เพราะไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.), พญ.คุณหญิง พรทิพย์
โรจนสุนันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม และ นายสุวัตร อภัยภักดิ์
ทนายความกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ออกมาร่วมขบวนกันแสดงออกชัดเจนว่าคิดอย่างไรกับ
"รัฐบาล" ชุดปัจจุบัน
ถึงแม้ว่าคดีนี้ตำรวจจะสรุปสำนวนเรียบร้อย พร้อมชี้แจงแถลงข่าว
นำพยานหลักฐานและคำให้การของทีมสังหารนำโดย "บอล" สันติภาพ เพ็งด้วง
คนขับรถส่วนตัว นายเอกยุทธ มาแสดงหลายต่อหลายรอบ
ในการฆาตกรรมนายเอกยุทธ เพราะทีมสังหารต้องการเงินจำนวน 5 ล้านบาท
เป็นการฆ่าชิงทรัพย์ธรรมดาเท่านั้น
แต่ก็ยังมีกลุ่มบุคคลที่ไม่ยอมรับฟังหรือมองพยานหลักฐานต่างๆ
ที่ตำรวจได้มา แต่เลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิดมากกว่า
ล่าสุดทั้งฝ่ายกสม.และหมอพรทิพย์ ได้สรุปรายงานการชันสูตรศพนายเอกยุทธ
ด้วยข้อมูลง่าย ๆ ว่า มีเงื่อนงำเพราะเป็นการตายด้วยท่าพิเศษ!
ขณะที่ฝ่ายทนายพันธมิตร
ออกมาทิ้งระเบิดกลางวงว่านายสันติภาพกลับคำให้การว่าถูกจ้างวานโดยคนมีสีให้ฆ่านายเอกยุทธ
ด้วยวงเงิน 3 ล้านบาท!
ซึ่งทำให้ตำรวจต้องออกมาชี้แจงอีกรอบ และตอบทุกประเด็นสงสัย
คดีฆาตรกรรมนายเอกยุทธ ได้เกิดขึ้นช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
เมื่อหายตัวไปพร้อมนายสันติภาพคนขับรถ และเงินสดจำนวน 5 ล้านบาท ซึ่งตำรวจใช้เวลาไม่นานนักในการแกะรอยจากหลักฐานต่างๆ
นำไปสู่การจับกุมนายสันติภาพ นายสุทธิพงศ์ หรือเบิ้ม พิมพ์พิสาร ที่ร่วมสังหาร
จากนั้นได้ตามรวบตัวผู้ร่วมฆ่า มีนายทิวากร เกื้อทอง, นายชวลิต หรือเชา วุ่นชุม
ที่ร่วมฝังศพนายเอกยุทธ และพ่อแม่นายสันติภาพ ที่รับฝากเงินสดกว่า 4 ล้านบาท
ที่ลูกชายรีดได้จากนายเอกยุทธ
ซึ่งทั้งหมดให้การรับสารภาพ โดยเฉพาะนายสันติภาพ ทำแผนฯ บอกขั้นตอนต่างๆ
ตั้งแต่การล็อกตัว บังคับให้ติดต่อเลขาฯ นำเช็คมาให้เซ็นเบิกเงินสด 5 ล้านบาท
จนถึงการสังหารเพราะนายเอกยุทธเพราะพยายามกระโดดหนีลงจากรถ
ในทุกขั้นตอนมีพยานและหลักฐานแวดล้อมชัดเจน
แต่ก็เพราะนายเอกยุทธ
เป็นหนึ่งในบุคคลที่ยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลมาตลอด จึงได้มีความพยายามลากเรื่องให้เข้าไปเกี่ยวโยงกับการเมือง
โดยเฉพาะกสม.ให้ความสนใจเป็นพิเศษ มีหมอพรทิพย์ร่วมทีมตั้งกรรมการสอบสวนกรณีนี้อย่าง
"ใส่ใจ" ยิ่ง
กระทั่งเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ที่ผ่านมา นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กสม.
แถลงผลการตรวจสอบโดยระบุว่านายเอกยุทธ ไม่ได้ถูกฆ่ารัดคอหรือถูกบีบคอตามที่พนักงานสอบสวนและผู้ต้องหาได้ระบุไว้
แต่เป็นการถูกกระทำเพื่อให้ขาดอากาศหายใจ โดยใช้กระบวนท่าพิเศษ โดยกระบวนการของบุคคลที่เป็นมืออาชีพ
นอกเหนือจาก ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม
ทางแพทย์พบร่องรอยบาดแผลจากการชันสูตร 3 แห่ง คือ
ที่บริเวณปลายจมูกมีรอยฟกช้ำ ที่โคนลิ้นและลิ้นด้านซ้าย
เนื้อเยื่อลำคอด้านขวา ซึ่งไม่พบรอยบีบรัดคอแต่อย่างใด
แต่มีการกดบีบลำคอกับปิดกั้นจมูก ทำให้ขาดอากาศหายใจ
และท่านี้สามารถทำให้เสียชีวิตโดยใช้ระยะเวลาไม่นาน"
นอกจากนี้ยังพบบาดแผลบริเวณหัวไหล่ขวา
สะบักซ้ายด้านหลังซึ่งเกิดจากการกระทำของผู้ที่อยู่ด้านหลังนายเอกยุทธ
เพราะนายเอกยุทธต่อสู้จึงทำให้กล้ามเนื้อคอด้านหลังฟกช้ำ
ก่อนที่จะสรุปดื้อ ๆ ว่า
"ดังนั้นนายเอกยุทธจึงไม่ได้ถูกฆ่ารัดคอหรือบีบคอ"
นพ.นิรันดร์กล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นที่ 2 คือ
ได้มีการเปลี่ยนแปลงสภาพศพหลังจากที่เสียชีวิต คือเคลื่อนย้ายศพจากกรุงเทพฯ
ไป จ.พัทลุง และเคลื่อนศพจากเขาจิงโจ้ จ.พัทลุง มาตรวจพิสูจน์ที่กรุงเทพฯ
ซึ่งกระบวนการทั้งหมดได้มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าจากผู้เชี่ยวชาญในการฆ่าคน
โดยมีเหตุผลที่สนับสนุนคือ
1.การเตรียมวัสดุอุปกรณ์ห่อศพและลำเลียงศพจากรุงเทพฯ มาพัทลุง
2.หลังเสียชีวิตมีการถอดเสื้อผ้าและเครื่องประดับออก
ลักษณะการห่อศพซึ่งรัดด้วยวัสดุผูกมัด
เป็นเทคนิควิธีการเฉพาะของผู้มีความรู้และความชำนาญ และ
3.มีความเชื่อว่าศพถูกเก็บไว้ในที่ปิดมิดชิด คือ ถูกเก็บในรถตู้ไม่เกิน 3
วัน โดยไม่พบหนอนในศพ แสดงว่าสภาพศพถูกห่อหุ้มเป็นอย่างดี"
ส่วนการขุดหลุมฝัง ก็ลึกไม่เกิน 50 ซ.ม. ซึ่งศพถูกฝังไว้ไม่เกิน 1 วัน
แสดงเจตนาว่าไม่ต้องการปกปิดศพ
จึงได้สันนิษฐานว่า ผู้ลงมือไม่ต้องการปิดบังศพ ?
พร้อมกับการออกมาสรุปของกสม. นาย สุวัตรอ้างว่า ได้ส่งทนายไปพูดคุยกับนายสันติภาพ
ซึ่งนายสันติภาพยอมรับว่าการฆ่านายเอกยุทธไม่ใช่การชิงทรัพย์แต่เป็นการจ้างวานฆ่าจำนวนเงิน
3 ล้านบาท
นายสันติภาพได้ค่าจ้างแค่หลักแสนบาทเท่านั้น โดยมีการเตรียมลงมือฆ่าถึง 3
ครั้ง 2 ครั้งแรกนายสันติภาพทำไม่สำเร็จ ครั้งที่ 3 คนจ้างวานจึงให้คนมีสีลงมือฆ่าด้วยท่าพิเศษ
?
"และหลังจากนี้จะขอยุติบทบาท โดยไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมนายเอกยุทธอีกต่อไป
เพราะทางญาติคุณเอกยุทธไม่ได้ช่วยเหลือในการต่อสู้คดี
รวมถึงผมต้องออกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เองทั้งหมด นอกจากนี้ยังถูกข่มขู่รายวัน
โดยสืบทราบว่ามีการวางแผนจะนำรถบรรทุกทรายประกบหน้าหลังเพื่อชนรถยนต์ของผมด้วย"
ซึ่งน่าสังเกตว่าการไปฟังข้อมูลพลิกลิ้นของนายสันติภาพนั้น
นายสุวัตรใช้วิธีพูดว่ามีทีมทนายเข้าไปคุย คือไม่ผูกมัดตนเอง
และเมื่อมีข้อมูลเด็ดขนาดรับว่าไม่ได้ฆ่าเองเช่นนี้ กลับขอวางมือไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ดื้อ
ๆ
การออกมาอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาของทั้งกสม. หมอพรทิพย์ นายสุวัตร ได้ทำให้พล.ต.ท.คำรณวิทย์
ผบช.น. และพล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผบช.น. หัวหน้าพนักงานสอบสวน ต้องทำการตรวจสอบเรื่องนี้อีกครั้ง
สำหรับประเด็นที่นายสุวัตร อ้างว่า "บอล" กลับคำให้การ
พล.ต.ต.อนุชัยระบุว่าได้สั่งให้พนักงานสอบสวน
เข้าไปในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อสอบปากคำนายสันติภาพ อีกครั้ง โดยขอตอบเป็นข้อ ๆพร้อมกับทำบันทึก และให้นายสันติภาพเซ็นชื่อ ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์
ข้อ 1. นายบอลยืนยันว่าตั้งแต่ถูกจับกุมควบคุมตัว และมาฝากขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มีแต่พ่อ แม่ และทนายของตัวเองเข้าไปเยี่ยม ส่วนทนายหรือผู้แทนของนายสุวัตรไม่เคยมาเยี่ยม หรือพูดคุยด้วยแต่อย่างใด
2.นายบอลได้ยืนยันว่าไม่เคยพูดว่ามีคนมาจ้างให้ฆ่าผู้ตายโดยให้ค่าจ้าง 3
ล้านบาท ไม่ว่าจะพูดจริงและพูดเล่น
3.ตามที่ปรากฏเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ ทางพนักงานสอบสวนได้ไปอ่านให้ฟังว่า
กรณีที่มีญาติของผู้ต้องหาคนอื่นมาเยี่ยม คือมาเยี่ยมผู้ต้องหาคนอื่น นายบอลได้ฝากไปบอกญาติว่าให้ไปบอกทนายความว่าอยากพบนายสุวัตร
หรือผู้แทน ว่าจะรับสารภาพว่ามีคนจ้างฆ่านายเอกยุทธ จากกลุ่มคนมีสี ด้วยเงินประมาณ
3 ล้านบาท
ซึ่งนายบอลได้ยืนยันว่าไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นแต่อย่างใด
และไม่เคยพูดข้อความดังกล่าว และเนื้อความในหนังสือพิมพ์ที่ให้อ่านนั้น
ไม่ตรงกับความเป็นจริง
พล.ต.ต.อนุชัยได้กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบรายชื่อของคนที่เข้าไปในเรือนจำ
ก็ไม่พบรายชื่อผู้แทนหรือนายสุวัตรเข้าไปเยี่ยม
สุดท้ายนายบอลระบุว่า ยังขอยืนยันคำให้การเดิมทุกประการ ในกระทำผิดจริงตามที่ให้การกับพนักงานสอบสวน
เพราะสำนึกผิด เพื่อต้องการได้โอกาสลดหย่อนโทษ จึงขอให้อย่ามาถามในเรื่องต่าง ๆ
เหล่านี้อีก ขอให้ผู้ที่จ้องหาประโยชน์อย่าไปรบกวนอีก
สำหรับการสรุปของกสม.และหมอพรทิพย์ นั้น พล.ต.ท.คำรณวิทย์ได้กล่าวอีกว่า
คดีนี้พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผบ.ตร. และพล.ต.ต.อนุชัย เข้ามาคุมการสอบสวนสำนวนคดีอย่างใกล้ชิด
ใครที่พูดอะไรต่าง ๆ เกี่ยวกับคดีนี้ อยากให้มาให้การกับตำรวจ
เพื่อให้หลักฐานและตรวจสอบข้อเท็จจริงต่าง ๆ ด้วย
"การที่อ้างว่ามีการจ้างกันอย่างไร ฆ่ากันด้วยท่าพิเศษ ผมก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าท่าพิเศษคืออะไร
อยากให้เข้ามาคุยกับทางตำรวจ จะได้รวบรวมหลักฐานร่วมกัน
จะได้ส่งสำนวนไปยังอัยการ"
พล.ต.ท.คำรณวิทย์กล่าวว่า ตอนนี้ไม่รู้ว่าตายไปแล้ววิญญาณนายเอกยุทธจะสงบสุขหรือไม่
เพราะมีหลายคนเอาชื่อนายเอกยุทธมาหากิน อาศัยสร้างชื่อเสียงจากศพ ซึ่งเป็นการไม่ถูกต้อง
ทางญาติพี่น้องของนายเอกยุทธก็ยังไม่เห็นออกมาพูดอะไร
อยากให้คนที่ออกมาพูดมาให้ข่าวทั้งหมดเข้ามาให้การกับตำรวจ รวมถึงมาร่วมเป็นพยานด้วย
อย่าดีแต่พูด
"คนตายขนาดนี้ตำรวจก็ทำงานแล้ว ได้ศพเร็ว ได้ผู้ต้องหาเร็ว
หลักฐานก็มี ยังว่าผิดอีก ขอร้องอย่าไปพูดข้างนอกหยุดพูดดีกว่า"
พล.ต.ท.คำรณวิทย์กล่าวอีกว่า ไม่มีเรื่องการเมืองแน่นอน
แต่ใครจะหากินหาผลประโยชน์จากศพก็ทำไป แต่ขอให้นึกถึงจิตใจญาติของนายเอกยุทธด้วย
คนตายไปแล้วยังต้องมาเป็นประเด็นอีก
และนี่คือ "ลูกฮา" ขบวนล่าสุดที่พยายามลากการตายของนายเอกยุทธ
มาพัวพันการ "การเมือง" ให้จงได้
แต่ทั้งหมดมีบทสรุปที่ชัดเจนโดย "พยานหลักฐาน"
ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ มิใช่ "จินตนาการ"ที่มา : ข่าวสด
0 comments:
Post a Comment