ ปตท. ครั้งนี้ ตนจะนำเข้าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในสมัยเปิดประชุมสภา ในวันที่ 1 ส.ค.นี้ ด้วย ส่วนที่บริเวณชายหาดอ่าวพร้าว ขณะนี้ มีการลำเลียงสุขาเคลื่อนที่เข้าไปในจุดที่มีการปฏิบัติงานของอาสาสมัคร ไว้คอยบริการสำหรับผู้ที่ไปช่วยกันสกัดน้ำมันเพิ่มเติมด้วย
อย่างไรก็ตาม ในวันพรุ่งนี้ จะมีการเพิ่มกำลังสนับสนุน ของทหารจากกองทัพเรือ จาก 200 นาย เป็น 300 นาย เพื่อช่วยกันสกัดคราบน้ำมันให้เสร็จโดยเร็ว

ที่มา: INN
[Continue reading...]

สังคมไทย ไม่เห็นโลงศพ "ไม่หลั่งน้ำตา" ให้บ้านเมือง "พินาศ" ก่อนจึงจะกอบกู้

- 0 comments
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ยังไม่ประกาศใช้ "พ.ร.บ.ความมั่นคง" เพื่อนำมาดูแลสถานการณ์การเมืองช่วงเปิดประชุมสภาตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม เหมือนที่หลายฝ่ายจับตา

 อาจเป็นเพราะการนำร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับนายวรชัย เหมะ ส.ส. พรรคเพื่อไทย และคณะ จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาในวันที่ 7-8 สิงหาคม ทำให้ "ฝ่ายความมั่นคง" พอมีเวลาประเมินสถานการณ์ทางการเมืองก่อนตัดสินใจเสนอให้รัฐบาลนำ "พ.ร.บ.ความมั่นคง" มาใช้ได้หากประเมินว่าการชุมนุมทางการเมืองจากกลุ่มต่างๆ ในวันที่ 4 สิงหาคม อาจเกิดความวุ่นวาย

 แต่สำหรับมุมมองของ "ผศ.ดร.ณกมล ปุญชเขตต์ทิกุล" นักยุทธศาสตร์อาเซียนศึกษา มองว่า การชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 4 สิงหาคมนี้ไม่น่าจะรุนแรง โดยดูจากการจัดวางระบบการป้องกันการเตรียมพร้อมของรัฐบาล และฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาล

เริ่มจากการเคลื่อนไหวของ "ภาคประชาชน" หรือ "กลุ่มคนเสื้อแดง" ในนาม "กลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาชน" (กวป.) ที่มาชุมนุมที่หน้ารัฐสภา โดยอ้างว่ามาเพื่อสนับสนุนให้รัฐสภาทำงานได้ และป้องกันไม่ให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือกลุ่มอื่นๆ ที่คัดค้านการทำงานมาขัดขวาง ซึ่งก่อนหน้านี้ กวป.ได้ปักหลักชุมนุมอยู่ที่บริเวณศาลรัฐธรรมนูญ ถนนแจ้งวัฒนะ

ยังไม่รวมถึงการนัดหารือของ "กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ" (นปช.) จากทั่วประเทศ ในวันที่ 3 สิงหาคม ที่วิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง เพื่อประเมินสถานการณ์การเมืองและกำหนดทิศทางการทำกิจกรรมอีกครั้ง

โดย "จตุพร พรหมพันธุ์" แกนนำ นปช. ใช้คำว่า "ในสถานการณ์บ้านเมืองเช่นนี้ เรามีความจำเป็นต้องต่อสู้กันเป็นทีม"

ขณะที่ "ภาครัฐบาล" ก็เตรียมการรับมือกับการชุมนุมของกลุ่มการเมืองต่างๆ ในวันที่ 4 สิงหาคมนี้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะ "กระทรวงมหาดไทย" ระหว่างการประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ที่ผ่านมา "จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ" รมว.มหาดไทย ได้กำชับผู้ว่าราชการจังหวัดให้จับตาดูผู้ชุมนุม พร้อมกับให้รายงานสถานการณ์ในพื้นที่ตลอด

"อย่าทำเป็นธุระไม่ใช่ ไม่ได้ ถ้ารั่วมาทางไหนทางนั้นก็ต้องรับผิดชอบ" คือเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากการประชุมในครั้งนั้น

หรือการซักซ้อมกำลังและแผนการรับมือการชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล โดยใช้แก๊สน้ำตาของจริง รวมถึงจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 กองร้อย หรือ 600 นาย ร่วมกับตำรวจรัฐสภาอีก 100 นาย รวมเป็น 700 นาย มาดูแลบริเวณรอบๆ รัฐสภา

              การเตรียมพร้อมรับมือของฝ่ายรัฐบาลและผู้สนับสนุนรัฐบาลในครั้งนี้ถือเป็นการ "ทำงานเป็นทีม" ทำงานการเมืองคู่ขนานทั้งในสภาและนอกสภา

 "ผศ.ดร.ณกมล" เสนอมุมมองต่อสถานการณ์การเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้นในครั้งนี้ว่า การเผชิญหน้าในครั้งนี้ถือว่ารัฐบาลเตรียมความพร้อมรับมือค่อนข้างดี เป็นระบบดูจากการบริหารจัดการของมวลชนคนเสื้อแดงนับจากปี 2549 ถึงปัจจุบัน กว่า 8 ปี มีการบริหารจัดการเป็นระบบมีคนรับผิดชอบชัดเจน

"คนเสื้อแดงมีคนรับผิดชอบชัดเจน การเชื่อมโยง การจัดตั้ง หรือการเรียกรวมพล ทำเป็นระบบ มีเงินหมุนเวียนเพียงพอ เมื่อเทียบกับ ม็อบต่อต้านรัฐบาล เช่น หน้ากากขาว การบริหารจัดการไม่รู้ว่าใครเป็นแกนนำ การชุมนุมโดยไม่รู้ว่าใครนำ เกิดยาก เพราะเมื่อเกิดปัญหา จะหาคนมารับผิดชอบไม่ได้ การชุมนุมในเชิงสัญลักษณ์ทำได้ แต่การชุมนุมระยะยาวทำยาก เพราะไม่มีทุนที่ชัดเจน ทำให้การชุมนุมไม่มีพลัง"
"นักยุทธศาสตร์อาเซียนศึกษา" ท่านนี้ ยังเชื่ออีกว่า การชุมนุมทางการเมืองในครั้งนี้จะไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงเหมือนในอดีต โดยมองว่าสังคมไทยในปัจจุบันกังวล และสนใจเฉพาะเรื่องปัญหาปากท้องของตัวเองมากกว่าปัญหาสังคม และที่ไม่ไปร่วมชุมนุม เพราะอยากให้ปัญหาที่เกิดขึ้นจบโดยเร็ว ซึ่งคนประเภทนี้ในสังคมมีอยู่ถึง 60% กลุ่มคนที่รักฝังใจแค้นฝังหุ่นมีอยู่ 15% ส่วนอีก 25% ไม่เชื่อฝ่ายไหนเป็นตัวของตัวเอง จึงถือว่าสัดส่วน 60% ที่อยากให้การเมืองแบบไทยจบโดยเร็วมีจำนวนที่มาก

การที่ "ผศ.ดร.ณกมล" มองว่า การชุมนุมครั้งนี้ไม่รุนแรง เพราะภาคประชาชนที่ต่อต้านรัฐบาลครั้งนี้อ่อนล้า บางกลุ่มถอนตัวทำให้การชุมนุมไม่มีพลัง ประกอบกับกระแสสังคมต้องการทำมาหากินเรื่องปากท้องมากกว่า แม้แต่ภาคธุรกิจเองก็ไม่อยากให้เกิดปัญหาการเมืองมาซ้ำเติมเศรษฐกิจที่เริ่มจะถดถอย จึงไม่มีใครกล้าออกตัวมาสนับสนุนกลุ่มต่อต้านรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม "นักยุทธศาสตร์อาเซียนศึกษา" ยอมรับว่า การบริหารงานของรัฐบาลมีปัญหาหลายจุด แต่การโจมตีจากหลายฝ่ายไม่มีพลังมากพอ เช่น กรณีโครงการรับจำนำข้าว การนำเสนอของฝ่ายค้านที่สื่อสารต่อประชาชนทำได้ไม่ดีพอ ไม่มีความเฉียบคม ขณะที่รัฐบาลมีการบล็อกข้อมูลไว้หมด ทั้งส่วนราชการหรือส่วนการเมืองห้ามแตกแถว ใครแตกแถวจะมีบทลงโทษทางการเมือง หรือทำดีจะมีรางวัลมอบให้ ขณะที่สังคมก็ยังมองว่าปัญหาคอร์รัปชั่นที่รัฐบาลถูกโจมตีก็ยังเห็นไม่ชัดเจน ฝ่ายที่ทำหน้าที่ตรวจสอบก็ถูกตรวจสอบกลับ

สถานการณ์การเมืองไทยในขณะนี้ "ผศ.ดร.ณกมล" ให้บทสรุปว่า สังคมไทยเข้าสู่โหมดคลื่นต่ำ ต้องการความสงบ ภาพการชุมนุมในอดีตยังหลอนจนกลัวจะกระทบต่อค่าครองชีพ ทำให้การมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนทางสังคมน้อยลง พลังคนต่อต้านรัฐบาลจึงลดลง คิดว่าคนไทยในปัจจุบัน เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า "ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา" บ้านเมืองต้องพินาศจึงค่อยมาช่วยกันกอบกู้

..................
(หมายเหตุ : สังคมไทย'ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา' : ขยายปมร้อน โดยสมถวิล เทพสวัสดิ์) ข่าวสด
[Continue reading...]

กลัวอะไรกับ 7 สิงหา...เพราะคนค้าน ก็ยังค้านอยู่ดี

- 0 comments
กลัวอะไรสิงหาถูก แล้วที่พรรคเพื่อไทยและวิปรัฐบาลตัดสินใจส่งร่างกฎหมายนิรโทษกรรมเข้าสู่การ พิจารณาของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นวาระแรกของการประชุมสภาในสมัยนี้ใน วันที่ 7 สิงหาคม

โดยไม่สนใจคำขู่ของสารพัดม็อบ-รวมทั้งผู้ประกาศตัว ว่าจะเป็นหัวหน้าม็อบอย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่จะคอยเป่านกหวีดปรี๊ดๆ เรียกคนมาชุมนุมไม่ให้ส.ส.เข้าไปประชุมสภา

เพราะไม่ว่าจะเสนอร่างกฎหมายฉบับใดเข้ามาก่อน กลุ่มคนที่คิดเป็นอยู่อย่างเดียวว่าจะต้องล้มล้างรัฐบาลนี้ให้ได้

ก็ต้องจัดม็อบแช่แข็ง ม็อบหน้ากาก ม็อบนกหวีดอะไรออกมาอยู่ดี

แต่จัดออกมาแล้วจะ"เป็นเรื่อง"อย่างที่ตั้งใจเอาไว้หรือไม่ จะทำให้สิงหาคม-กันยายนร้อนระอุขึ้นมาจริงหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง

เพราะถ้าอยากให้เป็นเรื่องจำนวนผู้ชุมนุมต้องมากพอสมควรถึงขนาดที่"กดดัน"ฝ่ายตั้งรับอย่างรัฐบาล

จะให้คนเยอะขนาดนั้นได้ พรรคการเมืองบางพรรคต้องออกหน้าจัดการเรื่องระดมคนให้เป็นเรื่องเป็นราวหน่อย

ไหนๆ ก็ชวนชาวบ้านเป่านกหวีดแล้ว คอยดูกันหน่อยว่าจะเลิก"ยึดมั่นระบบรัฐสภา"ไปเลยหรือเปล่า

และถึงจะระดมกันมามืดฟ้ามัวดิน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เกิดเหตุปั่นป่วนวุ่นวาย เจ้าหน้าที่ตีม็อบ หรือม็อบชนม็อบขึ้นมาได้

ถ้ารัฐบาลนี้"ซื่อบื้อ"ถึงขนาดไม่เรียนรู้บทเรียนหมาดๆ จากอดีต ปล่อยให้มีการใช้กำลังปราบปรามชาวบ้านเกิดขึ้นได้อีก

อย่างนั้นก็ตัวใครตัวมัน

แต่กดดันกันมากๆ เข้า ถ้ารัฐบาลเขาไม่อยากมีเรื่อง เขาก็อาจจะยุบสภา

แล้วไปถามชาวบ้านชัดๆ เลยว่า หลังเลือกตั้งใหม่ใครจะอยู่ฝ่ายเดียวกับ

1.แก้รัฐธรรมนูญ 2.นิรโทษกรรม 3.จัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน 4.สร้างระบบขนส่งใหม่ 2 ล้านล้าน

และใคร-พรรคไหนจะค้านเรื่องนี้
 
    

ที่มา :ข่าวสด           
[Continue reading...]

ปชป.ทุ่มหมดหน้าตักหัก พท.นิรโทษแดง

- 0 comments
โดย...ธนพล บางยี่ขัน โพสทูเดย์

ประชาธิปัตย์ประกาศตัวชัดเจนตั้งแต่ยังไม่เปิดสภา เตรียมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับ วรชัย เหมะ สส.สมุทรปราการ ที่จ่อคิวรอเข้าสู่การพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 7 ส.ค. แบบเต็มรูปแบบ ชนิดไม่ต้องรักษาอาการ ไม่ต้องสงวนท่าที เหมือนครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา

เที่ยวนี้จึงถือเป็นการคัดค้านแบบทุ่มหมดหน้าตัก ไม่ให้ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบของสภาไปได้

สัญญาณชัดเจนเห็นได้จากถ้อยคำของเนื้อหาการปราศรัยบนเวทีผ่าความจริง “หยุดกฎหมายล้างผิดคิดล้มรัฐธรรมนูญ หยุดเงินกู้ผลาญชาติ หยุดอำนาจฉ้อฉล” ที่สวนเบญจสิริ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปอย่างดุเดือด

“ถึงวันนั้นถ้าล้มรัฐบาลก็ต้องล้มมัน เอาไว้ไม่ได้แล้ว เพราะไม่เห็นกับประชาชนและชาติบ้านเมือง วันนี้สู้ไปตามลำดับขั้นตอน ดูซิว่ายิ่งลักษณ์จะไปอยู่ดูไบหรือเราต้องขุดรูอยู่ ช่วยกันเป็นสมองช่วยกันคิดขั้นตอน ตอนนี้ถ้าอยากเป่านกหวีดก็ให้เป่าไปพลางๆ ก่อน ให้รอดูว่าหากวันที่ 7 ส.ค. สู้ในสภาแล้วแพ้ ก็ให้เป่านกหวีดยาวไม่เลิกแล้วเป่าไปทั้งเดือนเลย”

เนื้อหาบางช่วงบางตอนจากการปราศรัยที่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ประกาศคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ทั้งในและนอกสภา แสดงให้เห็นว่าเอาจริงเอาจังกว่าครั้งที่ผ่านๆ มา

ในช่วงระหว่างปิดสมัยประชุมสภา “ประชาธิปัตย์” พยายามปลุกกระแส ด้วยการเดินสายเปิดเวทีผ่าความจริงฯ ทั้งต่างจังหวัดและกรุงเทพฯ เพื่อแสดงจุดยืนคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับนี้ พร้อมพยายามชี้แจงให้เห็นสิ่งที่หมกเม็ดอยู่

พร้อมวางคิวเตรียมจัดเวทีต่อเนื่องในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนกฎหมายนี้จะเข้าสู่วาระการพิจารณาวันที่ 7 ส.ค. เริ่มตั้งแต่วันที่ 31 ก.ค. เวทีผ่าความจริงฯ ที่ลานสถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี และจัดอีกครั้งในวันที่ 3 ส.ค. ที่ตลาดปัฐวิกรณ์ เขตบึงกุ่ม ต่อเนื่องวันที่ 4 ส.ค. โรงเรียนมัธยมประชานิเวศน์ เขตจตุจักร วันที่ 5 ส.ค. เขตบางซื่อ วันที่ 6 ส.ค. ที่โรงยิมมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

คู่ขนานไปกับการปลุกกระแสในโซเชียลมีเดีย ทั้งโพสต์รูปกับป้าย ไม่เอากฎหมายล้างผิดคนโกงลงเฟซบุ๊กและนัดกันใส่ชุดดำประท้วง

สำหรับท่าทีของประชาธิปัตย์ เบื้องต้นดูจะไม่ต่างจากจุดยืนคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม หรือ พ.ร.บ.ปรองดอง ที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลว่าไม่ต้องการให้ใช้ประชาชนมาเป็นตัวประกัน เพื่อออกกฎหมายล้างผิดให้กับแกนนำเสื้อแดง หรือเคลียร์ทางให้คนแดนไกลได้กลับบ้าน ซึ่งจะทำให้ถนนการเมืองต่อจากนี้ของประชาธิปัตย์ตีบตันมากขึ้นกว่าที่เป็น

ทว่าสิ่งที่จำเป็นต้องคัดค้านเป็นพิเศษรอบนี้นั้น เป็นเพราะความตั้งใจของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับ วรชัย ตั้งใจจะออกมาอุดช่องโหว่เดิม ด้วยการประกาศยืนยันว่าจะนิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ ไม่เกี่ยวข้องกับแกนนำเสื้อแดง หรือผู้ที่อยู่เบื้องหลังผู้สั่งการ

แต่กระนั้น “ประชาธิปัตย์” ยังยืนยันว่าเป็นเพียงแค่การ “หมกเม็ด” เพราะเนื้อหาในมาตรา 3 ซึ่งระบุว่า การนิรโทษกรรม “ไม่รวมถึงการกระทำใดๆ ของบรรดาผู้ซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจ หรือสั่งการให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในห้วงระยะเวลาดังกล่าว” ล้วนแต่เป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์ว่าใครคือ “ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ” หรือ “สั่งการ” บ้าง

ดังนั้นประชาธิปัตย์ย่อมไม่อาจปล่อยให้ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ผ่านความเห็นชอบของสภา ท่ามกลางความคลุมเครือ ดังจะเห็นจากการยืนยันตามจุดยืนเดิม คือให้ถอนร่าง พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้อง 6 ฉบับออกจากการพิจารณาของสภา เพื่อตั้งโต๊ะหารือร่วมกันกับทุกฝ่ายว่าจะนิรโทษกรรมกลุ่มใดบ้าง เพื่อไม่ให้สุดท้ายกฎหมายนี้จะบานปลายกลายเป็นชนวนความรุนแรงของสังคมรอบใหม่

ฉะนั้น ด่านแรก ประชาธิปัตย์ย่อมต้องคัดค้านการหยิบยกกฎหมายนี้เข้ามาสู่การพิจารณาของสภา ซึ่งหากไม่สำเร็จ ก็ต้องใช้เวทีสภาชำแหละเนื้อหาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ถึงสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ใน 7 มาตราของร่าง พ.ร.บ.นี้ ที่ประเมินว่าจะดุเดือดกว่าการประชุมที่ผ่านๆ มา

โดยเฉพาะการชี้ให้เห็นถึงกลุ่มบุคคลที่ไม่ควรได้รับการนิรโทษกรรม แต่จะได้อานิสงส์ล้างผิด ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ทำผิดกฎหมายอาญา มือเผาศาลากลาง มือยิงอาร์พีจีใส่วัดพระแก้ว คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เสื้อดำ มือยิง พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม

รวมไปถึงแกนนำเสื้อแดงบางคน หรือคนแดนไกล ซึ่งกฎหมายอาจมีช่องเปิดให้ตีความจนได้รับอานิสงส์ล้างผิดไปด้วย ซึ่งประเด็นนี้ย่อมเป็นหัวเชื้อนำไปสู่การปลุกกระแสขยายผลต่อกับการเคลื่อนไหวคัดค้านในเวทีนอกสภา

เพราะสุดท้ายแล้ว ลำพังแค่ 170 กว่าเสียงของประชาธิปัตย์ ย่อมยากจะไปทัดทานเสียงข้างมากของรัฐบาล หากจะดึงดันเดินหน้าผ่านกฎหมายฉบับนี้จริงๆ

สัญญาณจาก “สุเทพ” ชัดเจนว่า “เมื่อเสียงนกหวีดของประชาชนดังพร้อมกันเซ็งแซ่ ก็จะออกมาร่วมต่อต้านรัฐบาลกับพี่น้อง” ดังนั้นจึงพร้อมลงไปเคลื่อนไหวนอกสภาเพื่อคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม

โดยเฉพาะบรรยากาศเวลานี้มีหลายกลุ่มหลายฝ่ายส่งเสียงฮึ่มฮั่ม เตรียมออกมาเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ในนามกองทัพประชาชนโค่นล้มระบอบทักษิณ กลุ่มไทยสปริง กลุ่มหน้ากากขาว ฯลฯ ซึ่งจะยิ่งช่วยเพิ่มแนวร่วมในการคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับนี้

ฉะนั้น การเคลื่อนไหวของกลุ่มม็อบเวลานี้มองข้ามไม่ได้ ยิ่งพรรคประชาธิปัตย์ประกาศกระโจนออกนอกสภาเพื่อขัดขวาง งานนี้คงไม่จบลงง่ายๆ
[Continue reading...]

"พานทองแท้" โพสต์คลิปตัดต่อ “ช็อตต่อช็อต” เทียบวิชั่นปรองดอง "พ่อแม้ว กับ มาร์ค” ดูได้ที่นี่

- 0 comments
ดูคลิป
เมื่อวันที่ 30 ก.ค. นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือ โอ๊ค บุตรชายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์คลิปตัดต่อ ช็อตต่อช็อต ประเด็นต่อประเด็นลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ชื่อคลิป "ทางออกประเทศไทย" เพื่อเปรียบเทียบวิสัยทัศน์ด้านการปรองดองของ 2 อดีตนายกฯ คือ พ.ต.ท.ทักษิณ กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

นอกจากนั้น นายพานทองแท้ ยังโพสต์ข้อความระบุว่า วิสัยทัศน์ทางด้านการปรองดองของ 2อดีตนายกฯ ดูได้ที่นี่ครับ คลิปสั้นๆนี้ มีคนตัดต่อส่งมาให้ผมดูครับ ช็อตต่อช็อต ประเด็นต่อประเด็น เพื่อให้เราได้พิจารณาถึง วิธีคิด, มุมอง, วุฒิภาวะ, และวิสัยทัศน์ ของ2อดีตนายกฯ โดยใช้เนื้อหาจากคลิปวันเกิดคุณพ่อผม และการปราศรัยพูดถึงการปรองดองของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 

นายพานทองแท้ ระบุต่อไปว่า ฝ่ายหนึ่งมีตัวช่วยเป็นพี่น้องประชาชน และบัตรเลือกตั้งคนละ 1ใบ เลือกตั้งกี่ครั้งก็ชนะขาด แต่ต้านทานอำนาจของรถถังและการรัฐประหาร ตลอดจนกระบวนการยุติธรรมแบบ 2 มาตรฐานไม่ไหว จึงต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน พลัดพรากจากลูกเมียจนทุกวันนี้ ได้ออกมาวิงวอนขอให้ทุกฝ่ายเลิกใส่หน้ากากเข้าหากัน ลดทิฐิมานะของตัวเองหันหน้ามาคุยกัน เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้

"อีกฝ่ายหนึ่งมีตัวช่วยเป็นอำมาตย์ รถถังและค่ายทหาร พรรคฯของตนเองได้เป็นรัฐบาลแทบทุกครั้งจากวิกฤติของประเทศ เคยเสนอขอ นายกฯพระราชทาน โดยอ้างว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 7สามารถกระทำได้ ผลปรากฏว่าหน้าแหก หมอไม่รับเย็บกลับมา ได้กล่าวคำที่ไม่น่าเชื่อว่าจะออกจากปาก ของคนที่อยู่ในฝั่งผู้ดีไม่ใช่ฝั่งไพร่ว่า "ให้ไปปรองดองกับ-----" เหตุผลเพียงเพราะว่า ตนเองไม่เห็นด้วยกับการปรองดอง

 "ลองดูกันครับ เป็นคลิปสั้นๆไม่ยาวเลย ---- เต็ม2หูชัดเจน โดยต่างคนต่างก็พูดกันคนละเวที แต่ได้สะท้อนเห็นแง่คิดและมุมมอง ของแต่ละฝ่ายที่เป็นปัจจุบันได้อย่างชัดเจน คิดไปกันคนละทางแบบนี้ ทางออกของประเทศไทย คงจะอยู่ไกลกว่าที่คิดครับ

"ถ้าชนชั้นผู้นำยังไม่ฟังเสียงประชาชน ไม่เอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง ยังคิดว่าการเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เช่นเดียวกับประเทศที่เขาพัฒนาแล้ว จึงมีการสั่งการ, มีธงจากมือที่มองไม่เห็นมาคอยชี้ว่าใครเป็นคนดี ใครเป็นคนเลว แบบนี้บ้านเมืองสงบยากครับ พี่น้องประชาชนคงยอมทำใจลำบาก ลองดูคลิปแล้วคอมเม้นต์แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันดูแล้วกันครับ" บุตรชายพ.ต.ท.ทักษิณ โพสต์ผ่าน เฟซบุ๊ก http://www.facebook.com/oakpanthongtae
 
ที่มา :ข่าวสด
[Continue reading...]

"มาร์ค" ออกโรงติง "รัฐ" คิดใช้ พ.ร.บ.มั่นคงคุมม็อบ

- 0 comments
"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" หัวหน้าพรรค ปชป. ย้ำนายกฯ ตัดสินใจดันนิรโทษกรรมตามพี่ชาย ชี้นำ ติงรัฐใช้ พ.ร.บ.มั่นคง ดักทาง อย่าซ้ำรอยทุบม็อบ "เสธ.อ้าย"...

วันที่ 30 ก.ค. 56 ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ปชป. และผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ กล่าวถึง การผลักดันร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับ นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ว่า ตนถือว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พร้อมรัฐบาลนี้ ตัดสินใจแล้วว่าอยากทำเรื่องนี้ และตามแผนเดิมคือ นายกฯ และรมว.กลาโหม ต้องพยายามทำตัวให้ห่างที่สุด แต่ความจริงคือ จะบอกไม่ได้ว่าไม่รู้ หรือไม่ได้ตัดสินใจ เพราะรู้แล้วตัดสินใจแล้ว ว่าต้องการทำงานนี้ ทั้งที่รู้ว่ามีความขัดแย้ง แต่เป็นเพราะเป็นความต้องการของพี่ชาย ของพรรคพวก จึงผลักดัน ดังนั้น จึงหนีความรับผิดชอบไม่พ้น จะมาอ้างความปรองดองไม่ได้ เพราะยังไม่เห็นว่ามีความปรองดองตรงไหนจากกฎหมาย ของนายวรชัย ขนาดรัฐบาลนี้คิดถึงขั้นจะต้องใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เหตุการณ์สงบเรียบร้อยดี ก็เป็นตัวบ่งบอกว่า กฎหมายนี้ไม่ได้สร้างปรองดอง มีแต่สร้างความขัดแย้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า การประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง เป็นการสะท้อนความไม่มั่นคงของรัฐบาลหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็แปลกใจ เพราะมีการประเมินว่าจะไม่มีอะไร แต่ล่าสุดกลับบอกว่า อาจต้องใช้กฎหมายความมั่นคง แต่ที่แน่ๆ คือ กฎหมายนิรโทษกรรมที่จะดันเข้านี้ กำลังสร้างความวุ่นวาย ขัดแย้งในสังคม ซึ่งไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยกับการชุมนุมของกลุ่ม เสธ.อ้าย ที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาสลายผู้ชุมนุม จนมีคนบาดเจ็บ ก็หวังว่าจะไม่เกิดความวุ่นวาย

ทั้งนี้ ยืนยันว่า รัฐบาลอยู่ในฐานะที่จะไม่ทำให้เกิดความวุ่นวายได้ โดยการถอนกฎหมายนี้ออกจากสภาฯ ส่วนที่คนเสื้อแดงกลุ่มกวป. ไปยึดพื้นที่บริเวณหน้ารัฐสภาไว้แล้วนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องดูแลให้ดี อย่าให้เกิดปัญหา

เมื่อถามย้ำว่า มีการเผยแพร่แผนผังล้มรัฐบาลออกมา ซึ่งโยงมาถึงพรรคประชาธิปัตย์ว่าอยู่เบื้องหลังและโยงไปถึงกลุ่มต่างๆ นั้น คิดว่าแผนผังดังกล่าวสมเหตุสมผลหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ หัวเราะก่อนตอบว่า “คงเป็นเรื่องของเด็กเล่นคอมพิวเตอร์มั้ง"

ที่มา :ไทยรัฐ

หมายเหตุ สมัยรัฐบาลนาย อภิสิทธิ์ ประกาศใช้ พ.ร.บ. ความมั่นคง ถึง 6 ครั้ง  และในที่สุด ใช้ พ.ร.บ ฉุกเฉินมีความร้ายแรง  สมัย ปี 53 จนนำไปสู่การล้ม ฆ่าประชาชนในที่สุด
[Continue reading...]

รัฐสภาเข้มรับม็อบ โชว์ตรวจรถ รองปธ.สภา

- 0 comments
 
Pic_360277
"สภาฯ" พร้อมรับมือกลุ่มผู้ชุมนุม 7 ส.ค. สั่งตร.ซักซ้อมเข้ม พร้อมตรวจรถเข้า-ออก ทุกคัน "วิสุทธิ์-เจริญ" โชว์สื่อหยุดรถให้ตรวจค้นอย่างละเอียด

เมื่อวันที่ 30 ก.ค.เวลา 09.00 น.ผู้สื่อขาวรายงานว่า ที่รัฐสภา ได้มีการซักซ้อมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภา ที่บริเวณลานจอดรถชั้น 2 จำนวน 21 นาย โดยซ้อมถือโล่ กระบอง และเดินแถวเพื่อรับมือกลุ่มผู้ชุมนุมที่อาจจะมาชุมนุมในช่วงการเปิดประชุมสภาฯ วาระพิจารณาร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม วันที่ 7 ส.ค.นี้ ขณะที่ประตู 1 ทางเข้ารัฐสภา ฝั่งถนนอู่ทองใน ได้ทำหน้าที่ตรวจค้นรถทุกคันที่เข้าออกอย่างเข้มงวดมากกว่าที่ผ่านมา และเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่จาก 2 นาย ช่วงปกติ เป็นจำนวน 6 นาย

จากนั้นเวลา 10.20 น. นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ได้เดินทางเข้ามายังอาคารรัฐสภา โดยเปิดรถให้เจ้าหน้าที่ตรวจค้นอย่างเข้มงวด ต่อมาเวลา 10.30 น. นายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 เดินทางเข้ามาและให้เจ้าหน้าที่ตรวจค้นเช่นกัน ทั้งนี้ระหว่างที่นายเจริญ เปิดรถให้เจ้าหน้าที่ตรวจ ปรากฏว่านายวรัญชัย โชคชนะ ประธานองค์การพิทักษ์ประชาธิปไตย ได้ยื่นหนังสือแสดงความจำนงว่าวันที่ 4 ส.ค.นี้ ตนและพวกจะมาชุมนุมสนับสนุนรัฐบาล นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวชายต้องสงสัยที่อยู่ในอาการเมาสุรา ที่บริเวณดังกล่าว จากการตรวจสอบทราบชื่อ นายอุดม น้อยคุณ ชาวจังหวัดชัยภูมิ ค้นตัวพบขวดน้ำพลาสติกบรรจุน้ำมีกลิ่นสุรา และภายหลังการสอบสวนเจ้าหน้าที่ก็ปล่อยตัวไป อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบบริเวณหน้ารัฐสภาในขณะนี้ พบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบ จากสน.ดุสิต เริ่มประจำการโดยรอบด้วย นอกจากนี้กลุ่มกวป. ยังตั้งเต็นท์ยึดพื้นที่จองพื้นที่ชุมนุม และซุ้มขายสินค้าของเสื้อแดงด้วย.

ภาพข่าว :นสพ.ไทยรัฐ
[Continue reading...]
 
Copyright © . Yak Ratchaprasong - Posts · Comments
Theme Template by BTDesigner · Powered by Blogger