สมรภูมิแรกที่เกิดเหตุคือถนนราชดำเนิน เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553
เหตุการณ์ในคืนวันนั้น มีประชาชนและทหารเสียชีวิตรวมกันถึง 27 ราย บาดเจ็บราว 1,700 คน
จากวันนั้นก็เกิดเหตุ "ฆ่าหมู่" หรือ "ล้อมฆ่า" ประชาชน และม็อบตายเป็นใบไม้ร่วง โดยฆ่าต่อเนื่องถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ซึ่งเป็นวันที่แกนนำเสื้อเแดงประกาศสลายการชุมนุม
ร่วม 100 ศพ และบาดเจ็บหลายพันคนคือตัวเลขความสูญเสีย ที่รัฐบาลและศอฉ.ภายใต้การนำของรัฐบาลพลเรือนของนายอภิสิทธิ์ จากพรรคประชาธิปัตย์ ฝากเป็นแผลทางประวัติศาสตร์
เป็นความสูญเสียมากกว่าการชุมนุมในอดีตที่ผ่านมาทุกครั้ง
เป็นความสูญเสียมากกว่าฝีมือของรัฐบาลเผด็จการทหารเสียอีก
ปฏิบัติการขอคืนพื้นที่นับ จากวันที่ 13 มีนาคม 2553 วันแรกที่ม็อบเสื้อแดงปักหลักตั้งเวทีที่สะพานผ่านฟ้าฯ ถ.ราชดำเนิน ก่อนขยายไปยังเวทีใหญ่สี่แยกราชประสงค์
บรรดาแกนนำสลับกันขึ้นทั้ง 2 เวทีเพื่อเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ ยุบสภา โดยกล่าวหาว่ามีที่มาไม่เหมาะสม เป็นรัฐบาลที่ตั้งในค่ายทหาร ใช้หลากหลายวิธีทำให้พรรคการเมืองต้องร่วมสนับสนุนให้พรรคประชาธิปัตย์ได้ เป็นรัฐบาล ทั้งที่การเลือกตั้งพ่ายแพ้พรรคพลังประชาชน (ในขณะนั้น-ก่อนเปลี่ยนเป็นพรรคเพื่อไทย)
ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ สั่งตั้งศอฉ.ขึ้นมาเพื่อจัดการม็อบโดยเฉพาะ มี นายสุเทพ เป็นผู้อำนวยการ
ช่วงเวลาเกือบ 1 เดือนทั้ง 2 ฝ่ายแทบไม่ได้ปะทะกันรุนแรง นอกจากยื้อกันไปมาเท่านั้น
กระทั่ง วันที่ 8 เมษายน 2553 นายสุเทพ มีคำสั่งให้สถานีดาวเทียมไทยคมระงับการแพร่ภาพของสถานีโทรทัศน์พีเพิ่ล ทีวี หรือพีทีวี ซึ่งเป็นสถานีของคนเสื้อแดง ถ่ายทอดสดการชุมนุม พร้อมส่งทหารเข้าไปควบคุม
ทำให้วันที่ 9 เมษายน ม็อบเดินทางไปยังสถานีไทยคม ที่อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี เพื่อให้เปิดสัญญาณถ่ายทอดอีกครั้ง
กระทั่งปะทะกับทหารแต่ไม่มีความสูญเสียเกิดขึ้น
แต่ จากจุดนี้เองทำให้นายอภิสิทธิ์ แสดงความไม่พอใจว่าม็อบท้าทายกฎหมาย และวันที่ 10 เมษายน คำสั่งสลายม็อบราชดำเนิน ที่ออกมาในวลีเท่ๆ ว่า ′ขอคืนพื้นที่′ ก็ออกมาจากศอฉ.
โดย ช่วงสายวันที่ 10 เมษายน แกนนำเสื้อแดงทราบการข่าวว่ารัฐบาลสั่งสลายม็อบที่ราชดำเนิน จึงระดมม็อบที่ราชประสงค์เดินทางไปสมทบเพื่อช่วยเหลือกรณีที่เกิดเหตุรุนแรง ขึ้น
แกนนำรวมตัวกันที่พระบรมรูปทรงม้า ก่อนเคลื่อนไปยังหน้ากองทัพภาคที่ 1 หลังพบว่ามีหน่วยกำลังเตรียมพร้อมอยู่ภายใน และคาดว่าเป็นทีมสลายม็อบ
13.00 น. เกิดเผชิญหน้ากันครั้งแรกเมื่อม็อบพร้อมรถบรรทุกไปปิดด้านหน้ากองทัพภาคที่ 1 ป้องกันทหารเคลื่อนกำลังออกมา
แม้จะสามารถสกัดกั้นไว้ได้ แต่เป็นเวลาสั้นๆ เท่านั้น
ทหารเคลื่อนพลล้อมกรอบราว ครึ่งชั่วโมงต่อมาทหาร 3 หน่วยปฏิบัติการล้อมกรอบผู้ชุมนุม เริ่มจากทหารในกองทัพภาคที่ 1 เคลื่อนกำลังออกมาทางถ.ศรีอยุธยา ซึ่งจุดนี้มีม็อบอยู่ราว 500 คน
แก๊สน้ำตา กระสุนยาง และน้ำ ระดมฉีดเข้าใส่ ขณะที่ทหารตั้งแต่ผลักดันม็อบจนถอยร่น จนทหารเข้ายึดพื้นที่บริเวณพระบรมรูปทรงม้าได้สำเร็จ จากนั้นก็ผลักดันผู้ชุมนุมออกไปอีก
ขณะเดียวกันมีกำลังทหารจาก ถ.พิษณุโลก และแยกวังแดง เดินหน้าบีบผู้ชุมนุมที่กระจัดกระจายอยู่ให้มารวมกันที่เวทีสะพานผ่านฟ้าฯ และแยกคอกวัว โดยรอบๆ ทั้งถนนดินสอ และถนนตะนาว มีทหารเข้ายึดครองได้หมด
ตามแผนคือให้ผู้ชุมนุมมารวมที่สะพานผ่านฟ้าฯ ก่อนผลักดันให้ออกไปทางถนนหลานหลวง โดยมีเฮลิคอปเตอร์บินโปรยแก๊สน้ำตาสลายผู้ชุมนุม
ทหาร และผู้ชุมนุมปะทะกันเป็นระยะๆ จนถึงตอนเย็น เจ้าหน้าที่เริ่มใช้อาวุธจริงยิงขู่ขึ้นฟ้า จนเมื่อการปะทะหนักหน่วงขึ้นบวกกับม็อบจากราชประสงค์เดินทางมาสมทบ
แสง แดดเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ อากาศขมุกขมัวลง ทั้งนักวิชาการหรือผู้เกี่ยวข้องออกมาเตือนรัฐบาลผ่านทางสถานีโทรทัศน์ต่างๆ ให้ยุติการสลายม็อบไว้ก่อน เนื่องจากบรรยากาศเริ่มมืดลงเรื่อยๆ การสลายม็อบในเวลานี้ สุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียหรือมี ′มือที่ 3′ เข้ามาร่วมสร้างสถานการณ์
ทางออกดีที่สุดคือถอยกลับที่ตั้งรอรุ่งเช้าค่อยตัดสินใจอีกครั้ง
แต่ศอฉ.โฆษกออกแถลงการณ์ยืนยันว่า ต้องเดินหน้าลุยปราบต่อไปไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหนก็ตาม!!!
แล้วสถานการณ์ก็เป็นดังที่ทุกฝ่ายเตือน ในช่วงค่ำเกิดความอลหม่าน เสียงปืนระเบิดดังระงม
ศพแรกๆ ที่เกิดความสูญเสียคือ นายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพรอยเตอร์ ชาวญี่ปุ่น ถูกยิงตายบริเวณจุดปะทะถนนดินสอ
จาก พยานหลักฐานต่างๆ เชื่อว่าตายโดนเจ้าหน้าที่รัฐ เนื่องจากช่วงเกิดเหตุนายมูราโมโตะ ที่ตอนแรกอยู่ในแนวทหาร ถือกล้องเดินข้ามฝั่งมาถ่ายภาพบริเวณม็อบ จนเมื่อหันกล้องกลับไปแนวเจ้าหน้าที่ก็ถูกกระสุนความเร็วสูงยิงเจาะเข้าร่าง
ผู้ชุมนุมช่วยกันอุ้มนายมูราโมโตะ ออกจากจุดปะทะส่งโรงพยาบาล แต่ก็ช่วยชีวิตไว้ไม่ได้
การ ปะทะระหว่างทหารกับม็อบมีผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่ง และบาดเจ็บหลักร้อยคน โดยทหารไม่สามารถผลักดันม็อบออกจากพื้นที่ตามที่ตั้งเป้าเอาไว้
ทั้งทหาร-ม็อบสังเวยหลังศอฉ.มีคำสั่งให้ทหารเดินหน้าลุยปราบม็อบโดยไม่สนใจคำเตือน สถานการณ์ยิ่งรุนแรงมากขึ้นและชุลมุนขึ้นเพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
ตัวเลขความสูญเสียมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ม็อบก็เสริมกำลังเข้ามาเรื่อยๆ เช่นกัน
มีรายงานว่าในศอฉ.เองก็เคร่งเครียด เพราะตัวเลขที่ได้รับรายงานมีประชาชนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
แกนนำม็อบประกาศไล่ผู้นำมือเปื้อนเลือดออกนอกประเทศ
การ ปะทะเกิดขึ้นหลายจุดทั้งแยกคอกวัว ถนนดินสอ แยกจปร. จนราว 2 ทุ่ม นายอภิสิทธิ์มีคำสั่งให้ถอนกำลัง หลังควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ เพราะยิ่งฆ่า ม็อบก็ยิ่งเข้ามาเสริมเยอะขึ้นเรื่อยๆ
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกฯ ได้รับคำสั่งไปประสานกับแกนนำม็อบขอหย่าศึกครั้งนี้
มี รายงานว่าถึงตอนนี้ในศอฉ.เต็มไปด้วยความตึงเครียด เพราะประชาชนสูญเสียมากเกินไป และในอดีตที่ผ่านมาไม่เคยมีรัฐบาลไหนสามารถอยู่ได้หากมือเปื้อนเลือดประชาชน
แต่ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ทหารก็สูญเสียด้วย
จากกรณีเกิดเหตุปะทะกันที่หน้าโรงเรียนสตรีวิทย์ และมีเอ็ม 79 ยิงถล่มเข้าไปภายในโรงเรียน ตกใส่เต็นท์บัญชาการของทหาร
พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รองเสธ.พล.ร.2 รอ. แม่ทัพใหญ่ในปฏิบัติการนี้เสียชีวิต และมีทหารบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง!!!
ขณะเดียวกันสื่อทีวีเริ่มแพร่ภาพคนสวมชุดดำ ใส่หมวกไอ้โม่งถือปืนอยู่ในม็อบและอยู่ในเหตุการณ์ปะทะ
แม้ การตายของนายทหารระดับสูง นับเป็นความสูญเสียของกองทัพและประเทศชาติอย่างน่าเสียดาย แต่สำหรับบางคนแล้ว ในสถานการณ์ที่กำลังจนแต้ม กลับสามารถใช้การตายครั้งนี้พลิกสถานการณ์จากที่เป็นรอง ขึ้นมาหาความชอบธรรมได้ทันที
มันสมองระดับสามารถประดิษฐ์คำพูดชวนฟัง ทำให้หยิบการตายของพ.อ.ร่มเกล้า และภาพชายชุดดำขึ้นมาใช้ได้ทันทีทันใด
ม็อบก่อการร้ายมีอาวุธสงคราม และชายชุดดำ เป็นข้ออ้างเอาตัวรอดได้อย่างฉิวเฉียดคนชุดดำ-ไร้ตัวตนการ เสียชีวิตของ พ.อ.ร่มเกล้า และภาพคนชุดดำ กลายเป็นข้อตอบโต้ของรัฐบาลและศอฉ. ในทำนองว่าม็อบมีอาวุธร้ายแรง และคนชุดดำคือฆาตกรที่ฆ่าประชาชน!!!
รัฐบาลใช้กรณีนี้สร้างความชอบธรรมอยู่ในอำนาจต่อไป
ขณะที่ปั่นกระแสเรื่องม็อบมีอาวุธร้ายแรง เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการตายของม็อบทีละศพ สองศพ หรือมากกว่านั้น
จาก วันที่ 10 เมษายน จนถึงวันที่ 19 พฤษภาคม คนเริ่มตายมากขึ้นเรื่อยๆ โดยฝีมือของสไนเปอร์ แต่รัฐบาลและศอฉ.อ้างว่าเป็นฝีมือของชายชุดดำเช่นเดิม
ก่อนที่รัฐบาลจะส่งทหารเข้าปิดล้อมและสลายม็อบราชประสงค์ พร้อมคำพูดใหม่อีกว่า ′กระชับพื้นที่′
ทำให้แกนนำตัดสินใจยุติการชุมนุม และเดินทางเข้ามอบตัว ก่อนเกิดเหตุเผาสถานที่ต่างๆในกรุงเทพฯ
รัฐบาล และนักการเมืองผู้เชี่ยวชาญการ ′พูด′ นำเหตุการณ์เผามาเหมารวมว่ารัฐบาลต้องปราบปรามอย่างรุนแรง เพื่อหยุดยั้งการเผาบ้านเผาเมือง
ทั้งๆ ที่การเผาเกิดขึ้นในวันสุดท้ายของการชุมนุม และเกิดขึ้นในตอนเย็นหลังจากม็อบสลายไปหมดแล้ว
รัฐบาลระบุว่าทหารได้รับคำสั่งให้ยิงระดับต่ำกว่าหัวเข่า และไม่ให้ฆ่าประชาชนที่ไม่มีอาวุธ
เกือบ 100 ศพ และบาดเจ็บอีกหลายพัน ถูกโยนว่าเป็นฝีมือของคนชุดดำทั้งสิ้น
ขณะที่คนตายถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย
คน ชุดดำที่เป็นฆาตกรตามที่รัฐบาลกล่าวหา แต่หลังเหตุการณ์สงบลงและรัฐบาลประชาธิปัตย์ครองอำนาจอีกนานนับปี ไม่มีคนชุดดำสักรายที่ถูกจับกุม หรือหาที่มาที่ไปไม่ได้
มีเพียงภาพถ่าย หรือภาพเคลื่อนไหวคนชุดดำถือปืน และยิงไปในจุดต่างๆ แต่ไม่มีหลักฐานใดๆ ระบุว่าเกือบ 100 ศพเป็นฝีมือชายชุดดำ
ใน ทางกลับกัน มีภาพและพยานหลักฐานมากมายยืนยันชัดเจนว่าผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ตายโดยฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาลและศอฉ.
ตอนนี้คดีส่วนหนึ่งส่งขึ้นสู่การพิจารณาชั้นศาล เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิตทุกราย
ที่มา นสพ.ข่าวสด วันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2555
0 comments:
Post a Comment