โพลล์ชี้คนส่วนใหญ่ค้านรัฐประหาร !

 "เอแบคโพลล์"  เผยคนส่วนใหญ่ยังเป็นพลังเงียบ และค้านรัฐประหาร

                       28 มิ.ย. 56  สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง "จุดยืนทางการเมืองของประชาชนและการทำรัฐประหารในช่วงคนไทยสวมหน้ากากเข้าหากัน" โดยศึกษาจากกรณีศึกษาตัวอย่างประชาชน จำนวน 2,219 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 15 - 27 มิถุนายน 2556 ที่ผ่านมา

  
                             โดยพบว่า จุดยืนทางการเมืองของสาธารณชนในขณะนี้ 18.4% สนับสนุนรัฐบาล ในขณะที่ 17.6% ไม่สนับสนุนรัฐบาล อย่างไรก็ตาม 64.0% ไม่อยู่ฝ่ายใด ขอเป็นพลังเงียบ  ทั้งนี้เมื่อจำแนกออกตามเพศ พบว่า กลุ่มผู้หญิงส่วนใหญ่ 66.5% ไม่อยู่ฝ่ายใด ขอเป็นพลังเงียบมากกว่ากลุ่มผู้ชายที่มีอยู่ 61.4%  
                             ในขณะที่กลุ่มผู้ไม่สนับสนุนรัฐบาล ผู้ชายจะมากกว่ากลุ่มผู้หญิงคือ 19.1% และ 16.2% ส่วนกลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาล เป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเช่นกันคือ 17.3% และร้อยละ 16.2% ตามลำดับ 
                             เมื่อจำแนกตามช่วงอายุ พบว่า ส่วนใหญ่เกินกว่า 60% ในทุกกลุ่มช่วงอายุไม่อยู่ฝ่ายใด ขอเป็นพลังเงียบ อย่างไรก็ตามในกลุ่มที่อายุต่ำกว่า 20 ปียังพบผู้ที่สนับสนุนรัฐบาลมากกว่าไม่สนับสนุน
                             ที่น่าสนใจคือเมื่อจำแนกตามระดับการศึกษา พบว่า กลุ่มที่สำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี 80.0%  ไม่อยู่ฝ่ายใด ขอเป็นพลังเงียบ ส่วนกลุ่มปริญญาตรี 63.0% และกลุ่มต่ำกว่าปริญญาตรี 64.0% ระบุว่าเป็นกลุ่มพลังเงียบเช่นกัน
                             สำหรับ กลุ่มต่ำกว่า ปริญญาตรีที่เคยเป็นฐานสนับสนุนสำคัญของรัฐบาลกลับลดลงต่ำกว่ากลุ่มปริญญาตรีคือ 17.1% ต่อ 22.9% ที่สนับสนุนรัฐบาล และเมื่อจำแนกตามกลุ่มอาชีพ พบว่ากลุ่มอาชีพเกษตรกรและรับจ้างใช้แรงงานทั่วไปที่เคยเป็นฐานสนับสนุนสำคัญของรัฐบาลลดลงเหลือเพียง 16.0% ในขณะที่ไม่สนับสนุนรัฐบาลมีอยู่ 20.5% ของกลุ่มเกษตรกรและผู้รับจ้างใช้แรงงานทั่วไป อย่างไรก็ตาม ทุกกลุ่มอาชีพส่วนใหญ่เกินกว่า 60% กลับไปสู่จุดเดิมคือไม่อยู่ฝ่ายรัฐบาลและไม่อยู่ฝ่ายค้าน ขอเป็นพลังเงียบ
                             ที่น่าสนใจคือ เมื่อถามถึงการทำรัฐประหาร พบว่า กลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลและกลุ่มพลังเงียบส่วนใหญ่คือ 71.0% และ 55.8 % ระบุไม่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ไม่สนับสนุนรัฐบาล 1 ใน 4 หรือร้อยละ 25.3 เห็นว่าเหมาะสม แต่โดยภาพรวมของสาธารณชนส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม

ภาพประกอบข่าว
ที่มา มติชนออนไลน์