Monday, July 15, 2013

เปิดบันทึกลับประชาธิปัตย์ จ้างพยานแต่งความเท็จ ใส่ร้าย ไทยรักไทย

คำตัดสินของตุลาการรัฐธรรมนูญ ที่ถูกแต่งตั้งขึ้นโดยคำสั่งของคณะรัฐประหาร ซึ่งเป็นผู้ฉีกรัฐธรรมนูญ ที่จะประกาศออกมาในวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 อันเป็นการชี้ชะตาพรรคการเมือง 2 พรรค ที่ถูกประชาชนทั่วประเทศ จับตามองด้วยใจระทึก และนึกไปในทิศทางเดียว กันว่า…
หากคำตัดสินของตุลาการรัฐธรรมนูญ ไม่มีความเป็นธรรม ไม่ยึดอยู่บนหลักการความถูกต้อง ของกฎหมาย ไม่พิจารณาตามพยานหลักฐาน แต่ตัดสินด้วยอาการลนลาน เพราะกลัวอำนาจปืนในมือคณะรัฐประหารที่เป็นผู้แต่งตั้ง แล้วล่ะก็ แผ่นดินไทยคงกลายเป็นแผ่นดินเดือด แต่จะถึงขั้นแผ่นดินเลือดหรือไม่ มีแต่พระสยามเทวาธิราชเท่านั้นที่จะรู้ล่วงหน้า  
          โดยปกติ กับประชาชนคนไทยนั้น คำพิพากษาของตุลาการอันเป็นที่สุด  แม้จะไม่เห็นด้วยในบางครั้ง แต่ก็ต้องยอมรับและเคารพ แม้มั่นใจว่าตนไม่ได้กระทำผิด แต่เมื่อศาลสูงสุดชี้ว่าผิด และกำหนดโทษ ก็พร้อมจะน้อมรับ เนื่องเพราะตุลาการทุกท่านกระทำการภายใต้พระปรมาภิไธย และถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก่อนจะปฏิบัติหน้าที่
          แต่ กับตุลาการรัฐธรรมนูญ ที่แต่งตั้งขึ้นโดยคณะรัฐประหาร มิใช่โดยพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องบอกว่ายากยิ่งนักที่จะให้ประชาชนคนไทย เชื่อว่าจะพิจารณาตัดสินด้วยความเที่ยงธรรม ยึดหลักการ มิใช่หลักกู
          ยิ่งไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ภายใต้พระปรมาภิไธยขององค์พระมหากษัตริย์   แต่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ภายใต้อำนาจของปืนและรถถัง จึงยากจะเชื่อว่าความเป็นธรรมจะเกิดขึ้นแก่ผู้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาความถูกความผิด
          พิจารณาเข้าในรายละเอียดเนื้อหาของผู้แต่งตั้งตุลาการรัฐธรรมนูญ ด้วยแล้ว ยิ่งยากแก่การทำใจยอมรับ เนื่องจากคณะรัฐประหาร มีเจตนารมณ์ชัดแจ้งและประกาศชัดเจนมากกว่าหนึ่งครั้ง ว่าต้องการยุบพรรคไทยรักไทย ไม่เคยใส่ใจพูดถึงพรรคประชาธิปัตย์  ก็ยิ่งชัดว่าการร้องหาความเที่ยงธรรม แก่พรรคไทยรักไทย ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 ยากยิ่งกว่างมเข็มที่ตกในมหาสมุทร
การงมเข็มที่ตกลงไปในมหาสมุทร ก็ยังมีเข็มให้งม ยังพอมีความหวัง แต่ในกรณีของพรรคไทยรักไทย กับตุลาการรัฐธรรมนูญ เนื่องจากไม่มีความเที่ยงธรรมอยู่เลย จึงไม่มีโอกาสที่จะงมเจอได้     
          ขณะนี้พูดกันหนาหูมากว่า ไทยรักไทยถูกยุบแน่ แต่ประชาธิปัตย์ มีโอกาสรอด ซึ่งไม่รู้ว่าด้วยการให้ข้อมูลต่อตุลาการรัฐธรรมนูญ อย่างไร จึงทำให้ประชาธิปัตย์ มีโอกาสรอด ส่วนไทยรักไทย ไม่รอดนั้น ไม่แปลกใจ  เพราะตั้งธงกันมาแต่แรกว่า “ต้องยุบ”  หากไทยรักไทย รอด ไม่ถูกยุบ ก็ต้องบอกว่า “สวรรค์มีตา ฟ้ามีใจ” แล้วล่ะครับ
          สำนวนหนังสือกำลังภายใน บอกว่า “คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต”
มีหลักฐานชิ้นหนึ่งที่เคยนำมาเปิดเผยให้ประชาชนได้ทราบทั่วกัน ถึงพฤติกรรมของนายไทกร พลสุวรรณ อดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ที่เรียกตัวเองว่า อีสานกู้ชาติ ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในการจัดหาบุคคลมาเป็นพยานให้แก่พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อกล่าวหาให้ร้ายพรรคไทยรักไทย
แม้จะไม่มีตำแหน่งสำคัญในพรรค แต่ทุกคนในประชาธิปัตย์ รู้จักนายไทกร พลสุวรรณ เป็นอย่างดี ในฐานะหนึ่งในคณะทำงานของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ มีหน้าที่ติดต่อ จัดหา รวบรวมข้อมูล และบุคคล มาเป็นพยานในคดีพรรคประชาธิปัตย์ ฟ้องพรรคไทยรักไทย จ้างพรรคการเมืองลงสมัครรับเลือกตั้ง เพื่อหนีเกณฑ์ 20 % ซึ่งเป็นข้อหาสำคัญที่ตุลาการรัฐธรรมนูญ กำลังพิจารณาตัดสินว่าจะยุบพรรคไทยรักไทยหรือไม่
นายไทกร พลสุวรรณ ทำงานเคียงคู่กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เข้าขารู้ใจกันทุกจังหวะขยับเคลื่อน มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง สืบเสาะแสวงหาเจรจาหว่านล้อมผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมืองต่างๆ ให้ยอมเป็นพยานกล่าวหาให้ร้ายพรรคไทยรักไทยได้หลายคน  มีผลงานเป็นที่ชื่นชมและพึงพอใจของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นอย่างยิ่ง
  ถึงแม้ว่าพยานบางคน จะยินยอมกลับใจ สารภาพความจริงถูกว่าจ้างด้วยเงิน 1 ล้านบาท เพื่อให้แต่งความเท็จ กล่าวหาพรรคไทยรักไทย บอกว่าเหตุที่ไม่อยากร่วมขบวน การปั้นความเท็จกับนายไทกร ต่อไป เพราะถูกจับไปคุมขังไว้ที่บ้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ สุราษฎร์ธานี จนไม่มั่นใจความปลอดภัยของตัวเอง เกรงว่านอกจากจะไม่ได้ค่าจ้าง จะถูกสังหารปิดปากด้วยซ้ำ
แต่เมื่อพยานส่วนใหญ่ ยังเชื่อใจให้ความร่วมมือแต่งความเท็จต่อไป และยังร่วมหัวจมท้ายตั้งแต่เป็นพยานกล่าวหาในชั้นกกต. จนมาถึงให้การในชั้นตุลาการรัฐธรรมนูญ ก็ยิ่งเพิ่มพูนความดีความชอบให้แก่นายไทกร พลสุวรรณ จนกลายเป็นคนสำคัญของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
นายไทกร พลสุวรรณ ได้รับความไว้วางใจอย่างมากถึงกับออกปากได้ว่า เป็นผู้กระทำการแทนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในทุกกรณีที่เกี่ยวกับการจัดพยานและข้อมูล เพื่อสนับสนุนการฟ้องยุบพรรคไทยรักไทย ให้แก่พรรคประชาธิปัตย์
แต่แล้ววันหนึ่ง ด้วยความกร่างสุดตัว ด้วยจิตใจชั่วสุดขีด ทำให้นายไทกร พลสุ วรรณ ทำงานพลาดอย่างร้ายแรง ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสอบสวนของกกต. ซ้อนแผน บันทึกเทปเป็นหลักฐาน ประกอบข้อหาจ้างวานหัวหน้าพรรคการเมืองหนึ่ง ให้กล่าวหาให้ร้ายพรรคไทยรักไทย โดยมีการเสนอตัวเลขวงเงินจำนวนหลายล้านบาท และรับปากจะพาเข้าพบนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อีกทั้งรับประกันความปลอดภัย และการันตีว่าพ้นคุกแน่ๆ  พรรคประชาธิปัตย์ จะจัดหาทนายความฝีมือดีที่สุดในประเทศไทย มาว่าความให้ ถ้าถูกฟ้องกลับ หากทำท่าว่าจะไม่ไหวจริงๆ ก็สามารถล็อบบี้ศาลได้  อีกทั้งยังรับเป็นธุระจัดหาที่อยู่ใหม่ให้เสร็จสรรพทั้งครอบครัว หรือหากไม่อยากได้เงิน จะแลกเป็นเก้าอี้ส.ส. ก็ทำได้
เรียกได้ว่าข้อเสนอ มีหลากหลายออปชั่น ให้เลือกสรร ไม่เอาเงิน ก็เลือกเอาตำแหน่งทางการเมือง ได้ ใครได้ยินตัวเลขวงเงินที่นายไทกร พูด ไม่ใจสั่นหวั่นไหว ก็ต้องนับถือว่าเป็นคนจริงที่ไม่ขายตัวให้เงินตรา
นายไทกร พลสุวรรณ ยอมรับว่าทุกคำพูดในเทปที่บันทึกโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่ง เป็นคำพูดของเขาจริง และอ้างว่าที่ต้องจ้างวานเสนอผลประโยชน์ ก็เพราะ เขาจะจับโจร จึงต้องใช้วิธีการของโจร แต่ไม่ยอมรับว่าการกระทำครั้งนั้นเป็นความผิด อีกทั้งยังบอกว่าเป็นความคิด และการกระทำของเขาคนเดียว นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เกี่ยวข้องด้วย  ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นนายไทกร พูดให้นักข่าวฟังทุกวันว่า เขาคือคนที่นายสุเทพ ไว้วางใจที่สุด และเชื่อถือมากที่สุด พยานทุกคนที่พรรคประชาธิปัตย์ เป็นการจัดหามาให้ของเขาทั้งสิ้น
แต่เมื่อถูกต้อนเข้ามุมอับ นายไทกร ก็กลับคำพูดทันที ว่าทำงานคนเดียว ไม่เกี่ยวกับใครทั้งสิ้น และเมื่อถูกจับได้ว่าขณะเจรจาจ้างวานให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย ยังมีสถานภาพสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ นายไทกร ก็งัดใบลาออกขึ้นมาเซ็นแล้วยื่นให้พรรคประชาธิปัตย์ ทันที
ข้อความคำพูดที่นายไทกร พลสุวรรณ จ้างวานเสนอผลประโยชน์ให้นายวรรณวริทธิ์ ตันติภิรมย์ หัวหน้าพรรคชีวิตที่ดีกว่า ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ บันทึกเสียงไว้  ซึ่งหนังสือพิมพ์มติชน ได้นำมาเสนอเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2549   แบบคำต่อคำ และนายไทกร ยอมรับว่าเป็นจริงทุกคำพูด มีดังนี้ 
…………………………………
          หัวหน้าพรรค : อยากจะเริ่ม คือตอนนั้นไม่อยู่บ้าน ก็เลยสงสัยว่ามันเป็นอย่างไร เพราะว่าโดยปกติแล้วนี่ ผมพรรคเล็กก็ไม่เคยอะไรกับประชาธิปัตย์
          นายไทกร : มันไม่ใช่อย่างนี้ มันไม่ใช่เกี่ยวกับว่าเป็นปฏิปักษ์ คราวนี้ประชาธิปัตย์ กับไทยรักไทยมันทะเลาะกัน เราอยู่ตรงกลางระหว่าง…
          หัวหน้าพรรค : เราไม่เกี่ยวข้อง มันเกิดอะไรขึ้น มันเลยงงๆ เพราะว่าแม่บ้านไม่สบายใจ ผมก็อึดอัด
          นายไทกร : คือ เอา เรารู้กันอยู่ คุยกันตรงๆ ที่ได้กระทำผิดไป
          หัวหน้าพรรค : กระทำผิดเรื่องอะไร ผมก็ยังงงๆ ผมทำผิดอะไร คือก็อยากจะคุย จะได้บอกให้รู้ว่า เราไม่ได้ทำผิดอะไร คุณกล่าวหา
          นายไทกร : ไม่ๆ ผมไม่ได้กล่าวหา แต่พี่ไม่ได้ทำก็…ทีนี้…จะให้ผมช่วยอย่างไร ถ้าถึงแค่พี่บุญทวีศักดิ์ จะมีประโยชน์อะไร
          หัวหน้าพรรค : นายถามสุรพงษ์ก็ได้ เราก็อยากรู้จักคนที่จ่ายให้เรา เราอยากจะพบด้วยสิ คุยตรงๆ ซะไม่ดีกว่าเหรอ ทำไมต้องให้พวกนี้มาขี่ นี่คือสิ่งที่ผมต้องการ ไอ้นั่นที่ว่า กิจไทยมั่นคง ไอ้นี่ธรรมะธัมโมทั้งคู่ ไอ้ธรรมาธิปไตย นี่ก็มาหา พวกนี้ก็ซื่อ มองในแง่ดีทั้งนั้น ผมงง ผมขอเวลาคิดสักนิดหนึ่ง
          ทนาย : แกก็ยังงง
          นายไทกร : นั้นสินะ แล้วช่วยแกได้อย่างไร
          หัวหน้าพรรค : นั่นสิ ตอนนี้ก็ยังมองไม่ออกเหมือนกัน
          นายไทกร : ถ้าแค่กล่าวถึงบุญทวีศักดิ์ ประชาธิปัตย์ เขาก็ไม่อยากลงทุน เพราะ ว่ามันไม่ถึงไทยรักไทย เพราะว่าบุญทวีศักดิ์มันก็ติดคุกอยู่แล้ว ไม่อยากไปซ้ำเติมเขาอีก ถ้าไม่ถึงไทยรักไทย เขาก็ไม่อยากลงทุน
           หัวหน้าพรรค : ถ้าจะให้ถึง แล้วคุณอยากให้ผมทำอย่างไร
          นายไทกร : ถ้าไม่ถึงไทยรักไทย ประชาธิปัตย์เขาก็ไม่อยากลงทุน เมื่อเขาไม่ลงทุน ลุงก็เลยซวย
           หัวหน้าพรรค : ไอ้อย่างนี้ เราก็พอพูดได้ ลองผมทำแล้ว ผมได้อะไร
          ทนาย : ถ้าถึงจริง
          นายไทกร : หนึ่ง ค่าใช้จ่ายก็ต้องได้ สอง ลุงต้องการอะไร ลุงก็ไปเขียนมาสิ
             หัวหน้าพรรค : จะให้ผมเสนอได้ไง มันอยู่ที่ว่าจะให้ผมทำอะไร
          นายไทกร : เอางี้…มันตัวสำคัญที่สุดคือตัวลุง ถ้าพี่บอกว่า พี่ต้องการให้ประชาธิปัตย์ซัพพอร์ตเลือกตั้ง เรื่องเงินเรื่องอะไรก็ว่ากันไป มันต้องดูก่อนว่าข้อมูลที่เอามาให้มันถึงใคร ที่อยู่ในพรรคไทยรักไทย ทีนี้พี่แค่บอกว่าถึงบุญทวีศักดิ์ ผมก็ดูแล้ว ผมพูดเองนะ ผมเป็นคนไม่กะล่อน ผมเป็นคนตรงไปตรงมา เป็นผม…ผมก็ไม่จ่าย แต่ถ้าถึง ถ้ามีไทยรักไทยตัวหนึ่งมาเหมือนบอกว่า มันก็ต้องดูก่อนว่าเป็นใคร ถ้าไม่ถึงกรรมการ บริหารพรรค มันก็ทำไม่ได้ มันมีคนมาเสนอเยอะเลย เช่น ลูกน้องคุณอิทธิพล มาอยู่ในพรรคเขาก็ช่วยค่าใช้จ่ายไป
          ทนาย : ถ้าถึงกรรมการบริหารพรรค
          นายไทกร : เออ…มันต้องถึง
            ทนาย : สมมุติ ถ้าถึง
          นายไทกร : เออ…ถ้าถึงค่าใช้จ่ายกี่ตัง กี่แสน ก็ว่ากัน ต้องการอะไร ก็ว่ากัน
          หัวหน้าพรรค : ผมจะได้ตัดสินใจถูก ลูกผม เมียผม ผมคำนึงถึงหมด
          ทนาย : ลุงก็อยู่โคราชไม่ได้หรอก
          หัวหน้าพรรค : นี่แหละคือสิ่งที่ผมหนักใจล่ะ ลูกผม หลานผม ต้องกระเด็น
          นายไทกร : เอางี้…พูดตรงๆ ข้อมูลนี้ เหมือนนาฬิกา ถ้าไซโก มันก็ราคาหนึ่ง ถ้ามิโด มันก็ราคาหนึ่ง ทีนี้คนที่จะพูดแล้วมันได้ประโยชน์ ก็คือลุง แต่ลุงพูดให้ผมฟังเนี่ย ผมก็อยากถามว่าข้อมูลนี้ราคาเท่าไร แต่ว่าถ้าผมไปพูด ผมไปพูด ไม่มีใครเชื่อ มันต้องลุงพูดเอง
          ทนาย : พี่ให้คำตอบได้ไหม ถ้าถึงกรรมการบริหารพรรค ลุงเขาได้ค่าตอบแทนเท่าไร
          หัวหน้าพรรค : ผมจะได้ตัดสินใจถูก
          ทนาย : ให้ใครตัดสินใจได้ไหม หรือพี่ระบุชื่อ บอกผมนิดหนึ่ง คุยกับลุงแล้ว ผมจะได้….
          นายไทกร : ทีนี้พอถึงกรรมการบริหารพรรค มันก็ต้องมีเหตุการณ์ แล้วว่าทีนี้ ลุงก็ต้องไปพูดนะ หมายถึงไปแถลงนะ ต้องแถลง
          ทนาย : ขั้นตอนมันถึงจบ โอเค ก็เป็นเหมือนที่เราตกลงกัน
          หัวหน้าพรรค : จะให้แถลง ก็ต้องให้ทางนั้นเป็นคนจัดใช่ไหม
          นายไทกร : หนึ่ง เขาจะจัดการเรื่องทนาย ให้ค่าทนายทั้งหมดเลยนะ เขาจะจัดการให้ เอาจนให้รอด ให้หลุด ซึ่งมันก็แพง ที่รู้นะ สำนักงานนี้แพง สอง ลุงต้องการให้หาที่อยู่ใกล้ๆ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ
          ทนาย : ขอรู้ตอนนี้ได้ไหม คือไม่ได้เร่งรัดนะ ลุงจะได้สบายใจ ได้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ
          หัวหน้าพรรค : ประเดี๋ยวเกิดเราพูดไปอย่าง แม่บ้านพูดอีกอย่าง ก็อยากให้ทำอะไรออกไปแล้วไม่มีผลสะท้อน
          นายไทกร : มันก็น่าจะทำได้นะ…ผมก็ไม่รู้ว่าราคาเท่าไร เพราะว่าพวกนั้นมันก็ไม่เท่าไร แต่พวกนี้มันเอาอนาคตทางการเมือง ไงพวกนี้มันอยากเป็น ส.ส.กัน
          ทนาย : หมายถึงว่าไปอยู่ประชาธิปัตย์
          นายไทกร : เออ…มันจะลง ส.ส. ลงภาคกลางมันก็จะได้เงิน มันก็จะได้พ็อคเก็ตมันนี่ คนละสี่-ห้าแสนนี่แหละ
           ทนาย : ลุงชอบเล่นไม่ใช่เหรอ ชอบเล่นก็ไปอยู่กับเขาสิ แม่เขาบอกว่าแม่เขาปวดหัวอยู่
          นายไทกร : ลงสมัคร ส.ส. เป็นกรรมาธิการ คนพวกนี้มันไม่เรียกเงินเยอะ มันก็แล้วแต่ท่านเลขาฯจะให้ เขาก็ให้ใช้คนละห้าแสน แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องของคุณ คุณจะลงเล่นการเมืองต่อ พรรคก็ให้
          ทนาย : ถ้าจะมาก็มาอยู่กับประชาธิปัตย์
          นายไทกร : เออ…
          หัวหน้าพรรค : คือ ไอ้หวังทางการเมือง คงหวังยาก ตอนนี้นายสังเกตไหม คนหนุ่ม คนสาวถึงจะได้ สำหรับคนแก่มันไม่ได้หรอก
          นายไทกร : ไม่ใช่…พี่ก็พูดไปสิ ห้าล้าน สิบล้าน แปดสิบล้าน ที่นี้ก็จะไปต่อกัน ของมีไว้ซื้อ ไว้ขาย แต่มันต้องบอกว่าอะไร ของในนั้นมันเป็นอะไร
          หัวหน้าพรรค : ถ้าคนจะเล่น ก็คงจะเป็นเลขาฯ คุณอภิสิทธิ์เขาคงไม่เล่น
          นายไทกร : หมายถึงอะไร
          ทนาย : คนที่ติดต่อมาทางนี้ ที่กรรมการบริหารพรรค
          นายไทกร : อ้อ…อันนี้หมายถึงไทยรักไทย ก็ยิ่งสำคัญ ก็ยิ่งสำคัญสิ ก็ถ้าขึ้นแค่กรรมการเล็ก
          (ข้ามไป)
           ทนาย : แล้วพูดตรงๆ ใครจะตัดสินใจ สมมุติถ้าผมบอกชื่อคนๆ หนึ่งไป
          นายไทกร : ก็ผมกับเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นคนตัดสินใจว่าใคร ผมเป็นคนพูดกับท่านว่ามีข้อมูลอย่างนี้ แต่ว่าเขาอายุมากแล้ว หกสิบเจ็ดแล้ว เขายอมที่จะเป็นพยาน และขอให้ท่านกับเขาเป็นพยาน แล้วเขาต้องการค่าตอบแทนเท่านี้ ท่านให้เขาไหม เออ…ก็เท่านี้ ต่อเหลือเท่านี้ได้ไหม แกก็จะบอกมา ถ้าทางนี้ว่า เอา…โอเค จบก็จบ มันก็ได้เสียกันเลย เข้าใจหรือยัง การได้เสีย ยิ่งช้า เดี๋ยวเขาก็เป็นคดีก่อน มันก็หมดราคาเลย ถ้าเขาดำเนินคดีพี่ มันทำอะไรไม่ได้นะ มันต้องก่อนที่เขาจะทำ
           ทนาย : ผมก็ถึงบอกว่า ลุง ยังไงก็ต้องรีบตัดสินใจ
          นายไทกร : มันจะข้ามคืนไม่ได้นะ เดี๋ยวมันสั่งประชุมอีก มันสั่งอีก ทำยังไงให้ดำเนินคดีพรรคที่ส่ง ตายห่าตอนนี้คนสงขลา พังงา พัทลุง ไปร้องเรียนแล้ว ก็คนประชา ธิปัตย์นี่แหละ มันร้อง มันฟ้องหมิ่นประมาทฟ้องอะไร ร่างฟ้องกันอุตลุด ถ้าเป็นคดีก่อน มันเสียนะ ลุงขายไม่ออกนะ…..
          หัวหน้าพรรค : ให้ไปคิดก่อน ยังไม่อยากระบุชื่อ บอกว่ากรรมการก็แล้วกัน
          นายไทกร : ถ้ากรรมการ ไม่ใช่ระดับใหญ่อย่างธรรมรักษ์ ราคามันก็ไม่ดีนัก
          ทนาย : ถ้าธรรมรักษ์ล่ะ
          นายไทกร : ถ้าธรรมรักษ์ ก็สองสามคดีแล้ว ก็ไม่เท่าไร เพราะมันเจอไปแล้วทั้ง แผ่นดินไทย พัฒนาชาติไทย โดยเฉพาะมันเป็นตัวเล่นใหม่ๆ ขึ้นมา ทิศทางการเมืองมันต้องดูครบวงจร
           ทนาย : ที่โดนแล้วก็มีธรรมรักษ์
          นายไทกร : ธรรมรักษ์ พงษ์ศักดิ์…มีสุดารัตน์…ไม่ถึงสุดารัตน์ มีผู้พันปุ่น, ศิธา ทิวารี มี เสธ.ไอซ์ เสธ.ผดุง
            (ข้ามไป)
          นายไทกร : คือว่าอย่างนี้ มันอย่างนี้ พี่คุยกับผม พี่ไม่ต้องกังวลว่าไม่กลัวอะไร พี่ก็ว่าไปตามนั้น คือนะ ผมก็รู้นั้น ก็ว่าพวกนี้ผมก็เอาเงินให้ใช้อยู่ ทีนี้สมมุติว่าคือถ้าจะเอาอย่างนั้นก็คุยกันอย่างนี้แหละมันถึงใคร ผมถามกรรมการ มันพูดไม่ได้ มันมีตั้งเก้าสิบเก้าคน คณะกรรมการไทยรักไทยหนัก ก็บอกหนัก มีกรรมการบริหารพรรค 99 คน คือนี่มันก็บอกว่าถึงธรรมรักษ์ เออ…จะคุยกับเลขาฯให้ เออ…คุณจะเอาอะไร เขาก็อยากจะได้พ็อคเก็ตมันนี่ติดตัวบ้างนิดๆ หน่อยๆ ให้ลูกเมีย
           ทนาย : แต่พวกนี้ เขาจะเล่นการเมือง เขาถึงเอา 4-5 แสน
           หัวหน้าพรรค : ผมอายุมากแล้ว เล่นรอบเดียวก็เสร็จแล้ว
          นายไทกร : แต่อะไรนะ เด็กผู้หญิง คนพิมพ์คอมพิวเตอร์ เขาก็ขอเงิน 2-3 แสนเท่านั้นแหละ ดาวน์รถใหม่ ก็ไม่มีอะไรมาก ที่สำคัญเขาต้องการให้ทางพรรคช่วยให้เขาหลุดจากติดคุก
          ทนาย : เจ้าหน้าที่ที่แก้ไข เขาหลุดไหม
          นายไทกร : ถ้า กกต.ไม่หลุด
          ทนาย : แล้วทนาย คณะของทนาย เขาช่วยหลุดทางไหนได้
          นายไทกร : เขาช่วยหลุด คนที่มาหาผม คือจะต้องกันไว้เป็นพยาน
            หัวหน้าพรรค : คือส่วนใหญ่ จะเป็นพวกพรรคการเมืองเลย ใช่ไหมล่ะ
          นายไทกร : ที่มากล่าวหาเขา
          ทนาย : แต่เป็นพวก กกต.
          นายไทกร : ไม่ คือคนที่เขาเข้ามาหาผม ผมก็จะส่งให้ประชาธิปัตย์ เขาก็ดูแลรับผิดชอบค่าใช้จ่ายค่าทนายสำคัญที่สุด สำคัญที่สุดเขากลัวติดคุก เขาขอไม่ติดคุกอย่างเดียวเนี่ย ที่เขากลัวที่สุด ไม่ใช่เขามาทำเพราะเรื่องเงินนะ ไอ้เงินมันเป็นค่า…น้ำใจ
           ทนาย : อายุเขายังน้อยอยู่ เขามีอนาคตนะ แต่ยังคงจะ
          นายไทกร : คือผมไม่อยากให้ลุงคิดอะไรมาก กี่ปีที่อยู่ในคุก
          หัวหน้าพรรค : ก็คือเนี่ย ก็ตัวนี้ด้วย เราก็สบายใจคือต้องบอกนะ ต้องเล่าให้ลูกเมียฟัง อายุปูนนี้แล้ว ทำอะไรให้เขาไม่รู้เรื่อง มันก็ไม่ดี
          (ข้ามไป)
          ทนาย : ถ้าไม่ทำช่วงนี้ จะไปทำช่วงไหน กระแสมันเป็นอย่างนี้
          นายไทกร : อย่างนี้ ถ้าลุงช้าไปอีก เกิดเขาไม่เอา พอแล้วไม่ช่วยแล้ว เอาแค่ 2 ราย พอ จบ
          ทนาย : พี่ไม่ได้ลงสมัคร ไม่ได้เล่นการเมืองหรือ
          นายไทกร : เคยเล่น แต่สู้ไม่ได้ ใช้เงินเยอะ
          หัวหน้าพรรค : เขตไหน
          นายไทกร : เขตบ้านนอก เขต 3, 4, 8 แต่ก่อนเคยเป็นเขต 3 เขตเดียว
          นายไทกร : ถ้าจะให้มันถึงนะ ถ้าถึงนะสวยเลย
          ทนาย : ถ้ายังไงนะ ลุงจะได้เข้าไปคุยกับทางเลขาฯประชาธิปัตย์
          นายไทกร : ได้…ได้คุยเลย
           ทนาย : ลุงก็ห่วง ลุงก็อยากจะคุยกับคนที่ตัดสินใจให้
          นายไทกร : วันนี้ ถ้าลุงบอกว่าตกลงกันได้ ผมจะโทร.หาเลย เข้าไปคุยเลย เข้าไปคุยเลย แกอยู่ถึงตี 1 ตี 2 และถ้าจะมีคนมาคุย เอาให้เร็ว เขาก็จะได้อุ้มเรา ไม่ใช้อุ้ม หมาย ถึง ไม่ใช่อุ้มไปฆ่า แต่อุ้มให้รอด ต้องไปคิดว่าให้มันถึงจริง ผมรู้ผมว่าจะไม่ถึงไม่รู้จะช่วยยังไง เขากำลังเล่นกันเฉพาะ กกต. มันไม่ถึงจะทำยังไงนะ ถ้าถึงบุญทวีศักดิ์ มันไม่ได้เรื่องเลย แล้วบุญทวีศักดิ์มันไม่บอกใช่ไหม
          นายไทกร : ต้องให้มันจบ โทร.ไปหาบุญทวีศักดิ์ มึงจะทำยังไง มีไทยรักไทยอยู่เบื้องหลัง คุยกับมัน ให้มันพูดออกมา ลุงไม่ไปหาบุญทวีศักดิ์ที่บ้านหรือ
           หัวหน้าพรรค : ก็นี่ล่ะ ก็จะไปหาทางตัวนี้
          นายไทกร : ตอนนี้ทางไปถึงที่ลุง มันไม่ไปถึงต่อ
          ทนาย : ตอนนี้ผมพูดในฐานะคนนอก ไม่ได้เล่นการเมือง ตอนนี้ประชาธิปัตย์ ต้องการให้ถึงไทยรักไทย
          ทนาย : เออ…สุดารัตน์ไม่โดน ธรรมรักษ์โดนแล้ว
          นายไทกร : คืออย่างนี้ ในไทยรักไทย ใครก็ได้ ขอให้เป็น ส.ส.ในไทยรักไทย ถ้าถึงคนใหญ่ ก็ดีกว่าคนเล็ก…แต่คุณต้องทำให้มันถึงให้ได้ และลุงต้องเก็บหลักฐานที่เขาโอนเงินให้ลุง 5,000 หรือ 10,000 ลุงต้องเตรียมหลักฐานตรงนี้มาหมดเลย ไม่อย่างนั้นลุงจะไม่มีน้ำหนัก ไอ้บุญทวีศักดิ์มันส่งเงินให้ลุงเท่าไหร่ แล้วไอ้บุญทวีศักดิ์มันบอกว่านายมันที่ชื่ออะไรในไทยรักไทย
           …………………..
 
         ที่มา AtClould.com
                 บทความ : thaksinfanclub.wordpress.com

0 comments:

Post a Comment

 
Copyright © . Yak Ratchaprasong - Posts · Comments
Theme Template by BTDesigner · Powered by Blogger