Sunday, July 7, 2013

"3 สเต็ป" เผด็จศึกรัฐบาล


โดย...ชุษณ์วัฏ ตันวานิช/ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์ / ภาพ...กิจจา อภิชนรจเรข      
ระส่ำแสนสาหัสไปทั้งพรรคเพื่อไทย หลังคลอดคณะรัฐมนตรี (ครม.) “ปู5” เล่นเอาคลื่นลมในพรรคเดียวกันถาโถมไม่ยั้ง หนึ่งในนั้น คือ จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ผลการปรับ ครม.ครั้งนี้ เขาใช้ยุทธศาสตร์ยิ้ม นิ่ง สงบ สยบความเคลื่อนไหว แต่ไม่วายออกแรงเขย่ารัฐบาลแบบเบาๆ ว่า เสี่ยงสะดุดขาตัวเองล้มเพราะปมการทุจริตคอร์รัปชัน
จตุพร เปิดใจกับ "โพสต์ทูเดย์" ถึงซากกระแสข่าวการปรับทัพรัฐมนตรีที่ยังตกค้าง โดยยอมรับว่า ทราบดีถึงบุคลิกเฉพาะตัวที่ทุกฝ่ายประเมินว่าเป็นคนแข็งกร้าว ไม่ประนีประนอม โดยหลายคนอาจประเมินจากเพียงเวทีปราศรัยและการอภิปรายในเวทีสภา ทั้งนี้จึงไม่แปลกใจศัตรูจะมีท่าทีเกรงกลัว แต่ประหลาดใจกับฝ่ายเดียวกันมากกว่าที่มีทีท่าหวาดกลัวตามศัตรูไปด้วย
"ผมเข้าใจสถานการณ์นี้ดี ผมมาเจอคดีเพิ่มเติมหนักหลังจากช่วงสลายการชุมนุม แต่ผมต้องรบกันจนกว่าศัตรูจะกลัว แต่ท้ายที่สุดฝ่ายตัวเองกลับมาดูว่าศัตรูกลัวอะไร และก็กลัวตามศัตรูไปด้วย ผมเวลาไปรบก็รบจริง และไม่สนใจชีวิต เพราะรบจริงมีบาดแผลเต็มหมดกว่า 40 แผล 40 คดี แต่เวลาที่มารับรางวัล นักรบมีแผลถือไม้เท้ามา ต้องไปอยู่หลังสุดเพราะหน้าช้ำ บาดแผลเต็มไปหมด แต่พวกห้องแอร์หน้านวล หน้าขาว ก็ออกมาอยู่ข้างหน้า ในโลกความจริงมันเป็นแบบนี้ เพราะเวลาไปต่อสู้ รบเก่งเพียงไหนก็ต้องมีบาดแผล ไม่ว่าใครก็ตามในโลกนี้ ไม่มีใครนักรบเก่งสุดแล้วไม่มีจุดพลาด " 
...ผมมีถึง 40 คดี ใหญ่สุดคือก่อการร้าย โทษประหารชีวิต ที่เหลือเป็นหมิ่นประมาท ชนะแพ้กับอภิสิทธิ์ไปคนละครึ่ง จากเดิม 40 กว่าคดี ค่อยๆ ทยอยแกะจนเหลือ 10 กว่าคดี แต่ความจริงผมเคยบอกไปว่าพิจารณาคดีโทษประหารก่อนคดีเดียวไม่ดีกว่าหรือ เพราะประหารชีวิตไปแล้วจะได้ไม่ต้องเสียเวลา” แกนนำ 'ตู่' ว่าพลางหัวเราะร่วน ก่อนย้ำว่า “จริงๆ ผมได้บอกไปแล้วว่าจากนี้ผมจะไม่มีชื่อเป็นรัฐมนตรี และประกาศแล้วว่าเลิกคิดไปแล้วว่าจะได้เป็น เพราะใครที่คิดว่ายังจะได้เป็นทั้งที่ไม่ได้เป็นมา 5 ครั้ง และคนนั้นยังมีความหวังที่จะได้เป็นอยู่ก็ถือว่าเป็นคนไม่ปกติแล้ว”   
“อันที่จริงตอนนี้ส่วนตัวอยากปลีกวิเวกแล้ว แต่ผมยังมีภารกิจทั้งเรื่องคนเจ็บ คนตาย คนถูกขัง การต่อสู้ที่ผ่านมาพูดได้ว่าไม่สามารถทิ้งภารกิจได้ ต้องรักษาหัวใจญาติพี่น้องที่ตาย บาดเจ็บ และช่วยคนที่ถูกคุมขังให้ออกมาให้ได้ ท้ายที่สุดผมเองก็ต้องยอมรับสภาพนี้ เพราะอันที่จริงเป็นรัฐมนตรีหรือไม่ได้เป็น ไม่มีความสำคัญกับผม เพราะอดีตรัฐมนตรีในพรรคมันเยอะจนเดินชนกันไปหมด ตั้งแต่ไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทย ผมก็เห็นเขาปกติกันดี เพียงแต่ไม่มีรถนำมาเท่านั้นเอง และเวลาผมลงพื้นที่ประชาชนก็มารับเต็มไปหมด ไม่มีอะไรแตกต่าง” แกนนำ นปช.ยืนยันสภาพจิตใจอันเป็นปกติ      
แม้ไม่มีตำแหน่งแห่งที่ในฝ่ายบริหาร แต่ จตุพร วิเคราะห์พร้อมประเมินสัญญาณวิกฤตของรัฐบาลเวลานี้อย่างน่าสนใจ โดยมองว่าการที่รัฐบาลพยายามผลักดันร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ 2 ล้านล้านบาท และร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 ขึ้นมาพิจารณาก่อนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมนักโทษการเมืองของ วรชัย เหมะ สส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทยนั้น จะเป็นทางเดินที่ผิดพลาด เพราะเท่ากับเห็นเงินสำคัญกว่าประชาชน ทั้งที่รัฐบาลกำลังไม่ทราบสถานการณ์ตัวเองว่าอาจอยู่ไม่ทันใช้เงินในร่างกฎหมายที่กำลังดิ้นรนขับเคลื่อนเลื่อนวาระมาก่อนร่าง พ.ร.บ.ที่ช่วยประชาชนออกจากคุก      
“ถ้าเห็นแก่เงินก่อนจะไม่ได้คนและเมื่อไม่ได้คนจะไม่ได้ใช้เงินด้วย หลังจากโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาทโดนสอยแล้ว ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2ล้านล้านกำลังจะโดนสอยต่อ ทั้ง 2 ร่างนี้ รวมทั้งร่างกฎหมายงบประมาณรายจ่ายกว่า 2.5 ล้านล้านบาท จะทำให้รัฐบาลถือเงินกว่า 5 ล้านล้าน ถามว่าฝ่ายตรงข้ามจะยอมให้รัฐบาลได้เงิน 5 ล้านล้านหรือ เพราะนั่นหมายความว่ารัฐบาลกำลังได้งบประมาณซื้อความนิยมจากประชาชน และส่อเค้าว่าจะอยู่ยาว เพราะฉะนั้นทุกแวดวงที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลจะต้องหยุดโครงการให้ได้"
เขาบอกว่า อันที่จริงนี่รัฐบาลควรจะโดนศาลปกครองวินิจฉัย ตั้งแต่เมื่อครั้งรัฐบาลเตรียมเลือกเส้นทางทำประชามติผ่าทางตันวิกฤตแก้ไขรัฐธรรมนูญ 
“คณะทำงานศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญที่วิปรัฐบาลตั้งมีมติให้เดินหน้าโหวตวาระสาม แต่ดันมีบุคคลหนึ่งมาพูดและเสนอกับแกนนำว่าให้ทำประชามติเถิด บ้านเมืองจะได้สงบ นายกฯ ทักษิณ (ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) ได้ฟังก็เกิดความเชื่อ เลยสอบถามกระทรวงมหาดไทยว่า 24 ล้านทำได้ไหม แล้วใครจะกล้าตอบนายกฯ ทักษิณว่าทำไม่ได้ เพราะหากทำไม่ได้เขาก็จะหาคนอื่นมาทำแทน
..ผมก็ร้องขอพรรคพวกที่ทำหน้าที่ดูแลมหาดไทยถามย้ำว่าทำได้หรือไม่ ทุกคนก็รู้ว่า 24 ล้านเสียงไม่มีทางทำได้ แต่ที่ทุกคนไม่กล้าตอบว่าทำไม่ได้ เพราะกลัวจะมีคนอื่นอาสาว่าทำได้ อีกทั้งเรื่องนี้มันจะไปตายที่ศาลปกครองเพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 165 ห้ามทำประชามติในประเด็นที่ขัดหรือแย้งกันเองกับรัฐธรรมนูญ และหลักการทำประชามติในรัฐธรรมนูญยังขัดกับร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติด้วย พรรคพวกในศาลปกครองก็แจ้งผมมาเลยว่า ถ้าส่งเรื่องนี้มาตาย 100% แต่ท่านนายกฯ ทักษิณและแกนนำคนอื่นยังเชื่อว่าจะทำได้ พอท่านเชื่อคนอื่นก็ไม่มีใครกล้าพูดซักคน แต่ผมกล้า ผมไปปราศรัยที่โบนันซ่าคัดค้านเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ในที่สุดรัฐบาลก็ประเมินความเสี่ยงจนถอยการลงประชามติ สุดท้ายจึงส่งเรื่องให้มหาวิทยาลัยศึกษา มิฉะนั้นวันนี้ก็มีสภาพเหมือนโครงการบริหารจัดการน้ำไปแล้ว”  

จตุพร ย้ำอีกว่า  “ร่างกฎหมายของรัฐบาลรวมเงินแล้ว 5 ล้านล้านบาท ไม่มีนักการเมืองและฝ่ายตรงข้ามกล้าให้พรรคเพื่อไทยถือเงินจำนวนมหึมาขนาดนี้แน่นอน เพราะฉะนั้นเขาก็ยิ่งอยากที่จะโค่นล้ม ถามว่าจะล้มอย่างไรก็รัฐธรรมนูญปี 50 เหมือนใยแมงมุมที่ต่อเนื่องกัน ศาลปกครองวินิจฉัยให้ทำประชามติกับอีไอเอ (ศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม) ก่อนทำสัญญา แต่ปรากฏว่าไปดำเนินการประมูลก่อนจะทำประชาพิจารณ์ก็ผิดรัฐธรรมนูญแล้ว เพราะฉะนั้นดาบก็จะไปอยู่ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) และพรรคประชาธิปัตย์รับลูกเดินหน้าถอดถอน  เพราะฉะนั้นเมื่อ ปปช.ชี้มูลแล้ว “ครม.ยิ่งลักษณ์ 2” ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าใน ครม.เดิมยังเหลือใครบ้าง แต่ยังเหลือนายกฯ ยิ่งลักษณ์ แน่นอนก็ต้องถูกยุติการปฏิบัติหน้าที่นายกฯ”
จตุพร ชี้ว่า โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาทถูกสังเวยเป็นอันดับแรก คิวต่อมาคาดว่าร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านจะต้องประสบชะตากรรมเดียวกัน          
“อ.คณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) เขาเลือกจังหวะที่สอดคล้องต้องกันกับสถานการณ์ของรัฐบาลในเวลานี้ ที่ออกมาบอกว่าร่างพ.ร.บ.2 ล้านล้านส่อขัดรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกันด้านพรรคประชาธิปัตย์คดีก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเล็งเห็นผลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (อดีตนายกฯ) และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ (อดีตรองนายกฯ) ที่ศาลทยอยตัดสินว่าทุกคดีความตายเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่โดยคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน  (ศอฉ.) นั้นแสดงว่าทุกคนก็เดิมพันชีวิตกันแล้ว ยิ่งทำให้เกมนี้ฝ่ายค้านต้องยิ่งแก้เกมให้เร็วขึ้น และยิ่งนายอภิสิทธิ์ซึ่งถูกคดีเรื่องหนีทหารและใช้หลักฐานอันเป็นเท็จ หากการเลือกตั้งครั้งหน้าเขาไม่สามารถสมัคร สส.ได้ ก็ยิ่งเป็นปัจจัยเร่งในทางการเมืองให้เขาต้องปรับกลยุทธ์โจมตีรัฐบาลมากยิ่งขึ้น 
“ในทางการเมืองเขาก็ต้องตัดสินใจแล้ว ประชาธิปัตย์เองก็ต้องปรับยุทธวิธีตลอดเดือน ก.ค. ก่อน ส.ค.เขาก็จัดชุมนุมทุกวันเสาร์ ล็อกเป้าพื้นที่ใน กทม. ขณะที่วันศุกร์ไทยสปริงก็จะรับเป็นชุดทำงานที่ให้ข้อมูล ไล่เรียงเหตุการณ์ต่างๆ อย่างเป็นระบบเอาไปขยายในเว็บไซต์ ทีวีดาวเทียมช่องบลูสกาย และทีนิวส์อย่างเป็นระบบ กลุ่มหน้ากากขาวที่บอกว่ายุติชุมนุมสุดท้ายก็กลับมาชุมนุมใหม่ในวันอาทิตย์ เป้าหมายในทางการข่าวผมนะ สุดท้ายพวกเขาจะใช้คนไม่ต่ำกว่า 2 แสนคน เมื่อถึงวันนั้นวันที่เขาจะดีเดย์บิวท์สถานการณ์ให้องค์กรอิสระเชือดรัฐบาลให้มากที่สุด
...ดังนั้นเขาใช้คนขนาดนี้ แสดงว่าหวังผลแล้ว องค์กรอิสระต่างๆ ซึ่งเป็นผลพวงของรัฐประหารนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อประชาธิปัตย์ทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงเตรียมการสร้างบรรยากาศภายนอก เหมือนกับยึดสนามบิน ยึดทำเนียบ เมื่อครั้งนายสมัคร (สุนทรเวช อดีตนายกฯ) และนายสมชาย (วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ) ถูกลงดาบ หรือแม้กระทั่งการนัดหมายชุมนุมเพื่อให้เกิดการปะทะกันที่กลุ่มพันธมิตรฯ นัดหมายชุมนุมวันที่ 20 ก.ย.ปี 2549 พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน บอกว่า ถ้าไม่ยึดอำนาจก่อนคนไทยจะมาฆ่ากัน เห็นไหม! ทุกอย่างพัฒนาเงื่อนไขกันไปทั้งหมด
แกนนำ นปช.รายนี้ กล่าวด้วยว่า พรรคประชาธิปัตย์กำลังเดินตามรอยคนเสื้อแดง เห็นจากการที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ บอกเองว่าบนดินและใต้ดินขณะนี้ต้องพร้อมทุกรูปแบบ ประชาธิปัตย์ได้บทเรียนจากคนเสื้อแดง คือ วิธีการของคนเสื้อแดงจะต้องไปทำความคิดกับประชาชนก่อน ทั้งการตั้งเวทีปราศรัย และเดินสายถ่ายทอดผ่านรายการโทรทัศน์ เพราะนั้นประชาธิปัตย์เลยทำบ้าง รายการผ่าความจริง 2 ปีที่ผ่านมาร่วมร้อยครั้งของประชาธิปัตย์ เขาเดินทางไปทำความคิดกับประชาชนเหมือนกับคนเสื้อแดง พูดง่ายๆ ว่าเขาเตรียมความพร้อมที่จะนัดวันเวลาไว้อย่างดี  
“สุเทพบอกเสมอว่าไม่ได้แพ้พรรคเพื่อไทย แต่แพ้กระบวนการคนเสื้อแดง เขาจึงเล่นวิธีการบนดินใต้ดินตลอด เรามีทีวี เขาก็มีแล้ว ก็ทั้งบลูสกาย ทั้งทีนิวส์ เวลานี้ปรับคุณภาพไปในทิศทางเดียวกันรองรับสถานการณ์เอาไว้หมด ส่วนเอเอสทีวีนั้นเขาก็ยืนพื้นอยู่แล้ว เห็นไหมเขา เอาแกนนำมา เอาประชาชนมาเหมือนกันทุกอย่าง ถ้าเขาเอามาได้ 2 แสนคน เขาไม่ต้องกวักมือเรียกทหารเลย เพราะองค์กรอิสระต่างๆ มันรอประหารอยู่แล้วทั้งนั้น เพียงแต่รอให้สถานการณ์สุกงอม ต้องรอให้มีบรรยากาศภายนอกที่ประชาชนเห็นว่ารัฐบาลทุจริตจริง องค์กรอิสระจึงจะลงมือ 
...เหมือนกับทั้งปี 2549 และปี 2551 ไม่ได้ต่างกัน แต่ครั้งนี้เขามีบทเรียน เขาเคยมีอำนาจองค์กรอิสระทุกอย่าง แต่ที่เขาขาด คือ ประชาชน เพราะฉะนั้นเขาตามรอยนี้ จึงต้องใช้กลวิธีในการดึงประชาชนออกมา เมื่อบิวท์ให้องค์กรอิสระเชือดรัฐบาลสำเร็จ นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ จากนั้นจะตามด้วยศาลรัฐธรรมนูญฟัน 312 สส.สว.กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา 68 จนในที่สุดก็ไม่แคล้วต้องเกิดสุญญากาศทางการเมือง
“ก้าวแรกปลุกม็อบสำเร็จ เปิดทางสร้างบรรยากาศให้ก้าวที่ 2 ตามมา คือ องค์กรอิสระลงดาบรัฐบาลและผู้แทนราษฎร ทำให้เกิดภาวะสุญญากาศ...และเวลานั้นทหารจะออกมา”
 


อย่ากลัวศัตรูจนทำลายมิตร!     
แม้ประเมินทิศทางมรสุมเริ่มก่อเมฆตั้งเค้าหาจังหวะรอรุมเร้ารัฐบาลถึงเพียงนี้ แต่ จตุพร ชี้ว่า ขณะนี้รัฐบาลกลับยังเลือกยุทธศาสตร์เกรงกลัวศัตรู แต่กลับมาลดทอนกำลังใจฝ่ายแนวร่วมเดียวกัน เพราะข้อเรียกร้องของเสื้อแดงทุกครั้ง รัฐบาลไม่เคยสนองนโยบายแม้แต่ข้อเดียว           
“ตั้งแต่ตั้งรัฐบาลมา หัวข้อในการเรียกร้องของคนเสื้อเเดงยังไม่ได้แม้แต่เรื่องเดียว ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การยอมรับเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ และการนิรโทษกรรมประชาชน ผมเตือนแกนนำทุกครั้งว่า คนเสื้อแดงเขาไม่ได้มาหลงกับรูป รส กลิ่นเสียงของมนุษย์คนไหน แต่ที่เขามาร่วมด้วยเพราะหลักการอุดมการณ์เดียวกัน ถ้าผิดหลักอุดมการณ์นั้นไม่ว่าอะไรก็ตาม เขาไม่พร้อมที่จะเดินทางด้วย คนเสื้อแดงเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะฉะนั้นรัฐต้องอย่าทรยศประชาชน” 
“วันนี้ฝ่ายองค์กรอิสระเขาต้องการอุณหภูมิที่พอเหมาะ ซึ่งประชาธิปัตย์และม็อบส่วนต่างๆ เขากำลังดำเนินการบิวท์กันอยู่เพื่อนำไปสู่สถานการณ์นั้น ทั้งผู้นำผู้แทนของเราเวลานี้เป็นตัวประกันทั้งใน ปปช.และศาลรัฐธรรมนูญอยู่ที่เขาเลือกเวลาเมื่อไรเท่านั้นเอง พูดง่ายๆ ว่า หากรัฐยังไม่แก้ปัญหาของเสื้อแดง ภูมิต้านทานของรัฐเองจะเป็นปัญหา
...ผมพูดเตือนสติเสมอว่า เสื้อแดงไม่ใช่ของตายของพรรคเพื่อไทย รัฐบาลต้องบริหารงานเพื่อทุกคนทุกฝ่าย ตรงนี้เห็นด้วย แต่เวลาเสื้อแดงเสนออะไร เขาไม่ได้ขอเพื่อคนเสื้อแดง แต่ขอให้มาตรฐานที่เป็นธรรมสำหรับทุกคน นิรโทษประชาชนทุกฝ่าย เขามีวุฒิภาวะทางการเมือง แต่การที่ไปละเลยแนวร่วมตัวเองแล้วบอกว่า คุณอยู่ได้เพราะกองทัพ อยู่ได้เพราะองค์ประกอบอย่างอื่น จะเป็นการที่คิดผิดที่สุด เพราะรัฐบาลได้ดีอยู่ทุกวันนี้ เพราะมีกระบวนการประชาชนคนเสื้อแดงเป็นหลังพิงให้ 
...ผมจึงเสนอว่าการนิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนยกเว้นแกนนำ พรรคประชาธิปัตย์ เเละพันธมิตรฯ จะค้านยากในประเด็นแบบนี้เพราะนิรโทษเฉพาะประชาชน แต่ถ้าร่างปรองดองนิรโทษทั้งหมดรวมเเกนนำเขามีสิทธิคัดค้าน แต่ถ้าเป็นเรื่องประชาชน ถามว่าคุณจะปล่อยให้ประชาชนยึดสนามบินถูกข้อหาประหารชีวิตเหมือนคุณไหม หรือประชาชนที่ยึดทำเนียบรัฐบาลถูกดำเนินคดีเหมือนคุณ จะยอมรับได้ไหม  ทำไมไม่ปล่อยประชาชนแล้วเหลือแกนนำเอาไว้ ผมเองชัดเจนว่าไม่เอานิรโทษ อภิสิทธิ์ สุเทพ สนธิและพวก และพวกผมเองก็ไม่รับสิทธิเช่นกัน แต่ที่เหลือเป็นประชาชนต้องปล่อยไป เป็นน้ำหนักที่อธิบายได้ว่าไม่ได้ทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ได้ล้างผิด เพราะความขัดแย้งคือแกนนำ แต่ที่เหลือถือเป็นองคาพยพที่ต้องปล่อยไป คือ ประชาชน”
“ดังนั้นร่างนิรโทษที่บรรจุในวาระแรกต้องไม่เลื่อนวาระอื่นขึ้นมาแทนที่ ไปรีบเรื่องเงินก็ไม่ได้ใช้ โครงการ 3.5 แสนล้านบาทก็เห็นอยู่แล้ว ร่าง 2 ล้านๆ ก็จ่อว่าจะไม่ได้ใช้อีก พระก็สอนไว้เอาตังค์ใส่ปาก พอเผาเสร็จ ตังค์ก็ยังอยู่ในเมรุ ดังนั้นคุณต้องเอาใจประชาชนมากกว่าที่จะเอาเงิน อย่าเห็นเงินมากกว่าหัวใจประชาชน เพราะไม่ใช่คนเสื้อแดงกว่า 20 คนที่ถูกคุมขัง แต่เป็นคนเสื้อแดงอีกนับสิบล้านคนภายนอก เขามองเข้ามาว่า รัฐบาลมีหัวใจให้เขาหรือไม่ เพราะเขารู้ว่าพอมีเหตุ เขามาตายแทน มาเจ็บแทน มาติดคุกแทน แต่ถ้าสุดท้ายไม่มีหัวใจต่อเขา ผมเชื่อว่าต่อไปคนจะไม่ออกมาปกป้องรัฐบาล เขาพร้อมที่จะเสียใจหากรัฐบาลจะเป็นอะไรไป แต่นอนร่ำไห้อยู่ในบ้านด้วยความเจ็บปวด ไม่ออกมาปกป้อง
และหากรัฐบาลคิดจะจัดตั้งมวลชนนั้นเป็นไปไม่ได้ ผมเคยบอกท่านนายกฯ ทักษิณว่าท่านอย่าเอาสตางค์มานำนะ เพราะถ้าเอาสตางค์นำจะไม่ได้คนจริงในการต่อสู้ เสื้อแดงมีเป็นพันๆ กลุ่มทั้งประเทศ ต้องบริหารทางความรู้สึก และต้องยึดหลักการให้แน่น เพราะเราเคลื่อนไหวโดยหลักเสรี หากต่อไปมีการจัดตั้งคนจริง คนเหล่านั้นอาจจะออกมา แต่แน่นอนว่าย่อมไม่มีพลังเหมือนคนเสื้อแดงที่มาด้วยใจ”  แกนนำสายเลือดแดงวัย 48 ปีเตือนรัฐบาลทิ้งท้าย    

เจ็บหลัง แต่ไม่เจ็บใจ
ฝ่าฟันศึกสงครามในสมรภูมิการเมืองจนได้ชื่อว่าเป็น “นักรบเบอร์หนึ่ง” ของ นปช.แต่เมื่อพลาดหวังจากการปรับ ครม.ปู 5 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ ธิดา ถาวรเศรษฐ แม่ทัพใหญ่ยินดีสละเก้าอี้ประธานแกนนำเสื้อแดงให้ดำรงตำแหน่งแทน ก่อน ธิดา หมดวาระในเดือน ก.พ.ปี 2557 แต่ จตุพร ยืนยันว่า สภาพร่างกายนาทีไม่พร้อมรับเก้าอี้อันมีภาระแสนหนักอึ้ง
40 เม็ด! คือ จำนวนเม็ดยาที่แกนนำ นปช.รายนี้ต้องกินต่อวัน เพี่อรักษาอาการ “หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท” จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ใน จ.นครราชสีมา ระหว่างเดินทางเข้าร่วมงานทอดกฐินและเวทีปราศรัยที่ จ.บุรีรัมย์หลายเดือนก่อน       
“หลังจากรถชนกระแทกตอนแรก จนตัวเอนไปข้างหลัง ผมไม่รู้สึกอะไร แต่อาการมาออก  2 เดือนหลังจากนั้น มีเลือดคั่งที่แขน ปวดมาก ต่อมาอาการที่หลังเริ่มกำเริบนั่งเฉยๆ ไม่ได้ ต้องนั่งแล้วยืนบ่อยๆ จัดรายการชูธง (สถานีโทรทัศน์เอเชียอัพเดท ) ผมต้องนั่งทีทนจนถึงช่วงเบรกจึงต้องลุกที ในที่สุดผมหยุดออกรายการไปช่วงหนึ่ง เปลี่ยนเป็นนอนโฟนอินเสียงเข้ารายการที่บ้าน”
จตุพร เล่าว่า ได้ปรึกษาทั้งแพทย์แผนไทยที่ น.พ.เหวง โตจิรากาเป็นผู้แนะนำ และแพทย์แผนจีนที่มาฝังเข็ม รักษาแบบปล่อยกระแสไฟฟ้าที่บ้าน กินยามื้อละประมาณ 20 เม็ด วันละ 2 ครั้ง ซื้อเครื่องออกกำลังกายเฉพาะส่วนหลังเป็นเสมือนการทำกายภาพบำบัด จนในที่สุดอาการเวลานี้ดีขึ้น แต่ยอมรับว่ามีอาการไม่สบายตัว ไม่คล่องแคล่ว เหมือนเมื่อก่อนจากฤทธิ์ของตัวยาหลายชนิด
“สุขภาพผมไม่พร้อมจริงๆ เพราะกรำศึกมาหลายปีตั้งแต่ปี 2549 ไม่ได้หยุดเลย (หัวเราะ) แทบไม้ได้อยู่บ้าน ร่างกายไม่เคยได้หยุด เวลามันทรุดก็ทรุดเลย เหมือนเครื่องยนต์ทำงานเอะจะสึกหรอเร็ว
...ผมไม่มีตำแหน่งก็ทำหน้าที่อยู่แล้ว เราเองประคับประคองสถานการณ์ไปเรื่อยๆ แต่ อ.ธิดา แกเป็นนักคิด นักยุทธศาสตร์ บรรดาผู้ที่เข้าป่าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ทุกคน ที่ขณะนี้ไปอยู่ในพรรคการเมือง หรืออยู่ในแต่ละสี มี อ.ธิดา คนเดียวที่เป็นกรรมการกลาง  เพราะฉะนั้น อาจารย์อ่านทุกสถานการณ์ขาด อ่านความรู้สึกประชาชนออก ตั้งแต่ปรับครม.ครั้งที่แล้ว เจอกัน แกพูดคำแรกเลย คือ ตู่มาเป็นประธานนปช.แทนพี่
...อ.ธิดา เข้าใจสถานการณ์ที่ทำให้ผมเห็นว่าคนเสื้อแดงยังมีที่ยื่นให้จตุพรเสมอ แต่ผมปฏิเสธรับตำแหน่งเพราะปัญหาสุขภาพ  มันไม่ใช่เรื่องวาระอะไร แต่เป็นเรื่องความรู้สึกเห็นอกเห็นใจที่ร่วมต่อสู้กันมา ไม่ว่าจะถูกกระทำมาที่ใด พอเข้าเขตคนเสื้อแดง เขาจะมีที่ซับเลือด ซับน้ำตา ซับเหงื่อให้เสมอ นี่คือความรักของคนเสื้อแดง ผมพร้อมทำหน้าที่เพียงแต่สุขภาพยังไม่พร้อม เลยขอร้อง อ.ธิดาให้ทำหน้าที่ไปก่อน  อ.ธิดาบอกว่าได้ตัดสินใจไปแล้ว แต่ผมขอร้อง และบอกว่าจะช่วยเท่าที่ช่วยได้”

อย่างไรก็ตามแม้พลาดหวังต่อการปรับ ครม.จนจวบจะผ่านพ้นครึ่งเทอมของรัฐบาล ประกอบกับข้อเรียกร้องของเสื้อแดงไร้การตอบสนองจากแนวร่วมเดียวกัน แต่ จตุพร แสดงยังมั่นใจว่ายังคงต่อสู้หลังพิงฝาเคียงข้างพรรคเดิม พร้อมคอนเฟริมว่า ทฤษฎี 2 ขา พรรคเพื่อไทย-มวลชนเสื้อแดงนั้นยังคงขนาบคู่กันไปในเวลานี้ ไม่มีแยกตัวออกไปตั้งพรรคการเมืองเด็ดขาด  
“ผมไม่เคยคิดเรื่องตั้งพรรคหรือแยกตัว ผมเคยพูดเสมอว่า เวลาคบกับใคร จะสู้กับใคร ไม่เคยเตรียมทางเลือกที่สองเอาไว้ เพราะส่วนใหญ่จะสู้ตายกับคนนั้นถึงที่สุด ฉะนั้นเรื่องที่เกิดขึ้น เราเองก็ต้องปรึกษาหารือกันว่าจะเดินต่อไปอย่างไร
...ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะมีความคิดนั้น แต่ผมไม่ได้ตัวคนเดียว เรายังมีคนตาย คนเจ็บ และคนถูกขังอยู่ มันค้ำหัวอยู่ ผมยังไม่ยุติการชุมนุม ความจริงอยากปล่อยวาง อยากหยุด เพราะที่ผ่านมาก็เดินสายไหว้พระเป็นว่าเล่น ก่อนปราศรัยจะไปไหว้พระตามที่ต่างๆ ดังนั้นตัวตนจริงๆ อยากปล่อยวาง แต่ที่ทำไม่ได้ เพราะมีสัมภาระ จะไม่หยุดจนกว่าจะมีการดำเนินคดีกับสุเทพ อภิสิทธิ์ และพวก”
จตุพร ยังระบุด้วยว่า แม้ไม่ได้ดำรงตำแหน่งประธาน นปช.แต่ยังคงยืนหยัดต่อสู้เพื่อประชาชนเสื้อแดง โดยเฉพาะการสนับสนุน ร่างพ.ร.บ. นิรโทษกรรมของ วรชัย เหมะ สส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทยที่เตรียมจ่อคิวเป็นวาระแรกในสมัยประชุมเดือน ส.ค.นี้ พร้อมป้องกันไม่ให้ล่มซ้ำรอย ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เมื่อปี 2555 ที่ผ่านมา          
“ตอนนั้นระหว่างเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผ่านวาระ 1 399 ต่อ 199 เสียง และวาระสองพิจารณากัน 15 วัน แต่ดันมีมือดีหลอกให้ไปเสนอพ.ร.บ.ปรองดอง เข้าตรงกลาง จนแก้ไขรัฐธรรมนูญล่มไปด้วย เสียเวลาไปทำไม 15 วัน เขาหลอกสนิท มีผมเท่านั้นที่เอะใจ จนต้องคุยต่อรองกับพรรคว่า ถ้าร่างปรองดองที่พล.อ.สนธิ บุญยรัตนกลิน เสนอ เป็นปัญหา จะขอเสนอร่างนปช.ประกบ ให้ณัฐวุฒิ ในฐานะ สส.เสื้อแดง เสนอเข้าไปอีก 1 ร่าง เพื่อไม่ให้มีการนิรโทษแกนนำทุกฝ่าย
...ปรากฏว่า ขณะที่หลอกให้ฝ่ายรัฐบาลหลงเชื่อ เขาก็บอกให้ฝ่ายตรงข้ามทั้งประชาธิปัตย์ พันธมิตร หลากสี เตรียมตัว พอ พ.ร.บ.ปรองดองเข้า พวกนั้นพรึบเลย! ขณะที่ทางเราตายใจ เสร็จสุดท้ายเป็นไง ปรองดองพัง พารัฐธรรมนูญพังไปด้วย ดังนั้นการประเมินสถานการณ์ของเราผิดพลาดมาแล้วหลายครั้งเหมือนกัน เราต้องวิพากษ์กันด้วยความรัก ความห่วงกัน โดยเฉพาะในเดือน ส.ค.นี้ ต้องไม่ให้เหมือนครั้งที่ผ่านมา”
 ถามย้ำว่า แสดงว่า การเสนอร่างพ.ร.บ.ปรองดอง มีหนอนบ่อนไส้ไม่หวังดีต่อรัฐบาล?  จตุพร ตอบทันควันว่า ผมไม่รู้ว่าเขาเรียกกันว่าอะไร แต่ว่านี่คือสิ่งที่เราประสบมา มันก็ชัดเจนว่ามีผู้ต้องการทำลายพรรค ถ้าไม่มีการเสนอพ.ร.บ.ปรองดองตอนนั้น ตั้งสติสักนิดให้รัฐธรรมนูญผ่านก่อน ตอนนี้อะไรก็ง่ายขึ้นแล้ว แต่มีการเสนอเข้ากลาง ผมก็ช็อคว่าทำไมมีการเสนอแบบนี้
 ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฉบับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน จะส่งผลต่อร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมซ้ำรอยกรณีดังกล่าวหรือไม่ แกนนำ นปช.ไม่ตอบโดยตรง แต่บอกอีกนัยเป็นการย้ำถึงจุดยืน นปช. อย่างชัดเจนว่า "...ขณะนี้พรรคเพื่อไทยมีมติเดียว คือ ร่างวรชัย"
 
ที่มา :บทวิเคราะห์โพสทูเดย์
 
 

0 comments:

Post a Comment

 
Copyright © . Yak Ratchaprasong - Posts · Comments
Theme Template by BTDesigner · Powered by Blogger