Thursday, August 22, 2013

สุเทพ ไม่รับเงื่อนไขของสนธิ อ้่าง ต้องต่อสู้ในสภา ออกไปก็จบ !

“สุเทพ เทือกสุบรรณ” ขุนพลคนสำคัญของประชาธิปัตย์ เปิดเผยถึงการเคลื่อนไหวรอบนี้ว่า ไม่ใช่การต่อสู้ที่ทำให้บ้านเมืองย่อยยับ จะไม่ต่อสู้เหมือนกับคนเสื้อแดงที่ได้ทำกับประเทศเราในปี 2552-2553 ทั้งการออกมาก่อการจลาจล เผาบ้านเผาเมือง มีอาวุธสงครามมาต่อสู้ฆ่าคน ทำร้ายประชาชน เอาคนกรุงเทพฯ มาเป็นตัวประกัน
“เราจะสู้ด้วยปัญญา สู้แบบอารยชน สู้แบบคนที่มีความคิด มีปัญญา สู้ในกรอบของกฎหมาย ไม่ทำร้ายบ้านเมือง ถ้าชุมนุมจะจัดชุมนุมด้วยความสงบ ปราศจากอาวุธ เราไม่ไปละเมิดกฎหมายบ้านเมือง เราจะไม่วิ่งไปประจัญบานกับเจ้าหน้าที่หรือปลุกให้คนไปทำอย่างนั้น เป็นการแสดงออกถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนนั้นสามารถทำได้ภายใต้กรอบของกฎหมายได้”
สุเทพ อธิบายว่า วิถีการต่อสู้จากนี้จะค่อยๆ คิดไป เช่น อาจมีการชุมนุมทั้งในกรุงเทพฯ และในต่างจังหวัดพร้อมๆ กัน อาจจะนัดหยุดงานทั้งประเทศ อาจจะปฏิเสธการใช้อำนาจรัฐ คำสั่งของรัฐบาล อาจแสดงออกไม่ฟังคำสั่งของรัฐบาล อาจปฏิเสธสินค้าบริษัทที่อยู่ในเครือข่ายของรัฐบาล ไม่จำเป็นต้องล้อมทำเนียบรัฐบาล หรือไปสภา แต่ไม่จำเป็นต้องบุกเข้าไป และจากนี้ไปจะจัดเวทีผ่าความจริง ทั่วทุกเขตในกรุงเทพมหานคร เป็นการให้ความรู้กับประชาชนก่อนจะถึงวาระ 3 ของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
“ถ้าคราวหน้าเขาประกาศ พ.ร.บ.มั่นคงหลายเขต เราก็มีเขตรอบนอก เราก็จัดเวที เขาประกาศทั้งกรุงเทพมหานครให้เป็นพื้นที่ความมั่นคง เราก็ชุมนุมจังหวัดใกล้เคียง ชุมนุมต่างจังหวัด ที่ศาลากลางจังหวัด ถ้าเข้าประกาศทั้งประเทศเป็นพื้นที่ความมั่นคง เราก็ค่อยคิดกันว่าจะทำอย่างไร”
ส่วนสาเหตุที่ทำไมถึงต้องรอให้ พ.ร.บ.นิโทษกรรม พิจารณาจนถึงวาระ 3 ก่อนจะเป่านกหวีดระดมมวลชนนั้น สุเทพ อธิบายว่า ยังมีพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่ยังไม่รู้ข้อเท็จจริง บางคนก็รู้แต่ยังใจเย็นว่ายังไม่ถึงเวลาก็มี ดังนั้นจะตั้งเวทีถี่ขึ้น ในการตั้งเวที เมื่อถึงเวลาประชาชนที่ได้ข้อมูลข่าวสาร ได้เวลาที่ตัดสินใจมาร่วมชุมนุม เราต้องให้เวลาประชาชน ต้องให้สถานการณ์สุกงอมด้วย
“ผมได้ประกาศว่า ถ้าถึงเวลาพ่ายแพ้ ในวาระ 3 ก็จะเป่านกหวีด หมายความจะยกระดับการเคลื่อนไหวที่แข็งแรงยิ่งขึ้น ถ้าเช่นนั้นจริง เราก็ต้องทำตามที่ประกาศไว้ ในขณะเดียวกัน ในสภาเราก็จะต่อสู้คู่ขนานไปด้วย ไปคุยกับวุฒิสมาชิกให้รับฟังความเห็นเหตุผลที่พรรคประชาธิปัตย์คัดค้าน ถ้าวุฒิสภาเขาแก้ไขกลับมาที่สภาผู้แทนราษฎร เราก็สู้ต่อ ถ้าผ่านไปโดยที่เราแก้ไขอะไรไม่ได้ เราก็ไปสู้ที่ศาลรัฐธรรมนูญ
ในอีกด้านเราก็จะเริ่มขยับขยายกำลังมวลชนก็คิดยกระดับการต่อสู้ไป ว่าถึงเวลาแล้วยังที่จะนัดหยุดงานหรือไม่ฟังคำสั่งของรัฐบาล ซึ่งพรรคประเมินแล้วระยะเวลาที่กฎหมายไปถึงวุฒิสภากับเวลาที่เราเตรียมตัว เตรียมมวลชน คงใช้เวลาพอกันๆ”
สำหรับคำเชิญร่วมสภาปฏิรูปของรัฐบาลนั้น สุเทพ กล่าวว่า พรรคยังไม่ได้คุยเรื่องสภาปฏิรูปการเมือง แต่สมาชิกพรรคบางส่วนได้คุยกัน แต่ยังไม่เป็นมติพรรคว่า ถ้าไม่ถอนกฎหมายนิรโทษกรรมออกไป เรื่องสภาปฏิรูปทางการเมืองก็ไม่ต้องมาคุย
“ผมคนหนึ่งที่จะไม่เข้าไปร่วมการปฏิรูปจอมปลอมนี้ ของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ อย่างแน่นอน เพราะไม่มีความเชื่อ ไม่มีความศรัทธา ไม่มีความไว้วางใจ ผมเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจของผมว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ไม่มีความจริงใจ คนในรัฐบาลนี้ไม่มีความจริงใจที่จะปฏิรูปประเทศ เขาดำเนินการต่างๆ ด้วยชั้นเชิงหลอกซ้าย หลอกขวา เพื่อให้เราตกหลุมไป เราก็ไม่ตกหลุมและจะไม่ยอมเป็นเครื่องมือให้กับคนกลุ่มนี้”
สุเทพ กล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่เคยคิดล้มรัฐบาลเลยเพียงแต่ออกมาต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรม แต่นายกฯ ยิ่งลักษณ์พูดผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจว่า พวกเราต้องการล้มรัฐบาลเพื่อต้องการเป็นรัฐบาล ทนเป็นฝ่ายค้านไม่ได้ เป็นการพูดที่เกินไป เป็นการกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริง ที่ทำมาทั้งหมดไม่ต้องการเป็นรัฐบาล ถ้าต้องการเป็นรัฐบาลก็ตอบรับคำเชิญของคุณแล้ว ทั้งคุณและพี่ชายคุณ เชิญเราอยู่ตลอดเวลา
“บอกเป็นคนคน ก็ได้ว่ามีใครบ้างที่ติดต่อมาและมาคุยอะไรกัน เราปฏิเสธไปแล้วว่าไม่สามารถไปให้ความร่วมมือหรือสนับสนุนระบอบทักษิณได้ เราคำนึงถึงความสวยงามของประชาธิปไตย ที่มีทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ถ้าไปทิ้งการทำหน้าที่ไปรับใช้ระบอบทักษิณก็เป็นการทรยศประชาชน”
แกนนำประชาธิปัตย์ ยืนยันว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ต้องการล้มรัฐบาล ยังไม่คิดล้มรัฐบาล ถ้าคิดล้มรัฐบาลก็ต้องพบความชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลนี้ไม่คำนึงถึงหลักการ อาศัยพวกมากผลักดันกฎหมาย ล้างผิดออกมา
เราให้โอกาสรัฐบาลตลอด ถ้าชัดเจนแล้วในการกระทำของรัฐบาลในการทำลายนิติรัฐนิติธรรมสำเร็จสมบูรณ์แล้ว ถึงเวลาเราก็ลุกขึ้นประกาศล้มรัฐบาลก็ตอนนั้น ถ้าในขั้นตอนแปรญัตติว่านิรโทษกรรมให้ประชาชนที่เดินตามมาก็ยุติ แต่ถ้ายังคงร่างไว้เหมือนเดิมหรือแปรเรื่องอื่นเพิ่มเข้ามาก็ต้องเจอกัน
ส่วนข้อเรียกร้องจาก “สนธิ ลิ้มทองกุล” แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้ สส.ประชาธิปัตย์ลาออกมาร่วมต่อสู้นั้น สุเทพ กล่าวว่า วิถีทางในการต่อสู้เป็นทางเลือกของแต่ละกลุ่ม แต่ละขบวนการ ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ใครจะมากะเกณฑ์ว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ คงไปบังคับใครกันไม่ได้ วันนี้มี 11-12 กลุ่มที่ลุกขึ้นมาที่จะล้มระบอบทักษิณ แต่ละกลุ่มก็มีแนวทางของตัวเอง
“พรรคประชาธิปัตย์เคารพแนวทางของแต่ละกลุ่มไม่เข้าไปแทรกแซงหรือเข้าไปก้าวก่าย พรรคประชาธิปัตย์ก็มีแนวทางของตัวเอง แม้แต่คนในพรรคประชาธิปัตย์เมื่อถึงสถานการณ์จริงๆ ก็ต้องพิจารณาว่า แต่ละคนจะแสดงบทบาทอย่างไร เราไม่พูดจาแทนคนทั้งพรรค ไม่พูดจาอะไรล่วงหน้า ให้การกระทำพิสูจน์ด้วยตัวเอง เราจะทำตามที่เราเห็นสมควร ตามช่วงเวลาที่เห็นว่าเหมาะสม เรารับฟังคนที่วิพากษ์วิจารณ์ เราเปิดกว้างแต่เราก็ต้องฟังมวลชนของเรา ประชาชนของเราว่าคิดอย่างไรด้วย
เราจำเป็นต้องสู้ในสภา เรามีน้อยอยู่แล้ว ถ้าลาออกมาก็จบ เขาพิจารณา 3 วาระรวดได้เลย และโดยข้อเท็จจริงในสภายังมีเรื่องอีกหลายเรื่องที่ต้องต่อสู้กัน เช่น กฎหมายกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท เรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ส่วนจะเคลื่อนไหวอย่างไรเราก็ค่อยๆ ปรึกษากันไป ยังไม่แตกหักกับฝ่ายใดทั้งสิ้น เราเคลื่อนไหวเดินหน้าด้วยความมุ่งมั่นไม่เปลี่ยน ยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติเป็นเป้าหมายสำคัญ เรื่องของพรรคยังเป็นเรื่องรอง”
สุเทพ ประเมินสถานการณ์รัฐบาลที่กำลังเผชิญแรงเสียดทานรอบด้านเวลานี้ว่า “ผมเชื่อเลยว่ารัฐบาลนี้อยู่ไม่ได้ แต่จะไปก่อนเดือน ต.ค. ตามที่หมอดูทำนายหรือไม่ยังไม่รู้ แต่เมื่อประชาชน มวลชนทั้งหลายตื่นตัวลุกขึ้นมาเป็นจำนวนมากในประเทศ เชื่อว่ารัฐบาลอยู่ไม่ได้ อับอายขายหน้าแน่นอน”

ที่มา :โพสทูเดย์

0 comments:

Post a Comment

 
Copyright © . Yak Ratchaprasong - Posts · Comments
Theme Template by BTDesigner · Powered by Blogger