Tuesday, June 25, 2013

ศาลอาญากรุงเทพฯ ใต้สรุปการไต่สวนสาเหตุการตายฟาบิโอ โปเลนกี ช่างภาพอิตาลีที่ถูกยิงเสียชีวิตระหว่างการสลายชุมนุมเสื้อแดง พ.ค. 53 ว่าทิศทางของกระสุนมาจากฝั่งของทหาร

29 พ.ค. 56 – ห้องพิจารณาคดี 602 เวลา 9.30 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้ สรุปการไต่สวนคำร้องชันสูตรพลิกศพ การเสียชีวิตของนายฟาบิโอ โปเลนกี ช่างภาพชาวอิตาลี ที่ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) บริเวณแยกศาลาแดงถึงราชประสงค์ โดยสรุปว่านายฟาบิโอเสียชีวิตจากกระสุนที่มาจากฝั่งทหาร อย่างไรก็ตาม ศาลระบุว่า ยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลงมือกระทำ
ด้านทนายความของญาติผู้เสียชีวิต นายคารม พรพลกลาง กล่าวว่ารู้สึกค่อนข้างพอใจกับผลที่ออกมาในวันนี้ เนื่องจากหลักฐานต่างๆ เช่น วิถี หรือลักษณะของกระสุน ก็ชี้ให้เห็นแล้วว่าน่าจะเป็นกระสุนจเจ้าหน้าที่ทหาร และกล่าวว่าจะดำเนินการฟ้องร้องในขั้นต่อไปในอนาคต ในขณะที่เอลิซาเบ็ตต้า โปเลนกี น้องสาวของผู้เสียชีวิต กล่าวว่าค่อนข้างพอใจกับผลที่ออกมา ส่วนขั้นต่อไปจะทำอะไรต่อต้องปรึกษาครอบครัวก่อน
ในวันนี้ เวลา 19.00 ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย ถ.เพลินจิต จะมีการแถลงข่าวโดยเอลิซาเบ็ตต้า โปเลนกี และนายชอวน์ คริสปิน ตัวแทนจากคณะกรรมการเพื่อพิทักษ์นักข่าว (Committee to Protect Journalists) ต่อคำสั่งของศาลในคดีดังกล่าวด้วย
ทั้งนี้ คดีดังกล่าว หรือ คดีหมายเลขดำที่ ช.10/2555 พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 4 ยื่นคำร้องขอให้ชันสูตรการเสียชีวิตของนายฟาบิโอ โปเลนกี ช่างภาพชาวอิตาลี เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 55 เพื่อทำคำสั่งแสดงว่าผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน เมื่อใด และถึงเหตุและพฤติการณ์ที่ตาย ตามประมวลกฎหมายอาญาวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150
คำสั่งชันสูตรพลิกศพ นายฟาบิโอ โปเลงกี
คดีหมายเลขดำที่ ช.10/2555
(เอกสารสรุปโดยศาลอาญากรุงเทพใต้)

วันนี้ เวลา 9 นาฬิกา ศาลอาญากรุงเทพใต้ได้อ่านคำสั่งใต่สวนชันสูตรพลิกศพกรณีการถึงแก่ความตายของนายฟาบิโอ โปเลงกี (Fabio Polenghi) ระหว่างการชุมนุมที่บริเวณถนนราชดำริ
คดีสืบเนื่องจากพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด ยื่นคำร้องขอให้ศาลใต่สวนชันสูตรพลิกศพการตายของนายฟาบิโอ โปเลงกี เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เวลากลางวัน ซึ่งน่าเชื่อว่าเป็นการตายที่เกิดขึ้นโดยการกระทำของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ ขอให้ศาลทำการใต่สวนและมีคำสั่งแสดงว่า ผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน ตายเมื่อใด เหตุและพฤติการณ์ที่ตาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150
 ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของผู้ร้องและมารดาผู้ตายแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าระหว่างวันที่ 12 มีนาคม 2553 ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 มีการชุมนุมทางการเมืองของประชาชนเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งใช้ชื่อว่า กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. เพื่อเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นใหม่ แต่นายกรัฐมนตรีปฏิเสธคำเรียกร้อง กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติจึงมีการชุมนุมทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง โดยมีการขยายพื้นที่การชุมนุมไปยังแยกราชประสงค์ ถนนราชดำริ ถนนเพลินจิต ถนนพระราม 1 ถนนพระราม 4 จนกระทั่งเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553 รัฐบาลพิจารณาเห็นว่าการชุมนุมทางการเมืองดังกล่าวก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยภายในประเทศ จึงได้ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานครและอีกหลายพื้นที่ นายกรัฐมนตรีได้ออกคำสั่งที่พิเศษ 1/2553 จัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อำนวยการ และมีข้าราชการทหาร ตำรวจ และพลเรือน เป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการและคำสั่งที่พิเศษ 2/2553 แต่งตั้งผู้กำกับการปฏิบัติงาน หัวหน้าผู้รับผิดชอบและพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาและมีอำนาจเช่นเดียวกับพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และได้มีการออกข้อกำหนดโดยประกาศของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ห้ามการชุมนุม การยุงยงให้เกิดความไม่สงบ ประกาศการห้ามใช้เส้นทางคมนาคม ห้ามใช้ยานพาหนะ รวมทั้งงดการให้บริการสาธารณูปโภค เช่น การตัดน้ำตัดไฟ ลดการใช้เรือโดยสารสาธารณะ และรถไฟฟ้าใต้ดิน เพื่อให้เจ้าพนักงานสามารถปฏิบัติหน้าที่แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินได้
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เวลา 5.45 น. ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินมีคำสั่งให้ทหารกองพันทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ซึ่งเป็นหจ้าพนักงานเข้าควบคุมพื้นที่บริเวณสวนลุมพินี ตั้งแต่แยกศาลาแดงจนถึงแยกราชดำริ และใช้รถสายพานลำเลียงในการเข้าทำลายแนวกั้นของผู้ชุมนุม เจ้าพนักงานดังกล่าวมีอาวุธปืนประจำกาย ได้แก่ อาวุธปืนเล็กยาวเอ็ม 16 อาวุธปืนเล็กนาวแบบ 11 (HK 33) อาวุธปืนลูกซอง และอาวุธปืนพก โดยได้รัคำสั่งให้ใช้กระสุนปืนจริงและกระสุนปืนซ้อมรบกับอาวุธปืนลูกซอง ส่วนอาวุธปืนเล็กยาวให้ใช้แต่เพียงกระสุนปืนซ้อมรบเพียงอย่างเดียว ระหว่างที่เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่และเคลื่อนเข้ากระชับพื้นที่นั้น ได้มีนักข่าวซึ่งรวมผู้ตาย เข้าไปทำข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อเหตุการณ์มีความรุนแรงมากขึ้น กลุ่มผู้ขุมนุม นักข่าว และผู้ตายได้วิ่งหลบหนีจากแยกราชดำริไปยังแยกราชประสงค์ เมื่อผู้ตายวิ่งมาถึงบริเวณเกาะกลางถนนหน้าบริษัทสายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด ปรากฎว่าผู้ตายถูdยิงล้มลง จากนั้นมีคนนำผู้ตายไปส่งที่โรงพยาบาลตำรวจ และผู้ตายถึงแก่ความตายที่โรงพยาบาล
มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า เหตุและพฤติการณ์แห่งการตายของผู้ตายเป็นอย่างไร เห็นว่า ผู้ร้องมีพยานปากนักข่าวในประเทศและต่างประเทศเป็นประจักษ์พยานยืนยันว่าเห็นผู้ตายถูกยิงล้มลงขณะที่วิ่งหลบหนีไปทางเยกราชประสงค์ระหว่างที่เจ้าหนักงานกำลังเคลื่อนมาจากแยกศาลาแดง พยานทั้งสองปากเป็นคนกลางไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับฝ่ายใด เชื่อว่าพยานเบิกความตามความจริงที่รู้เห็นมา เมื่อรับฟังประกอบความเห็นของพยานผู้เขี่ยวชาญ เชื่อได้ว่าวิถีกระสุนปืนยิงมาจากทางเเยกศาลาแดงซึ่งเป็นทิศทางที่เจ้าพนักงานกำลังเคลื่อนเข้ามาควบคุมพื้นที่จนถึงแยกราชดำริ อีกทั้งแพทย์ผู้ตรวจศพผู้ตายและผู้แปลผลการชันสูตรพลิกศพยังเบิกความสอดคล้องต้องกันโดยสรุปว่าบาดแผลของผู้ตายน่าจะเป็นบาดเเผลที่เกิดจากกระสุนปืนที่ยิงออกมาจากอาวุธปืนที่มีความเร็วสูง เมื่อไม่ปรากฎจากการไต่สวนว่ามีบุคคลอื่นเข้ามาก่อเหตุใดๆ ทั้งกระสุนปืนที่เจ้าพนักงานใช้ประจำการในการเข้าควบคุมพื้นที่บริเวณที่เกิดเหตุเป็นกระสุนปืนขนาด .223 ที่ใช้กับอาวุธปืนเล็กยาวเอ็ม 16 และอาวุธปืนเล็กยาวแบบ 11 (HK 33) ที่มีประสิทธิภาพในการยิงวิถีไกลและมีความเร็วสูง และได้ความจากนักข่าวต่างประเทศ พยานมารดาผู้ตาย ว่าในขณะเกิดเหตุพยานได้วิ่งไปทิศทางเดียวกับผู้ตายและถูกยิงด้วยกระสุนปืนในบริเวณใกล้เคียงกับผู้ตายที่บริเวณด้านหลังข้างขวาและกระสุนปืนฝั่งใน
 ต่อมาแพทย์ได้ผ่าตัดเอาหัวกระสุนปืนออก พบว่าเป็นหัวกระสุนปืนจากอาวุธปืนเล็กยาวเอ็ม 16 ซึ่งสอดคล้องกับอาวุธปืนที่เจ้าพนักงานใช้ประจำกายในวันเกิดเหตุ พฤติการณ์จึงเชื่อได้ว่ากระสุนปืนที่ยิงผู้ตาย ถูกยิงมาจากด้นเจ้าพนักงานที่กำลังเคลื่อนเจ้ามาควบคุมพื้นที่จากทางแยกศาลาแดงมุ่งหน้าไปแยกราชดำริ โดยยังไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้กระทำ
จึงมีคำสั่งว่า ผู้ตายคือนายฟาบิโอ โปเลงกี ถึงแก่ความตายที่โรงพยาบาลตำรวจ แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เวลา 11.30 น. เหตุและพฤติการณ์แห่งการตายสืบเนื่องมาจากการถูกยิงด้วยกระสุนปืน เป็นเหตุให้เกิดบาดแผลกระสุนปืนทะลุหัวใจ ปอด ตับ เสียโลหิตปริมาณมาก โดยมีวิถีกระสุนปืนยิงมาจากด้านเจ้าพนักงานที่กำลังเคลื่อนเข้ามาควบคุมพื้นที่จากทางแยกศาลาแดงมุ่งหน้าไปแยกราชดำริ โดยยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลงมือกระทำ

0 comments:

Post a Comment

 
Copyright © . Yak Ratchaprasong - Posts · Comments
Theme Template by BTDesigner · Powered by Blogger